“ไปไหนต่ออีกหรือเปล่าครับ คุณริน”
ดอนถามขึ้นเมื่อเห็นทางกระจกว่ารินรดากำลังนั่งเหม่อหลังจากขึ้นรถเรียบร้อย
“ไปดูกระเพาะปลาเจ้าที่พี่วิชอบหน่อยก็ดีนะนายดอน เผื่อว่าจะยังเหลือ หมู่นี้ไม่รู้พี่วิเขาเป็นอะไร ทำท่าเหมือนกินอะไรไม่ค่อยลง”
รินรดาชอบพออัธยาศัยดอน เห็นว่าชายหนุ่มพูดจาสุภาพอย่างคนมีการศึกษา มากกว่าจบชั้นมัธยมต้นตามที่บอกในวันมาสมัครงาน
ดอนเองก็ชอบรินรดา เห็นว่าเป็นเด็กน่ารัก มีน้ำใจดีคนหนึ่ง ไม่เคยว่าอะไรใครให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ผิดกับหญิงสาวญาติผู้พี่ของหล่อน ที่มักจะพูดจาแรงๆ ไม่ค่อยถนอมน้ำใจคนฟัง
เขาเองเจอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งเป็นจุดเริ่มของการอยากสั่งสอน เพื่อให้บทเรียนแก่หญิงสาวเสียบ้าง
“เลยแล้วนายดอน”
“เอ้า โทษทีครับคุณริน ผมมัวแต่”
“ใจลอย”
รินรดาต่อให้ยิ้มๆ ไม่ได้หัวเสียหรือมีโมโหแต่อย่างใด
“แปลกจริง เดี๋ยวนี้ที่บ้านเรามีแต่คนเป็นโรคนี้กัน พี่วิคนหนึ่งละ”
รินรดาไม่ได้คิดจะนินทาพี่สาวตามศักดิ์กับคนขับรถ แต่เผอิญหล่อนมองว่าชายหนุ่มที่ทำหน้าสารถีพาหล่อนมาทำบุญครั้งนี้ไม่ใช่คนปากมาก แน่ใจว่าเขารับฟังอะไรแล้วจะไม่นำไปพูดต่อ
ดอนขับรถไปเรื่อยก่อนวกกลับเมื่อถึงสี่แยกโดยไม่ปริปาก ว่าตัวเขาเองนั้นพอจะรู้ถึงสาเหตุโรคใจลอยของลูกสาวนายจ้าง แม้จะไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์
“นายดอนรู้หรือยัง อีกไม่ถึงสองเดือนพี่วิก็จะไม่อยู่บ้านแล้วนะ”
รินรดาเป็นฝ่ายชวนคุย เพราะดอนนั้นเป็นคนพูดน้อย
“ไม่อยู่บ้านแล้วจะไปอยู่ไหนละครับ”
ดอนถามเสียงเรื่อยๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ความจริงในอกใจเริ่มร้อนรุมขึ้นมาทันทีที่รู้ข่าวลูกสาวคนสวยของนายจ้างจะไม่อยู่บ้าน
“อเมริกาจ้ะ”
“คงไปเที่ยวสินะครับ” เดาเสียงราบเรียบ
“ใครว่า พี่วิจะไปเรียนต่อต่างหาก”
“งั้นก็คงไปหลายปี”
“สองถึงสามปีนั่นแหละมั้ง”
ดอนเงียบกริบ แต่สมองทำงานปราดๆ
รินรดาไม่ชวนคุยอีกเมื่อเห็นชายหนุ่มไม่ซักไซ้ต่อ ประจวบเหมาะถึงร้านขายกระเพาะปลาที่หล่อนรู้ว่าพี่สาวชอบพอดี
วิรามรยังคงนอนกระสับกระส่าย ทั้งที่เวลาปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า เป็นเวลาที่คนในบ้านคงจะหลับกันหมดแล้ว
ก๊อก! ก๊อก!
หญิงสาวคิดว่าตนหูฝาดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบาจนไม่แน่ใจ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเดิมดังขึ้นอีก แม้จะยังเบาราวกับว่าคนเคาะเกรงใจคนในบ้านที่หลับกันแล้ว
พอแน่ใจว่าว่าหูไม่ฝาดก็คาดเดาว่าคงเป็นญาติผู้น้อง
รินรดาบอกไว้แล้ว คืนนี้จะท่องหนังสือดึกคืนสุดท้าย ก่อนสอบในอีกสองวันข้างหน้า
ที่มาเคาะเรียกคงเห็นแสงไฟในห้องเป็นเส้นเรียวเล็กใต้บานประตู คิดหาเพื่อนคุยแก้ง่วง ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ
วิรามรลุกจากเตียงเดินไปที่ประตูทั้งที่อยู่ในชุดนอนค่อนข้างบางใส มองเห็นผิวเนื้อรำไรอวดส่วนโค้งส่วนเว้าอ่อนช้อยชวนมองของเรือนกายสาว ไม่คิดจะหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับ เพราะเห็นว่าญาติผู้น้องชินอยู่แล้วกับภาพตนแต่งตัวแบบนี้
แต่พอเปิดประตู พบว่าที่ยืนอยู่หน้าประตูคือร่างสูงกำยำ ไม่ใช่ร่างอ้อนแอ้นอรชรของญาติผู้น้อง อารมณ์ขุ่นมัวก็วูบวาบขึ้นมาทันที
ความตั้งใจจะกระแทกประตูปิดใส่หน้าคนบังอาจ ถูกระงับด้วยความคำพูดราบเรียบทว่าแฝงแววเอาจริงทั้งสีหน้าและท่าที
“เราต้องคุยกัน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับ...นาย”
ที่รีบเปลี่ยนคำว่า ‘แก’ เป็น ‘นาย’ก็เพราะแววตาคมที่มองมานั้นเอง
“แต่ผมมี”
ดอนใช้มือดันประตูเปิดกว้างขึ้น ซึ่งก็ต้องสู้กับแรงขืนขัดของเจ้าของห้องที่ไม่ยอมให้ได้เข้าไปง่ายๆ
“ออกไปนะ!”
วิรามรแหว แต่ไม่กล้าขึ้นเสียงดัง เพราะห้องนอนญาติผู้น้องอยู่เยื้องๆ กันนี้เอง ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร
“เจอกันทุกครั้งมีแต่จะขับไสไล่ส่ง ใจคอไม่คิดถึงกันบ้างเลยหรือไงคนสวย”
ดอนพูดยิ้มๆ ขณะเดินลอยชายไปนั่งลงบนเตียงนุ่มอย่างถือวิสาสะ
วิรามรจำต้องปิดประตู เพราะถึงยังไงหล่อนไม่อยากให้ใครมารู้เห็นเรื่องน่าอับอายนี้
“ว่าไงครับเมียคนสวยของไอ้ดอน คิดถึงผัวบ้างหรือเปล่าเอ่ย”
วิรามรขบฟัน หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ หรืออาจจะโกรธแกมอายด้วย แม้หล่อนจะไม่ยอมรับกับตัวเอง
“นายวิเศษยังไงล่ะ ฉันถึงจะต้องไปคิดถึง เอาล่ะ มีอะไรก็พูดมาแล้วก็รีบๆออกไปเสียก่อนจะมีใครมาเห็นเข้า”
“วิเศษไม่วิเศษผมก็ทำให้คุณวิรามรคนสวยครางได้ละกัน”
“แก...”
“อ๊ะๆ ระวังปากหน่อย แล้วเมียพูดจาจิกผัวตัวเองแบบนี้โบราณว่าไม่เจริญนะคุณ”
วิรามรไม่รู้จะทำยังไงกับคนหน้ามึน ที่ยึดครองเตียงหล่อนด้วยการทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาว มือสอดประสานรองรับศีรษะที่วางบนหมอน ใบหน้ารกเรื้อด้วยหนวดเครามองมายังหล่อนยิ้มๆ
ไม่อยากยอมรับ แต่ความจริงก็คือ ร่างสูงล่ำสันของชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนส์ตัดขาเหลือความยาวไม่ถึงคืบ อวดต้นขากำยำ ตลอดลำขายาวตรงแข็งแรง ท่อนบนปกปิดด้วยเสื้อยืดสีขาวตราห่านคู่พอดีตัวจนแทบไม่ต้องจินตนาการถึงมัดกล้ามอก ไหล่ และต้นแขนออกจะเป็นภาพชวนมองอยู่ไม่น้อย