แต่ที่ทำให้หล่อนหน้าแดงเห็นจะเป็นเป้าที่นูนเด่นเป็นเอกลักษณ์
หญิงสาวเมินหน้าเกือบเป็นสะบัด แต่อาการร้อนผ่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะบริเวณใบหน้า ทว่าแผ่ซ่านตลอดกายสาว เพราะตาไม่ได้บอดถึงจะมองไม่เห็นว่ามีการขยับไหวตัวที่บริเวณเป้ากางเกงยีนส์สีซีดตก
มัวแต่เมินหน้าหนีภาพชวนให้นึกถึงขนาดท่อนเนื้อเขื่องยามแข็งขึงเหยียดขยายในกายตน ทั้งใจยังสับสนวุ่นวาย จึงไม่ทันรับรู้ว่าคนที่ยึดครองเตียงได้ยันกายลุกขึ้น และเดินเข้าหา
กว่าจะรู้ก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงราวกับปลอกเหล็ก
“นี่! ปล่อยฉันนะ”
เสียงที่พยายามจะแหวเข้าใส่เมื่อออกคำสั่งฟังไร้น้ำหนักแม้กับหูตัวเอง
“ผมไม่คิดว่าวิจะอยากให้ปล่อยจริงๆหรอก ใช่มั้ย”
เสียงมีกังวานห้าวทุ้มคลอเคลียริมใบหูบอบบางเมื่อกระซิบคำพูดฟังสนิทสนม
แขนล่ำสั่นสอดโอบจากด้านข้างช้อนเข้าใต้อกอวบ กายกำยำแทบจะปกคลุมร่างเล็กกว่า
ร่างแนบชิดทำให้หญิงสาวรับรู้ถึงอาการตื่นตัวของชายหนุ่ม
อาการแข็งขึงของเขาพลอยทำให้อารมณ์ที่หล่อนพยายามกดไว้ลึกๆ พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ออกไปห่างๆได้มั้ย นะ...ไหน...ว่ามีเรื่องจะพูดกันไง”
พระเจ้า! เสียงหล่อนหรือนั่น นอกจากเบาหวิว ยังฟังสั่นราวกับกำลังหนาวเหน็บ ขัดกับความเป็นจริงที่ว่ากระแสเลือดไหลวนอยู่ในกายร้อนผ่าวขึ้นทุกขณะ อีกไม่นานอาจถึงขั้นเดือดพลั่กราวลาวาปะทุ
ดอนแสร้งถอนหายใจ แต่ใบหน้าที่ซบลงกับกึ่งๆศีรษะกับข้างแก้มเนียนนุ่มหอมกรุ่นระบายยิ้มที่ตนเท่านั้นรับรู้
เขาไม่ใช่วัยรุ่นอ่อนหัด ถึงจะไม่รู้ว่าหญิงสาวในวงแขนอ่อนลงให้เพียงใด
“เอาไว้พูดกันทีหลังก็ได้ ตอนนี้ขอชื่นใจเมียก่อน”
“ฮื้อ! ทำไมชอบพูดบ้าๆ นักนะ”
แล้วร่างอวบอิ่มในจุดที่ผู้ชายยอมตายได้เพื่อให้ได้ครอบครอง ก็สะบัดตัวหลุดจากการกอดรัด
“อะไรที่ว่าพูดบ้า ก็วิเป็นเมียผมจริงๆนี่”
วิรามรหน้าแดงด้วยความโกรธอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยแข็งกร้าววาวโรจน์ ความถือตัว ความหยิ่งในชาติตระกูลกลับมาอีก
“ฉันไม่ใช่เมียแก หยุดพูดบ้าๆเดี๋ยวนี้นะ!”
“อ้อ! รับไม่ได้ที่มีผัวต่ำศักดิ์เป็นแค่คนขับรถ ทั้งที่ไอ้ผัวต่ำศักดิ์คนนี้ไม่ใช่รึที่พาขั้นสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน”
คนไม่ยอมเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นผัว ชักยัวะขึ้นมาบ้าง
วิรามรโกรธจนหูอื้อ กระโจนเข้าใส่ร่างสูงอย่างไม่คิดชีวิต หมัดเล็กๆ ระดมทุบลงไปร่างกำยำ
“คนเลว...คนสารเลว ทำไมทำกับฉันแบบนี้...”
ดอนคงโมโหในระดับเดียวกัน ถ้าเพียงจะไม่จับได้เสียก่อนว่าเสียงก่อนด่าเขา ที่เจ้าตัวยังไม่ถึงกับขาดสติตะโกนออกมาดังๆ เจือเสียงสะอื้น
เมื่อเขาก้มลงมองก็พบว่าใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธถึงตอนนี้เผือดสีใต้ม่านน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม
ชายหนุ่มไม่เพียงอึ้ง แต่เขายังรู้สึกเจ็บแปลบในอก
นี่เขาทำอะไรลงไป?
เขาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายความรู้สึกผู้หญิงของเขาถึงเพียงนี้ สิ่งที่เขาตั้งใจก็แค่อยากให้บทเรียน เพื่อที่หล่อนจะได้เปลี่ยนมุมมองและแง่คิดเกี่ยวกับคนที่ด้อยกว่าก็เท่านั้นเอง เท่านั้นจริงๆ
แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่เหนือการควบคุมของเขา
เขาผู้ไม่เคยเสียการควบคุมตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ กระทั่งได้พบกับนางสาว วิรามร โชติธนกิจ
นับตั้งแต่เขาเจอหล่อนครั้งแรก โลกของเขาก็ตีลังกากลับหัว
เขาทำหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ...
แทนการปัดป้องให้พ้นกำปั้นน้อยที่กำลังประเคนลงบนอกแข็งๆ ดอนรวบร่างนุ่มเข้ามาสวมกอด มือหนึ่งกดศีรษะหอมกรุ่นชิดอก
วิรามรสะอึกสะอื้นอยู่กับอกกว้าง มือกำเป็นหมัดยังทุบลงไปบนต้นแขนหนาด้วยความแรงที่ลดลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดมือกำเป็นหมัดหลวมๆ ก็แค่วางนิ่งบนอกซ้ายที่เต้นเป็นจังสม่ำเสมอของชายหนุ่ม
ความโกรธเกรี้ยวเหมือนจะหายไป แต่ความอายนั้นมีมาก
มากจนไม่กล้าขยับใบหน้าที่กำลังซบแนบอกกว้างนูนแน่นด้วยมัดกล้าม เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าคนที่ตนลุแก่อารมณ์ทำร้ายร่างกายไปชุดใหญ่
แต่...ที่แอบสูดกลิ่นตัวคนที่ตนอาศัยเสื้อเขาต่างผ้าเช็ดหน้า กระทั่งรับรู้ถึงกลิ่นกายสะอาดชวนให้เกิดความรู้สึกสดชื่น ไม่น่าจะเกี่ยวกับความอาย
ดอนต้องเป็นฝ่ายประคองใบหน้าแม่สาวปากร้าย ที่บัดนี้เหมือนจะกลายเป็นนางอายไปแล้วขึ้นจากอกเขา เพื่อจะได้สบตาบวมแดง
วิรามรพยายามจะหลุบตาหลบ แต่ถูกดวงตาคมที่เคยฉายแววขี้เล่นตรึงไว้ด้วยประกายตาชนิดหนึ่ง
ไม่ใช่ทั้งยั่วเย้า ล้อเลียน หรือขุ่นเคือง
ใจหล่อนเต้นแรง ทั้งที่ไม่อยากยอมรับสิ่งที่ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มจงใจสื่อให้รู้
“ผมอยากพูดเรื่องของเรา”
คำพูดของชายหนุ่มกระชากวิรามรออกจากโลกที่ไม่มีอยู่จริง
“ไม่มีเรื่องของเรา”
ร่างโปร่ง อวบอิ่มเฉพาะจุดก้าวถอยห่างร่างสูง เมื่อถูกความเป็นจริงกระแทกใส่
“ทำไมจะไม่มี”
ร่างที่ถอยไปยืนหันหลังให้หันขวับมา ใบหน้างามหมดจดเหมือนจะระบายไว้ด้วยหลากหลายอารมณ์ที่ยากจะแยกแยะ
“ก็เพราะมันไม่มีไง นายก็รู้ เรื่อง...ที่เกิดขึ้นจะต้องยุติ เว้นแต่นายจะไม่ใช่ลูกผู้ชายพอ”