บทที่ 2 เจอกัน...อีกครั้ง
ตกเย็น...
ครืดด ครืดด~
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้สายตาคมชำเลืองสายตามอง คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยที่เห็นว่าใครโทรมา ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมองนาฬิกาข้อมือโดยใช้มืออีกข้างบังคับพวงมาลัย ติณณภพกดรับโทรศัพท์ผ่านรถยนต์คันหรู เวลานี้...เตชินท์ควรนอนได้แล้ว
ติ๊ด!
[ฮัลโหลพ่อครับ]
“เต...ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” น้ำเสียงทุ้มลึกแสดงความเป็นห่วงผ่านโทรศัพท์ เขาเพิ่งออกเวรบ่าย ในเวลาเกือบห้าทุ่มเช่นนี้คนเป็นลูกควรเข้านอนนานแล้ว
[เอ่อ พอดีว่าผมยังทำการบ้านไม่เสร็จ]
“หืม...”
[พ่อช่วยมาสอนวิชาเลขหน่อยได้ไหมครับ] ติณณภพเม้มริมฝีปาก สอนเลขอย่างนั้นหรือ ลูกเขาไม่ได้ต้องการให้เขาไปสอนเลขหรอก แต่คงเป็นอดีตภรรยาของเขาที่กำลังใช้ลูกมาเรียกร้องให้เขาไปหา เธอคงรู้เห็นเรื่องเมื่อวานที่เขาอยู่กับผู้หญิง เวลาเช่นนี้ ชนิตาคงกำลังกระวนกระวาย
“แล้วแม่ล่ะครับ”
“แม่...แม่ เอ่อ นอนแล้วครับ” ติณณภพยกยิ้มมุมปาก เตชินท์โกหกไม่เก่งเลยสักนิด
“เตครับ เตกำลังโกหกพ่ออยู่หรือเปล่า” ต้นสายเงียบไปเช่นนี้เดาได้ไม่ยากว่าเตชินท์กำลังคิดหนัก ก่อนที่เขาจะเอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าอดีตภรรยาของเขาแอบฟังอยู่
“...มิ้ง เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่เอาลูกมาเกี่ยว มาอ้างอีก ให้เตชินท์เข้านอน ไม่งั้นฉันจะไม่กลับไปอีก”
[อึก ไม่นะติณณ์ แล้วติณณ์กำลังจะไปไหน มิ้งรู้ว่าติณณ์ออกเวรแล้ว]
“ฉันจะไปไหนก็ได้ เราหย่ากันแล้ว”
[ฮึก...ติณณ์ไม่ได้ไปหาอีนั่นใช่ไหม อึก ติณณ์...]
ติ๊ด!
ติณณภพตัดสายแม้ว่าต้นสายจะพูดไม่จบ เขาจะไม่ยอมอีกต่อไปแม้ว่าเธอจะยกเรื่องลูกมาพูด หรือจะใช้ลูกมาอ้าง ชนิตาใช้ลูกมาอ้างตั้งแต่หย่าร้างกันมาร่วมห้าปี เธอก็ยังจะทำอยู่อย่างนี้ ราวกับเป็นบ่วงคอยเรียกให้เขาไปหาอยู่ร่ำไป
“เฮ้ออ...” แม้จะเป็นห่วงบุตรชาย ทว่าหากว่าเขาไม่เด็ดขาดเธอก็ยังจะใช้ลูกมาอ้างอีก ถ้าเกิดว่าเขาทำเมินเฉย ชนิตาคงเลิกใช้ลูกมาอ้าง และขณะนั้นเอง
เอี๊ยด!!
“ไอ้บ้าติณณ์เอ๊ย...” ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกจากปลายจมูกคม หลังจากนี้เขาคงต้องเลิกขับรถเสียแล้ว โชคยังดีที่รอบนี้รถคันหรูไม่ได้ไปจูบเอาท้ายรถคันหน้า ดีที่เขาเบรกได้ทัน
ติณณภพสะบัดศีรษะอย่างแรงเพื่อขับไล่ความคิดที่มีอยู่เต็มหัวนี้ออกไป เขาขับรถออกไปอีกครั้งหลังจากมองเห็นไฟเขียว ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มต้องรีบไปตามนัด แต่จะเรียกว่านัดก็ไม่ถูกเพราะเขาไม่ได้ไปตามนัด ชายหนุ่มลืมไปเสียสนิทว่าเขามีเข้าเวรผ่าตัดที่โรงพยาบาล ทำให้ไม่ได้มาตามนัดคู่กรณี แต่พอนึกได้มันก็เลยเวลามาจนถึงห้าทุ่มเสียแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าเคร่งเครียด ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากัน เขาไม่รู้จะขอโทษเธอเจ้าของรถอย่างไรดี เงินทองมันคงไม่มีค่าเท่ากับความรับผิดชอบที่เขาแทบไม่มี
“เฮ้ออ...” หากประโยคที่ว่าถอนหายใจแล้วจะทำให้ชีวิตสั้นนั้นเป็นจริง ติณณภพคงอายุสั้นแล้วกระมัง เขาถอนหายใจมาแล้วกี่ครั้ง...แทบนับไม่ถ้วน
ติณณภพหักพวงมาลัยเข้าไปยังสถานบันเทิงชื่อดัง เขามาบ่อยครั้งยามที่เป็นนักศึกษา แต่พอทำงานเขาก็มาบ้างบางครั้งในเวลาที่ว่าง ซึ่งก็น้อยเสียเหลือเกิน
ขณะเดียวกันภายในห้องซ้อมดนตรี กลิ่นควันบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งปลุกเร้าให้สิงห์รมควันอย่างนักดนตรีกลางคืนฮึกเหิม ริมฝีปากบางสีชมพูแต่ทางด้านในเป็นสีคล้ำจากการสูบบุหรี่ น้ำชาคาบแท่งบุหรี่ไว้ในปาก เธอคล้องสายกีตาร์ไฟฟ้าไว้ที่บ่าเล็ก ก่อนจะดีดกีตาร์ไฟฟ้าคู่ใจตัวนี้เพื่อเช็กซาวน์เสียงก่อนขึ้นแสดง
“มึง อีเจ๊กูว่านะ ที่แม่งให้เราเล่นวงสุดท้ายเพราะจะไม่มีใครดูแน่ ๆ เลยว่ะ คนแม่งก็หายไปหมดละ เป็นกูได้สาวก็ไปตั้งแต่สี่ทุ่มละ” เสียงของชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหลา ผมสีทองเป็นเอกลักษณ์ของเขา
“มึงจะไปรู้อะไรวะต้น เขาเรียกว่าไฟนอลโชว์” เจมส์พูดอย่างอารมณ์ดี แต่ก็ถูกเพื่อนอีกคนสวนกลับ
“หึ...ไฟนอลโชว์ก็เหี้ยละ” กั้งส่ายหน้าให้กับเจมส์เพื่อนรัก
“หรือว่าชา...มึงเรียกแขกหน่อยสิวะ แต่งตัวอะไรของมึง มึงรู้ไหมว่าที่เราโดนไล่ออกเพราะมันหมดยุคเพลงร็อกแล้ว” น้ำชาคีบบุหรี่ออกจากปากเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนที่เธอจะเขี่ยบุหรี่ลงที่โถแก้ว
“ขอแค่ได้เล่นไม่ใช่หรือไงที่เราเคยคุยกัน เรียกคงเรียกแขกอะไร เพ้อเจ้อว่ะเจมส์”
“แต่มึง...ไม่มีคนฟังแล้วมันจะเรียกว่าเสียงเพลงได้ไง มึงเห็นคนใบ้มะ เขาฟังไม่ได้เขาถึงพูดไม่ได้”
“เกี่ยวอะไรวะ” ต้นส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เจมส์จะสื่อ ทว่า
“แต่มึงก็แต่งตัวดี ๆ ก็ได้นิ หน้าสวย ๆ นมใหญ่ ๆ แบบมึง รับรองคนสนใจเราเหมือนตอนสมัยเรียนแน่ ๆ”
“หุบปากเหอะน่า” น้ำชาไม่ได้สนใจคำพูดของกั้งเลยสักนิด หัวใจของดนตรีไม่ได้อยู่ที่คนฟัง สำหรับเธอมันอยู่ที่คนร้องต่างหาก และขณะนั้นเอง
“วงอาสโทร พร้อมไหมคะ” น้ำชาหันหน้าไปมองหญิงสาวคนหนึ่งที่เปิดประตูพรวดเข้ามา อาสโทรคือชื่อวงดนตรีของเธอ มันแปลว่าดวงดาว หญิงสาวครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปหาเพื่อนในวง
“กูยังไม่ซาวน์เสียงเลยว่ะ”
“ก็มึงมัวแต่พูด” น้ำชาอยากจะทุ่มกีตาร์ใส่หัวของเจมส์ ทำเอาเพื่อนสองคนหัวเราะลั่นแต่ก็ถูกสายตาของน้ำชาตวัดหันไปมอง
“พร้อมไม่พร้อมก็ต้องพร้อม เล่นเหมือนที่เคยเล่น อย่าสนใจใคร แค่ได้เล่นเหมือนที่เราเคยได้เล่น” หญิงสาวว่าแค่นั้นก่อนจะเดินนำหน้าเพื่อน ๆ ออกไป แม้วันนี้จะเหนื่อยกับการทำงาน มีเรื่องให้หงุดหงิด ทั้งเรื่องงานและเรื่องไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่นัดเธอแต่กลับไม่มา แต่พอคิดว่าจะได้เล่นกีตาร์และร้องเพลงไปด้วย แค่นี้ก็ทำให้วันเฮงซวยของวันกลายเป็นวันที่ดี...ในความคิดของเธอ
แม้บรรยากาศภายในคลับจะมืดสลัว ทว่าความโดดเด่นของติณณภพก็เรียกสายตาให้ใครหลายคนได้หันมามอง เขาย่างเท้าเข้ามาภายในคลับ ในมือของเขามีเพียงกุญแจรถคันหรูและโทรศัพท์มือถือ คุณหมอหนุ่มยกยิ้มให้สาวสวยคนหนึ่งที่มองมา เธอยกมือขึ้นกระดิกปลายนิ้วเพื่อเชื้อเชิญเขา ซึ่งติณณภพก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ ให้ วันนี้เขาไม่ได้มาหาสาวที่ไหน เขามาหาคู่กรณีของเขา คิดได้ดังนั้นฝ่ามือหนาก็ยกมือถือขึ้นโทรหาคู่กรณีทันทีพร้อมกับเดินไปนั่งเก้าอี้หน้าบาร์เทนเดอร์ เขาโบกมือปฏิเสธรับแอลกอฮอล์เมื่อเห็นบาร์เทนเดอร์กำลังจะรับออเดอร์จากเขา
ตื๊ดด ตื๊ดด~
ขณะเดียวกันเจ้าของปลายสายกำลังตั้งสมาธิอยู่บนเวที น้ำชาสะดุ้งเล็กน้อยให้กับโทรศัพท์ที่สั่น เธอข่มเปลือกตาลง หญิงสาวลืมไปเสียสนิทว่าตนต้องปิดระบบสั่น แต่เธอก็ไม่ได้สนใจสายเรียกเข้านี้
รางบางในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งสีดำและกางเกงยีนทรงกระบอกตัวใหญ่ การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูรุ่มร่าม หญิงสาวดึงหมวกแก๊ปสีดำลงปิดใบหน้าจนเห็นเพียงปลายจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากรูปกระจับเท่านั้น
น้ำชายกมือขึ้นส่งซิกให้กับเพื่อนร่วมวง ก่อนจะเป็นกั้งที่เริ่มดีดเบสขึ้นเป็นคนแรก ซึ่งทันทีที่เสียงดนตรีดังขึ้น แสงสปอตไลต์ก็ได้ส่องขึ้นบนเวทีทันที ดนตรีสดในยามกลางคืนเช่นนี้ทำให้ใครหลายคนกลับมานั่งที่โต๊ะเหล้าดังเดิม
ริมฝีปากบางจ่อที่ไมโครโฟนประจำกาย น้ำชาใช้มือข้างหนึ่งจับขาตั้งไมค์ส่วนอีกข้างจับไมค์ไว้ ก่อนที่เธอจะเริ่มร้องเพลงออกมาตามจังหวะดนตรีที่ส่งให้ ซึ่งเสียงร้องที่แปลกจากครั้งไหน ๆ ทำให้ผู้คนในคลับหันมาสนใจมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงเขาคนนี้
ติณณภพยังคงยกโทรศัพท์แนบหู เขามองวงดนตรีที่อยู่บนเวทีด้วยความใคร่รู้ ราวกับถูกต้องมนต์ มนตราที่ทำให้เขาได้ยินแค่เสียงของนักร้องคนนี้ ความรู้สึกบางอย่างบอกให้เขาลดมือที่ถือโทรศัพท์ลง ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงที่บาร์ เขามองไปที่เวทีด้วยแววตาสิเน่หา
ขณะที่เสียงดนตรีถูกบรรเลงผ่านอดีตวงดนตรีที่โด่งดังจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศ อาสโทรกลุ่มดาวจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ พวกเขาเป็นที่รู้จักในมหา’ ลัยเป็นอย่างมากเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ทว่าด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ดนตรีที่ถูกขับกล่อมในสไตล์ร็อคนี้ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนในอดีต แม้ว่าเสียงจากร็อคเกอร์สาวจะเรียกคนทั้งคลับให้หันไปมอง ทว่ามันก็เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น
น้ำชาขมวดคิ้วให้กับเสียงกลองที่เพี้ยนไป แต่ถึงกระนั้นความเป็นมืออาชีพของเธอก็ไม่ได้ทำให้เพลงชะงักแต่อย่างใด หญิงสาวขยับหมวกเล็กน้อยเพื่อมองไปยังทางด้านล่างของเวที ผู้คนที่เริ่มไม่สนใจนี้เป็นต้นเหตุให้เจมส์ตีกลองผิดจังหวะอย่างไม่ต้องสงสัย
น้ำชาเม้มริมฝีปาก อย่างที่เจมส์ว่า...คนใบ้พูดไม่ได้เพราะไม่ได้ยินเสียง แล้วเธอจะร้องเพลงได้อย่างไรถ้าไม่ได้ยินเสียงคนฟัง
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็เริ่มเรียกแขกอย่างที่เจมส์ได้พูดไว้ น้ำชาวางกีตาร์โซโล่ของเธอลงบนเวที โดยปล่อยให้ต้นเล่นกีตาร์คนเดียว หญิงสาวดึงหมวกที่สวมอยู่ออก ก่อนที่เธอจะทิ้งมันอย่างไม่ไยดี โดยที่ริมฝีปากของเธอยังคงขับกล่อมเสียงเพลงดังเดิม ซึ่งการกระทำของเธอก็เริ่มเรียกแขกอย่างที่ตั้งใจให้เป็น แขกคนนั้นคงเป็นติณณภพด้วยกระมัง
ใบหน้าสวยหวานที่ปรากฏแก่สายตาของผู้คนเรียกความสนใจได้อีกครั้ง แถมหุ่นเซ็กซี่ที่เจ้าตัวได้ถอดเสื้อยืดตัวโคร่งนั้นทิ้ง เหลือไว้เพียงเสื้อกล้ามสีขาวที่สั้นจนเห็นเอวบางไร้ที่ปกปิด กางเกงยีนขายาวโหลดต่ำของเธอทำให้เรียกสายตาใครหลายคน
โทรศัพท์มือถือหลายเครื่องถูกยกขึ้นอัดวิดีโอพร้อมกับเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น คิดว่าสาวเจ้าจะเปลื้องผ้าจนหมด แต่เธอก็หยุดเพียงแค่นั้น น้ำชาดึงไมค์ออกจากขาตั้งไมค์ ก่อนที่เธอจะกระโดดลงจากเวที ทำเอาเพื่อนร่วมวงตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
ร่างบางในสัดส่วน...อกสามสิกหก เอวยี่สิบสี่ สะโพกสามสิบห้าเดินอย่างช้า ๆ พร้อมกับยกไมค์ขึ้นร้องเพลง เธอทำให้ผู้คนทั้งคลับนิ่งค้างด้วยเสน่หาทางสายตา น้ำชายกยิ้มบาง ๆ ให้กับสายตาของผู้คนที่มองมา เธอสวยสะกด สะกดให้ติณณภพลุกขึ้นยืนในทันที
เสียงเพลงที่เธอขับร้อง เวลาเธออยู่บนเตียง...เสียงเธอจะเป็นเช่นไรกันนะ ติณภพคิดในใจพร้อมกับยกยิ้ม เขารู้สึกคุ้นหน้าเธอราวกับเคยเจอกันที่ไหนสักที ขณะเดียวกันที่ร็อกเกอร์สาวเพิ่งหันมาสบตากับเขา เธอจำได้แม่นว่าไอ้ผู้ชายคนนี้คือคนที่เข้ามาเคาะประตูห้องเธอและถามว่าเธอใช่ไหมที่ขายตัวให้เขา!!
น้ำชาชะงักเล็กน้อย เธอกะพริบเปลือกตาด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงเพลงของเธอขาดห้วงแต่อย่างใด หญิงสาวหันกลับมาสนใจผู้คนที่กำลังให้ความสนใจเธออย่างหนัก ซึ่งความคุ้นใบหน้าของติณณภพก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของเด็กสาวในเสื้อฮู้ดวันนั้น
“หึ...ไม่เด็กเลยสินะ” ติณณภพฉีกยิ้ม เขาลืมเรื่องที่ตัวเองตั้งใจมาที่นี่เสียสนิท แต่ที่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ คงเป็นเพราะรอทำความรู้จักกับเธอกระมัง...