บทที่ 1 โรคจิต
ปัง!!
-Other-
เสียงกระแทกประตูดังสนั่นหวั่นไหวภายในคอนโดมิเนี่ยมหรู ทำเอาคนตัวโตที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่นั้นสะดุ้งอย่างแรง เขาเอนตัวไปทางด้านหลังพร้อมกับหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ติณณภพ ลืมตาขึ้นด้วยความรวดเร็ว เขาขมวดคิ้วยุ่งให้กับการกระทำของสาวน้อยคนนี้
“อะไรวะ” เขาพึมพำออกมาด้วยความมึนงง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหมายเลขห้องที่ติดไว้อยู่บนบานประตู
“ก็ไม่ผิดนิวะ อะไรวะเนี่ย” ชายหนุ่มส่ายหน้า และขณะนั้นเองที่เสียงเปิดประตูห้องตรงกันข้ามก็ได้ดังขึ้น
แกร็ก!
แอ๊ดด...
“คุณติณณ์หรือเปล่าคะ” เสียงหวานใสของผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงหันหลังไปมอง เขามองหน้าเธอสลับกับหน้าจอโทรศัพท์
“อ๋า...ผิดคนสินะ” รอยยิ้มมุมปากถูกยกขึ้นสูง สาวน้อยเมื่อครู่ดูท่าจะโมโหที่เขาเคาะห้องผิด ทำอย่างไรได้เล่า ก็เลขห้องมันเขียนอย่างนี้นี่น่า
“เหมือนคุณจะเขียนเลขห้องผิดนะ”
“โอ๊ะ! จริงเหรอคะ...” หญิงสาวตรงหน้าเขาทำหน้ามึนงง เธอมองโทรศัพท์เครื่องหรูที่ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ยื่นให้
“จริงด้วย...ขอโทษนะคะ นิ้วมือมันคงไปโดนตอนพิมพ์น่ะค่ะ”
“หึ เธอทำให้ฉันโดนด่าว่าบ้า” เขาส่ายหน้าให้กับความผิดพลาดของเจ้าหล่อน ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนเมื่อครู่กำลังคิดอะไรอยู่ เธอคงไม่คิดว่าเขาโรคจิตใช่ไหม
“ขอโทษค่ะ คือว่า เอ่อ...”
“เฮ้อ เธอทำให้ฉันเสียเวลา” หญิงสาวคนสวยเดินเข้ามาหาเขา เธอยังอยู่ในชุดนักศึกษา ร่างบางอรชรเดินอย่างช้า ๆ ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นถือวิสาสะแตะไหล่หนาเบา ๆ
“ไม่เสียเวลาแน่นอนค่ะ คุณติณณ์จะไม่เสียเวลาเลยล่ะค่ะ” เธอว่าพร้อมกับยิ้มหวาน
“หึ เหรอ ฉันต้องลองก่อนใช่ไหม”
“แน่นอนสิคะ” ติณณภพเลื่อนลำแขนไปโอบเอวเจ้าหล่อน สาวมหาลัยนี่เนื้อคงอ่อนน่าดู ดูท่าจะเคี้ยวง่ายอย่างที่คิดไว้ในหัว ร่างหนาโอบเอวสาวเจ้าเข้าไปไปในคอนโดหรูนี้โดยที่เจ้าตัวก็รู้ว่ามีคนติดตามเขาและถ่ายรูปเขาไว้
ทุกการกระทำ ทุกฝีก้าวย่างเดิน ชายหนุ่มรู้ รู้ว่ามีคนเฝ้ามองเขาอยู่ตลอด และแน่นอนว่าเขาจงใจทำทุกอย่าง...ทุกสิ่ง ให้ใครคนนั้นเห็น....
วันต่อมา
-น้ำชา-
เช้าวันที่น่าเบื่อ
เฮงซวยเพราะรถเสีย และที่บ้ามาก ๆ คือการออกมาเจออะไรที่อุบาทว์ตาแบบนี้ ไอ้ผู้ชายโรคจิตเมื่อวานมันมายืนทำอะไรอยู่หน้าห้องฉันกับผู้หญิงคนนี้
พลอดรักงั้นเหรอ
“บ้าชะมัด!!”
ปึก!!
ฉันยกฝ่าเท้าถีบบานประตูห้องตัวเองเมื่อมองเห็นว่าผู้ชายคนเมื่อวานกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนหนึ่งผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ กล้องถ่ายภาพตรงหน้าประตูห้องฉันมันก็ชัดเสียเหลือเกิน ฉันจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เธอเป็นนักศึกษาที่อยู่ห้องตรงข้ามกับฉัน เราเดินสวนกันบ่อยครั้ง
“หึ อะไรมันจะขนาดนี้ เอาไปทั่วอย่างกับหมา” ฉันรู้...รู้ว่าเรื่องใคร่ ๆ แบบนี้เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่มันใช่ไหมที่จะมาเอากันตรงหน้าห้องฉันแบบนี้!
และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ ผู้ชายคนเมื่อวานถอนจูบออกก่อนที่เขาจะโบกมือลาเธอคนนี้และเดินจากไป อดไม่ได้จริง ๆ ที่ฉันจะสงสัย เมื่อวานเขามาถามฉันว่าได้ขายตัวให้เขาไหม ราวกับว่ากำลังถามหาสาวบริการ งั้นแสดงว่าเธอคนนี้...ขายบริการสินะ
ฉันส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกจากหัว ใครจะขายบริการ ใครจะขายถั่ว ใครจะขายข้าวแกงมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน และขณะนั้นเอง
ครืดด ครืดด~
เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น ในเวลานี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากสหายเพื่อนรัก
ติ๊ด!
[เจ๊ มาไงอ่ะ]
“เหาะไปมั้งถามได้” ฉันว่าพร้อมกับเปิดประตูออกจากห้อง
[ผมถามดี ๆ น่ะเจ๊นะ] ฉันกลอกตามองบน ไม่รู้พวกนี้เป็นอะไรนักหนากับการกวนประสาทฉันโดยการเรียกฉันว่าเจ๊และแทนตัวเองว่าผมแบบนี้
“ก็นั่งรถดิวะถามได้”
[จริงอ๋อ เจ๊ไม่เดินมาอ่ะ]
“เดินทำไมวะไอ้เจมส์”
[ก็นึกว่าเจ๊จะขยันเดินอีก ฮ่า ๆ]
“ไอ้บ้า! ถ้ามึงจะโทรมากวนส้นแค่นี้ก็ตัดสายไป” ฉันว่าอย่างนึกโมโห คนกำลังรีบ ๆ อยู่
[ฮ่า ๆ กูรอมึงหน้าคอนโด รีบออกมา]
“หึ เลิกกวนแล้วหรือไง” ฉันส่ายหน้าอย่างนึกขัน พูดแบบนี้ก็แล้วไป พวกนี้แค่ชอบกวนให้ฉันโมโห นี่แหละนะการเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม มันอยากแกล้งมันก็แกล้ง มันอยากกวนมันก็กวน
[รีบมาดิวะ]
“รีบได้ไง ลิฟต์บ้านมึงวิ่งลงได้เหรอ”
[เอ้อ ๆ รออยู่เนี่ย]
ติ๊ด!
“ใครบอกให้มารับวะ...” ฉันกดตัดสายด้วยความรำคาญหู ไม่ได้บอกให้มารับ คอยดูมารับรอบนี้หนูอิ๊งของมันคงร้องเอ๋ง ๆ แล้ว
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนลิฟต์ดังขึ้นเมื่อมันเคลื่อนมาถึงที่หมาย ซึ่งพอลงจากลิฟต์ฉันก็ต้องชะงักให้กับผู้ชายคนเมื่อครู่ที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ เหมือนว่ากำลังเคร่งเครียด คิ้วของเขาชนกันจนจะซ้อนทับกันได้แล้ว ทว่า
“เจ๊!!”
เสียงไอ้เจมส์...
ฉันหันไปตามเสียงเรียกนั้นก่อนจะก้าวขาเดินอย่างฉับไว
“เรียกขนาดนี้มึงไม่ไปประกาศเรียกเลยล่ะ”
“ทำได้ง่ะ คอนโดเจ๊อย่างแพงทำได้เหรอ” ฉันถอนหายใจออกมา ก่อนจะยื่นมือไปรับเอาหมวกกันน็อคมาสวมใส่ เมื่อไรพวกนี้จะเลิกล้อว่าฉันรวยทั้ง ๆ ที่พวกมันก็มีเงินกันทั้งนั้น
“ซิ่งเลยนะเจ๊นะ”
“จัดไป...” ฉันก้าวขาขึ้นรถบิ๊กไบค์คันโตของไอ้เจมส์ ก่อนที่มันจะเบิ้ลรถเสียงดังสนั่นคอนโด แน่นอนว่าคนมองกันพรึ่บเป็นตาเดียว
“เล่นไรของมึง ไปได้แล้ว”
“กอดเอวพี่แน่น ๆ นะน้องนะ” ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเลื่อนแขนไปโอบเอวหนาของมัน แน่นอนว่าฉันไม่ได้แค่กอดไอ้เจมส์ ฉันกอดทั้งไอ้ต้น ไอ้กั้ง เราเลยคำว่าเพื่อนแล้วล่ะ
เราเป็นครอบครัว...
-Other –
“พอดีผมไม่สบายใจน่ะครับ ไม่เห็นว่าเจ้าของรถจะโทรมา...” ติณณภพถือโทรศัพท์พูดคุยมาจนถึงรถยนต์คันหรู แม้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุจากการเหม่อลอยของตัวเองเมื่อวาน แต่เขาก็ให้คนมาเปลี่ยนรถได้ทัน
[แล้วคุณติณณ์จะให้ผมช่วยอะไรครับ รถหรูแบบนั้นอาจจะซ่อมเองหรือเปล่า บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากเอาเรื่อง]
“เอ่อ ช่วยตามกล้องวงจรปิดแล้วหาเจ้าของรถให้ด้วยนะครับ”
[ครับ คุณติณณ์จะกลับบ้านไหมครับอาทิตย์นี้ คุณหญิงย่าถามหานะครับ]
“คงไม่แล้วครับ” ชายหนุ่มตอบกลับ เขาขึ้นรถมาแต่ไม่ได้ขับออกในทันที ร่างหนานั่งคุยโทรศัพท์อยู่กับที่
[ครับ แต่เห็นว่าคุณเตชินท์จะมานะครับ]
“ครับ ผมรู้แล้ว...แค่นี้นะครับ ถ้าเจอแล้วยังไงโทรหาด้วยนะครับ”
[ครับ] พอได้ยินปลายสายตอบรับ เขาก็กดตัดสายในทันที ร่างหนาค่อย ๆ ขับรถคันหรูจากไปอย่างช้า ๆ เพราะยังไม่ถึงเวลางาน
เมื่อคืนหนักเอาเรื่อง หรือเขาแก่เกินไปกันนะ หนุ่มวัยสามสิบสี่ปีอย่างเขานี่เรียกว่าแก่หรือยัง ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก เขายังไม่แก่หรอกมั้ง
“เฮ้ออ...สติ ๆ” ติณณภพพึมพำออกมา ช่วงนี้เขาเหม่ออยู่บ่อยครั้ง เพราะมีเรื่องให้คิดอยู่เต็มหัว ทำให้เมื่อวานขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือไปชนรถคนอื่นเข้าให้ ซึ่งช่วงนั้นเขาก็มีเคสด่วนที่โรงพยาบาลทำให้ต้องไปก่อน ทิ้งไว้เพียงกระดาษโน้ตเล็ก ๆ หน้ากระจกรถ ทว่ากลับไม่ได้รับการติดต่อกลับ และที่ทำให้รู้ว่าอาการของเขาหนักมากก็คงเป็นเมื่อวานกระมังที่มองไม่เห็นว่ามีสาวน้อยคนหนึ่งกำลังจะจ่ายเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์ เหตุการณ์เสียมารยาทนั้นจึงเกิดขึ้น แถมเธอยังเป็นคนเดียวกับเจ้าของห้องที่เขาไปเคาะประตูอีก ชายหนุ่มจำฮู้ดของเธอได้...หน้าของเธอเหมือนเด็กที่ยังเรียนไม่จบมหา’ลัย แต่สวยจนเขาตะลึงเลยล่ะ
ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มเจ้าของรถเบนซ์ก็มาถึงสถานที่ทำงาน ตึกศัลยกรรมทั่วไปตรงหน้าทำให้เขาตื่นขึ้นมาทันที เคสผู้ป่วยคงรอเขาอยู่ปึกใหญ่แน่ ๆ คิดได้ดังนั้นฝ่ามือหนาก็รีบคว้าเอากระเป๋าสะพายหลังและเสื้อกาวน์ยาวของตนออกจากรถในทันที
เหล่าพยาบาลค้อมศีรษะให้กับเขาเมื่อเห็นว่าเขาเดินผ่าน ติณณภพเรียนจบแพทย์ภายในหกปีและกว่าจะเรียนจบเฉพาะทางอายุก็ล่อเข้ามาเลขสาม ชายหนุ่มเป็นที่เคารพรักของเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหน้าตา ชาติตระกูล และความสามารถที่เขามี แต่แล้ว
“หมอ! เกือบสายแล้วนะครับ” เสียงทุ้มลึกที่ดังขึ้นทำให้ร่างหนาหยุดชะงักฝ่าเท้า เขากำลังตรงไปยังห้องพักแพทย์ของเขาเพื่อแต่งตัว ถึงแม้จะอาบน้ำไปกับสาวสวยคนเมื่อเช้าแล้วก็ตามแต่
“ครับอาจารย์ แต่ไม่สายนะครับ” เขาหัวเราะเบา ๆ นาน ๆ จะไม่มีเวร พอออกไปก็เอาให้คุ้มแถมยังได้ทำตามแผนอีก
“แล้วเป็นไงบ้าง ผมเป็นห่วงคุณนะ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ไปพบจิตแพทย์”
“ครับ ขอบคุณครับอาจารย์”
“ดูแลตัวเองหน่อย พลาดมาในห้องผ่าตัดแก้อะไรไม่ได้แล้วนะ ความผิดพลาดบางอย่างจะติดตัวไปตลอด ผมเป็นกำลังใจให้” ติณณภพค้อมศีรษะให้กับผู้อาวุโสกว่า เขายิ้มรับให้กับคำแนะนำนั้น
ร่างหน้าเดินหายเข้าไปในห้องพักของตนเอง เขาวางกระเป๋าสะพายหลังลงบนเก้าอี้ทำงาน ก่อนจะคว้าเสื้อกาวน์ยาวมาสวมใส่ หวนนึกถึงเรื่องที่อาจารย์หมอพูด ความผิดพลาดอย่างนั้นหรือ เพราะความผิดพลาดนั่นแหละทำให้ชีวิตเขาติดแหง็กอยู่อย่างนี้ และขณะนั้นเอง
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนแอปพลิเคชันไลน์ทำให้เขาหันไปมองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางลงบนโต๊ะทำงาน
[ติณณ์ มิ้งรู้ว่าติณณ์ไปไหนมา]
ติ๊ง!
[ทำไมทำอย่างนี้]
ติ๊ง!
[ถ้าติณณ์ไม่หยุดยุ่งกับอีกะหรี่นั่น มิ้งจะทำให้มันหายไป]
ติ๊ง!
[ติณณ์ มิ้งไม่ได้ขู่นะ] ชายหนุ่มชำเลืองสายตามองก่อนจะเลื่อนนิ้วมือไปกดปิดเสียงโทรศัพท์ ร่างหนาคว้าโทรศัพท์เครื่องหรูมาใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่สนใจข้อความไลน์ที่ยังส่งมาไม่หยุด หากไม่ติดว่าต้องคุยเรื่องลูกเขาจะบล็อกไลน์เธอทิ้ง แต่แล้ว
โทรศัพท์ของเขาก็สั่นราวกับว่ามีคนโทรมา ติณณภพไม่อยากรับสายเจ้าหล่อน เขาอยากปิดเครื่องหนีแต่ก็กลัวว่าจะมีเคสด่วนโทรหาเขาผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถ้าไม่รับเธอก็คงโทรมาไม่หยุด
ติ๊ด!
“พอเถอะน่า...”
[พอ พออะไรวะ] น้ำเสียงไม่คุ้นหูทำให้ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออกมาดูรายชื่อ เบอร์ไม่มีรายชื่อเขาก็นึกว่าเป็นอดีตภรรยาที่โทรมาโดยใช้เบอร์อื่นเพราะกลัวเขาไม่รับ แต่เสียงนี้...มันแปลก ๆ
[หน็อย~ ชนรถคนอื่นยังจะมีปากบอกว่าพอเถอะ พอเถอะบ้านแกน่ะสิ] ติณณภพถึงบางอ้อ เขาก็นึกว่าใครโทรมาที่แท้เป็นเจ้าของรถนี่เอง
“ขอโทษครับ เอ่อ...มีคนติดต่อไปแล้วใช่ไหมครับ”
[อืม...]
“โอเคครับ เดี๋ยวผมให้คนจัดการรถให้นะครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจผมจะขอเลี้ยงกาแฟเป็นการขอโทษ”
[เหอะ ที่ไหน ฉันก็อยากจะดูหน้าคุณเหมือนกัน] ติณณภพขมวดคิ้ว เธอพูดอย่างนี้เหมือนกับอยากดูหนังหน้าเขาอย่างไงอย่างงั้น
“สองทุ่มที่ร้านกาแฟที่คุณจอดรถไว้น่ะครับ”
[สองทุ่ม? ฉันไม่ว่าง...งั้นเจอที่คลับฟรายเดย์]
“อ้อ ได้ครับ” เขายังไม่ได้พูดอะไรต่อ ต้นสายก็กดตัดสายทิ้งไป ทำเอาคุณหมอหนุ่มมึนงง ชายหนุ่มไม่โกรธเธอที่เธอจะโมโห เขามันบ้าที่ไม่ดูอะไรขับรถไปชนรถของเธอเอง ติณณภพส่ายหน้า ฝ่ามือหนาเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิมโดยไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านข้อความจากแอปพลิเคชันไลน์แม้แต่ข้อความเดียว...