ติ๊ง!
Milin : เย็นนี้เจอกันได้ไหมคะ
“...” ผมอ่านข้อความที่ผู้จัดการไร่ส่งมาแต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าจะตอบอะไรเธอก็ส่งข้อความต่อมา
Milin : มีชาตัวใหม่จะให้คุณชิมค่ะ
Milin : ที่ห้องทำงาน
Tankun : ไว้ผมจะโทรหา
Milin : จะมาชิมใช่ไหมคะ
Tankun : ชงไว้แล้วกัน
Milin : ค่ะ รีบมาชิมนะคะMilin : ❤️
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับ คุยกันแค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
ติ๊ด!
“ว่าไงแก” เสียงกระซิบคุยโทรศัพท์ดังมาจากเบาะด้านหลัง ไม่มีใครหรอกเพื่อนขวัญเอยนั่นล่ะ
“ออกมาข้างนอก ไม่รู้เหมือนกันอ่ะมากับพี่เอื้องพี่เขาให้มาเป็นผู้ช่วย ไปแม่แตงไกลไหมอ่ะฉันไม่รู้เหมือนกัน” ขวัญเอยสินะที่โทรมา
“ไกล”
“...คะ?”
“ไกล” ผมย้ำคำเดิมอีกครั้งหลังจากที่เมื่อกี้พูดไปแล้วว่าไกล
“ค่ะ...ไกลแก”
“อื้อ เสียงพี่...เสียงคุณแทนคุณนั่นแหละ แกจะคุยไหมล่ะ โอเค ๆ คุณแทนคุณคะ”
“ว่าไง” เธอเรียกผมความจริงก็รู้แล้วล่ะครับว่าเรียกทำไม ฟังคำพูดที่คุยก็รู้แต่ถามไปงั้นเดี๋ยวจะหาว่าผมตั้งใจฟังเธอคุยโทรศัพท์
“ยัยเอยจะคุยด้วยค่ะ”
“อื้ม” ผมหันไปนิดหน่อยแล้วเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์จากมือเล็ก ๆ ของเธอ ผมหยิบแบบไม่ได้ตั้งใจเลยเผลอจับโดนมือเธอ มือนิ่มดีครับ แต่ผมแค่วิจารณ์ไม่ได้มีอะไรมากหรอก
“ว่าไงเอย”
(ไม่เอาน้องไปด้วย)
“หึ ๆๆ ให้มาฝึกงานไม่ได้ให้มาเที่ยวอย่างอแง”
(ชิส์! ก็อยากไปบ้างนี่นา เอาไว้ว่าง ๆ พาไปเที่ยวแม่แตงหน่อยนะคะ)
“อื้ม เดี๋ยวพี่พาไปแต่วันนี้มาทำงานไม่ต้องอยากมาหรอกทั้งเหนื่อยทั้งร้อนนั่งทำงานในห้องแอร์ดีกว่าเชื่อพี่”
(ค่า~ ถ้างั้นฝากดูแลเพื่อนเอยด้วยนะคะ)
“อื้ม”
(ยัยมิ้งค์ดูเกร็ง ๆ พี่แทนนะคะ อย่าทำหน้าดุใส่เพื่อนเอยมากนะคะ)
“อื้ม”
(เอาแต่อื้มนี่แสดงว่า?)
“พี่รู้แล้ว คุยกับเพื่อนเราต่อไหม”
(ค่ะ)
“ครับ” ผมยื่นโทรศัพท์คืนให้เพื่อนขวัญเอยโดยที่ไม่ได้พูดอะไรแล้วเธอก็คุยกับขวัญเอยต่อแต่ไม่นานก็วางสายส่วนเอื้องคำไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ ผมมาดูแลที่นี่ได้ไม่นานแต่จากประสบการณ์ถ้าขึ้นรถเดินทางไปต่างอำเภอเมื่อไหร่จะหลับตลอด ไม่หลับอย่างเดียวยังใจดีคลอเพลงให้คนในรถฟังอีกต่างหากแต่ช่างเถอะผมไม่อยากเป็นเจ้านายที่ทำให้ลูกน้องเกร็ง นั่งบนรถถ้าไม่มีเรื่องงานต้องคุยก็พักผ่อนไปเลยดีกว่านั่งง่วงแล้วก็ไปง่วงต่อตอนถึงเวลาลุยงาน
“อยากเข้าห้องน้ำรึเปล่า”
“...”
“อยากเข้าห้องน้ำรึเปล่า” ผมพูดคำเดิมอีกรอบเพราะอีกฝ่ายเงียบ
“คะ? ถามฉันเหรอคะ”
“ถามเอื้องคำมั้งกรนขนาดนั้น” ผมหันไปเหน็บเธอเบา ๆ ในรถมีกันแค่นี้จะให้ถามใครวะ
“ก็ไม่คิดว่าจะถามนี่คะ”
“...”
“ขอโทษค่ะ”
“ตกลงจะเข้าไหม?”
“...ถ้าไม่เข้าแต่ขอซื้อกาแฟแทนได้ไหมคะ”
“อยากกินกาแฟ?”
“ค่ะ” ก็คงจะอยากกินจริง ๆ เพราะตาเธอลอยเหมือนคนง่วงนอนมาก
“คราวหลังถ้าอยากทำอะไรมีปากก็ต้องพูด” ผมสอนเพราะถ้าผมไม่ถามก็คงไม่ได้กินแต่พอผมบอกเธอกลับชักสีหน้าไม่พอใจออกมา
“ก็ไม่ได้อยากอะไรขนาดนั้นค่ะ” จากหน้าตาที่ดูง่วงนอนก็กลายเป็นถือดีขึ้นมาทันที เชิดหน้าจนหน้าจะขนานกับหลังคารถอยู่แล้ว หึ ๆๆ เห็นแล้วหมั่นไส้ว่ะ
“ไม่กินก็ได้ว่างั้น”
“ค่ะ”
“ตกลงจะกินไม่กิน”
“ไม่กินค่ะ” หึ ๆๆ เห็นแล้วหมั่นไส้ว่ะ
“แน่ใจ?”
“ค่ะ แน่ใจค่ะ แน่ใจมากด้วย” อ่าส์! ยัยนี่ไม่รู้ตัวรึไงวะว่าอีกแค่ไม่กี่องศาหน้าเธอที่มันเชิดอยู่จะขนานไปกับหลังคารถแล้วจริง ๆ
เป็นเด็กที่ทำให้ผมทั้งขำทั้งหมั่นไส้เธอมากได้ภายในเวลาไม่นาน
“โอเคถ้างั้นก็ตามใจ ก้าน”
“ครับนาย”
“แวะปั้มข้างหน้าทีนะ หิวกาแฟว่ะ”
“ครับนาย”
“ชิส์!” ผมได้ยินเสียงจิ๊ปากเบา ๆ จากเธอแต่ไม่โกรธหรอกเพราะสนุกผมที่ได้ทำให้ยัยนี่หมั่นไส้ผมได้เหมือนที่เธอทำให้ผมโคตรหมั่นไส้เธอต่างหาก
ไม่นานคนขับรถก็ขับเข้าปั้มผมก็ลงจากรถทันที ไม่ใช้ใครไปซื้อทั้งนั้นเพราะทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเอง เป็นพนักงานไม่ใช่ขี้ข้าเป็นเจ้านายก็ไม่ได้มีสิทธิ์ใช้ให้พนักงานทำทุกอย่างได้ เอื้องคำก็ยังเป็นเอื้องคำที่หลับไม่รู้ตื่นแต่เชื่อผมไหมถ้าไปถึงที่หมายจริง ๆ พนักงานของผมคนนี้จะตื่นได้เองอย่างกับมีพลายกระซิบคอยปลุก ส่วนคนที่นั่งข้างหลังก็ยังนั่งนิ่งหน้าเชิดมองหลังคารถเหมือนเดิม
“ตกลงกินไหม?”
“ไม่ค่ะ”
“หิวก็กินไม่เห็นต้องหยิ่ง” ว่าจะไม่เรียกแล้วนะเพราะหมั่นไส้แต่สุดท้ายก็สงสารเด็กว่ะ
“ไม่ได้หยิ่งค่ะแต่ไม่หิวแล้ว”
“ลงมา”
“ไม่อยากกินแล้วค่ะ”
“ลงมา” เสียงผมดุขึ้นแต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
“...เชิญคุณตามสบายเลยค่ะ”
“ลง”
“...”
“หนึ่ง”
“...เฮ้อ~” หึ! แอบกรอกตาถอนหายใจเบา ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องลงมาอยู่ดีพอเธอลงมาผมก็เดินนำเข้าไปในร้านกาแฟ มองจากกระจกของร้านกาแฟก็เห็นเพื่อนขวัญเอยเดินตามแล้วทำหน้าตึงใส่ผม
ยัยเด็กนี่เป็นผู้หญิงที่น่าหมั่นไส้มากเลยว่ะ เห็นแล้วอยากแกล้งให้หายหมั่นไส้สักที
ผมเดินเข้าร้านกาแฟก็เดินไปนั่งทำให้เธอปลายตามามองผมนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ทำเป็นเชิดหน้าขึ้นไม่สนใจผมแล้วเดินไปสั่งกาแฟของตัวเอง
“ไอซ์ลาเต้ค่ะ”
“แก้วเดียวนะคะ”
“ค่ะ” หึ ๆๆ ไม่มาถามผมในฐานะเจ้านายสักคำว่าจะดื่มอะไร ให้มันได้อย่างนี้สิ
“ทั้งหมด XXX บาทค่ะ”
“ค่ะ...เอ่อ” ผมมองเธออยู่แต่ดูเหมือนจะเกิดปัญหากับเธอขึ้น ลืมเอาเงินมาจากรถสินะ
“คือรอสักครู่นะคะ” เธอยิ้มแห้งทำหน้าเกรงใจใส่พนักงานแล้วก็รีบหมุนตัวจะเดินไปเอาเงินที่รถ
“มานี่”
“...คะ”
“มานี่” ผมเรียกเธอด้วยคำเดิมอีกครั้ง เรียกด้วยสีหน้านิ่ง นั่งนิ่ง ๆ อยู่ท่าเดิมทำให้เธอกรอกตาใส่
“รอสักครู่ค่ะขอไปหยิบของก่อนพี่เขารอ”
“มานี่” ผมใช้น้ำเสียงดุอีกครั้งทำให้เธอทำหน้าจำใจแล้วเดินมาหา พอมาถึงผมก็ยื่นมือออกไป
“อะไรคะ”
“เอาไปจ่าย”
“เดี๋ยววิ่งไปเอาเงินที่รถแป๊บเดียวค่ะ”
“เอาไปจ่าย” ทำไมผมต้องพูดคำเดิมซ้ำสองรอบสามรอบกับเด็กคนนี้แทบจะทุกคำด้วยวะ พูดง่าย ๆ ทำตัวไม่น่าหมั่นไส้มันจะเป็นอะไร ขวัญเอยว่าดื้อแล้วเจอเธอเข้าไปขวัญเอยชิดซ้ายไปเลย
“ร้อยเดียวค่ะ”
“พนักงานรอจะลีลาทำไมวะรีบเอาไป”
“...” เธอทำหน้าไม่พอใจใส่ที่โดนผมตำหนิแต่ก็ยอมหยิบกระเป๋าเงินที่ผมยื่นให้ไป หยิบกระเป๋าเสร็จก็สะบัดหน้าเดินไปที่แคชเชียร์ทันที
“นี่ค่ะ”
“แฟนหล่อมากเลยนะคะ”
“เจ้านายค่ะ!” หึ ๆๆ ตอนแรกคุยกับพนักงานเสียงน่ารักพอถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกับผมเท่านั้นล่ะเสียงยัยนี่แม่งเปลี่ยนทันทีทำพนักงานยิ้มแห้งแทบไม่ทัน
“นี่ค่ะ” พอจ่ายเงินเสร็จเธอก็เดินเอากระเป๋ามายื่นคืนให้ผม หน้าหงิกหน้างออะไรขนาดนั้นแม่คุณแค่โดนเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกันแค่นั้นเอง
“อเมริกาโน่”
“อะไรคะ”
“อย่าให้พูดซ้ำบ่อย ๆ”
“...”
“เร็ว สั่งชาเขียวเย็นกับลาเต้ให้สองคนนั้นด้วย”
“ค่ะ!” เธอกระแทกเสียงใส่ผมแล้วก็สะบัดหน้าใส่ หึ! โคตรน่าเดินไปเอาเรื่องที่กล้าทำกิริยาแบบนี้ใส่เจ้านายแต่แม่งความสวย อ่าส์! ไม่สิไม่ใช่แบบนั้นใครจะไปคิดแบบนั้นวะ เพราะความเป็นเพื่อนรักของขวัญเอยต่างหากที่ทำให้ผมไม่อยากเอาเรื่องเธอเท่าไหร่ไม่งั้นยัยหน้าสวยคนนี้เละไปนานแล้ว