นาราภัทรยืนมองแปลงกุหลาบอย่างเหม่อลอย นับตั้งแต่ที่เธอได้เจอกับกิตติภพเมื่อหลายวันก่อน กี่ปีแล้วนะ ที่เธอพยายามหลบหน้า ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ยอมให้ชายหนุ่มได้เห็น แต่ทำไมโชคชะตาถึงได้โหดร้ายกับเธอนัก หลบมาได้ตั้งหลายปี แต่สุดท้ายเธอก็หลบไม่พ้น แต่วันนี้หัวใจของเธอกลับหวาดกลัว เริ่มกลัวในสิ่งที่เธอรู้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ไม่มีทางหรอกที่ผู้ชายเห็นแก่ตัว เห็นความรักของผู้หญิงเป็นเรื่องสนุก...จะรักเธอ อย่างที่เขาเคยพูด
เธอไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาดว่าผู้ชายที่ชื่อ กิตติภพ พิตตินันท์ จะรักใครเป็น
หญิงสาวร่างเล็กสาวเท้าเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของหญิงสาวร่างเพรียวบางเสียแล้ว ใบหน้าหวานดูกังวลไม่น้อยกับอาการของเพื่อนรัก หลายปีที่ผ่านเธอและนาราภัทรต่างก็หลบสองหนุ่มจอมร้ายกาจมาได้ตั้งนาน ทำไมสวรรค์ถึงไม่เห็นใจเธอและเพื่อนรักบ้าง
“ยืนเหม่ออะไรของแกอยู่นะ...นารา” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง มือเรียวเล็กเอื้อมไปจับแขนของเรียวของนาราภัทร
คนโดนจับแขนถึงกับละสายตาจากดอกกุหลาบงาม แล้วก็หันมามองเจ้าของมือเรียวเล็กอย่างตกใจ หญิงสาวปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักกำลังทำหน้ายุ่ง เธอก็หัวเราะออกมาทีเดียว ก็ไอ้สีหน้ายุ่งๆ บึ้งๆ จนแทบกลายเป็นหงิกอยู่ร่อมร่อในขณะนี้ มันบ่งบอกได้ดีทีเดียวว่า เพื่อนรักของเธอคนนี้กำลังไม่สบอารมณ์กับอะไรสักอย่าง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะจันทร์”
“ก็คุณแม่น่ะสิ บอกว่าอีกสามวันให้รีบกลับ”
“อ้าว ทำไม”
“มีงานเลี้ยงที่รีสอร์ตนะ” ปลายตะวันพึมพำเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
“ก็ไหนว่าช่วงนี้ไม่มีงานเลี้ยงไง” นาราภัทรแปลกใจกับคำตอบของปลายตะวัน
“คุณแม่ลืมนะ” ใบหน้าหวานดูหงุดหงิดไม่น้อย เธอไม่มีวันเชื่อหรอกว่ามารดาลืม ปกติแล้วแม่เลี้ยงปลายรุ้งเป็นผู้หญิงที่รอบคอบที่สุดถึงมากที่สุด การที่ท่านพูดแบบนี้ มันต้องมีอะไรแอบแฝง
“เอาน่าจันทร์ กลับไปรีสอร์ตก่อนก็ได้นี่นา จากนั้นก็ค่อยกลับมาที่ไร่ใหม่ อีกอย่างรีสอร์ตกับไร่กุหลาบก็อยู่ไม่ห่างกันสักเท่าไหร่เลย” นาราภัทรเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานกึ่งหยอกล้อ
“แต่ฉันว่ามันต้องมีอะไรแอบแฝงนะ”
“ไม่หรอกมั้ง” น้ำเสียงหวานตอบ
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลย เหมือนกับว่าคุณแม่กำลังคิดจะทำอะไรอยู่แน่ๆ”
สาวร่างเล็กหันไปมองเก้าอี้ตัวเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่เธอและเพื่อนรักยืนอยู่ เท้าเล็กก้าวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็หันมามองนาราภัทรด้วยสีหน้าเซ็งจัด กับเรื่องที่กำลังคุยกันไม่น้อย
“มานั่งเลยแก ฉันยืนคุยกับแกนานแล้วนะนารา มานั่งคุยกันดีกว่า”
“ฉันยังไม่เห็นเมื่อยเลย ยืนอยู่ตรงนี้นานกว่าแกอีกนะจันทร์”
“พอเลยนารา ฉันไม่ได้แข็งแรงเหมือนแกนี่นา ดูสิแค่ส่วนสูงก็ต่างกันลิบลับแล้ว”
นาราภัทรสูงประมาณร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรในขณะที่เธอสูงเพียงร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตร แต่หากเปรียบเทียบกันแล้วนับว่าเธอตัวเล็กนิดเดียว เรียกได้ว่าเป็นสาวฉบับกระเป๋าทีเดียว
“อะไรกันนะจันทร์ นี่เราสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันนะ”
นาราภัทรถึงกับอมยิ้มกับท่าทีกระเง้ากระงอดของเพื่อนรัก เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมปลายตะวันถึงมักจะบ่นกับเรื่องส่วนสูงระหว่างเธอกับเพื่อนรักตัวเล็กคนนี้ประจำ
“ถึงคุณหนูปลายตะวันไม่ได้สูงเหมือนนางแบบ แต่รู้บ้างไหมจ้ะว่าเสน่ห์ของสาวตัวเล็กเนี่ย มักกินขาดสาวหุ่นสูงเชียวนะ ที่สำคัญผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักชอบสาวตัวเล็กนะหนูน้อย เพราะมันดูน่ารัก น่าทะนุถนอมดี”
“มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยนะนารา” ใบหน้าหวานเริ่มแดงระเรื่อไปกับคำบรรยายของเพื่อนรัก
“อ้าว แล้วการยืนจนเมื่อย กับส่วนสูงมันเกี่ยวกันตรงไหนจ้ะคุณหนูปลายตะวัน”
นาราภัทรยิ้มกว้าง เมื่อเห็นสีหน้าปูเลี่ยนของปลายตะวัน หญิงสาวสาวเท้าเดินมานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างๆ คนตัวเล็กที่นั่งหน้างอง้ำ หากแต่สายตากลับมองไปยังแปลงกุหลาบตรงหน้า
“พอเลยไม่ต้องพูดแล้ว ว่าแต่วันนี้เราจะทำยังไงดี จะไปไหนกันก่อน เข้าไปดูแปลงกุหลาบ หรือว่าไปเที่ยวกันดี”
“ไปดูแปลงกุหลาบกันดีกว่า” นาราภัทรตอบ
“งั้นเราก็เข้าไปดูแปลงกุหลาบก่อนก็แล้วกัน เห็นคุณพ่อบอกว่าอีกไม่กี่วันจะถึงรอบตัดดอกกุหลาบแล้ว เฮ้อ...ช่วงนี้อากาศก็เปลี่ยนบ่อย ไม่รู้ว่าดอกกุหลาบจะเก็บได้เยอะหรือเปล่า”
น้ำเสียงหวานใสดูกังวลไม่น้อยกับปัญหาเรื่องอากาศ สองปีก่อนไร่กุหลาบของเธอเสียหายไปเกือบครึ่ง เพราะอากาศไม่ดี แถมยังโดนพวกแมลงคอยกัดกินลำต้นและใบ คำนวณแล้วดูเหมือนว่าจะขาดทุนมากกว่าได้กำไรเสียอีก
“เอาน่าเดี๋ยวพวกเราก็รู้เองแหละ ไปเปลี่ยนผ้ากันดีกว่า”
“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
“จ้า คุณหนูปลายตะวัน”
นาราภัทรตอบ แต่ก็ยังแซวเพื่อนรักต่ออีกนิดหน่อย หญิงสาวรู้ดีว่าปลายตะวันไม่ชอบให้ใครมาเรียกเธอว่า ‘คุณหนูปลายตะวัน’ เพราะมันจะทำให้เธอไม่รู้จักโตนั้นเอง
ปลายตะวันตวัดสายตามามองเพื่อนรักด้วยความไม่พอใจ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นการแซวก็เถอะ แต่เธอก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองยังเป็นเด็กยังไงก็ไม่รู้ ส่วนนาราภัทรก็มักจะชอบแกล้งเธอบ่อยๆ ร่างเล็กขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วก็เดินตามเพื่อนรักเข้าไปภายในตัวบ้าน
/////////
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าลงจากรถตู้ของไร่พัชรเกียรติอย่างเร่งรีบ ชายหนุ่มลงมายืนอยู่ด้านหน้าบ้านหลังใหญ่ของเจ้าของไร่ ใบหน้าหล่อเข้มกวาดสายตาหาเจ้าของไร่ทันที แต่ก็ไม่พบ ตอนนี้สายตาคู่คมเห็นเพียงแม่บ้านใหญ่กับสาวใช้อีกสองคนยืนยิ้มมาให้เขา
“สวัสดีค่ะคุณกฤต ลมอะไรหอบมาถึงที่ไร่พัชรเกียรติ” ผู้สูงวัยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“โธ่ ป้าลำดวนครับ ก็ผมไม่ค่อยว่างนี่ครับ งานเยอะเลยช่วงนี้”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น จากนั้นก็ส่งสายตาออดอ้อนมาให้แม่บ้านใหญ่แห่งไร่กุหลาบพัชรเกียรติทันที ร่างสูงใหญ่สาวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าสาวใหญ่ร่างอวบ แขนทั้งสองข้างโอบกอดสาวใหญ่ร่างอวบอย่างขอโทษขอโพย ที่เขาไม่สามารถมาเยี่ยมนางได้บ่อยๆ
“พอเลยคะ ป้าว่ารีบเข้าไปข้างในเถอะ แดดเริ่มร้อนแล้ว” นางลำดวนบอกอย่างเป็นห่วง
“ขอบคุณครับป้า” กิตติภพเอ่ยขอบคุณนางลำดวน แล้วก็หันไปมองสาวใช้อีกสองคนกำลังถือกระเป๋าผ้าของเขาอยู่ ชายหนุ่มละสายตาจากสองสาวใช้มามองแม่บ้านใหญ่
“เดี๋ยวป้าจะให้คนขนของไปไว้ที่ห้องเดิมของคุณกฤตนะคะ”
“แล้วนายวัฒน์หายไปไหนครับเนี่ย ผมยังไม่เห็นเลย”
“คุณวัฒน์กำลังเตรียมของนะคะ เห็นว่าจะไปที่ไร่ของคุณหนูจันทร์”
“จริงหรือครับป้า”
“ค่ะคุณกฤต ป้าว่าคุณกฤตรีบไปเถอะ เดี๋ยวคุณวัฒน์ไม่รอนะ ป่านนี้น่าจะเก็บของเสร็จแล้ว เห็นว่าจะไปนอนที่ไร่ปลายตะวันสักสองสามวันนะคะ”
“ดีเลยครับป้า งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปเก็บผ้าสักสองสามชุดเหมือนกัน”
กิตติภพส่งยิ้มมาให้แม่บ้านใหญ่ แล้วเดินตามสองสาวใช้ไปยังห้องนอนของตัวเอง แต่จะว่าไปไร่พัชรเกียรติกับไร่ปลายตะวันอยู่ห่างกันไม่ถึงสองกิโลเมตรตามที่ป้าลำดวนบอกนั่นแหละ การที่ภานุวัฒน์ขนเสื้อผ้าไปนอนที่ไร่ปลายตะวันนั่นก็ต้องมีเหตุผล แต่ก็ช่างเถอะอย่างนั้นมันก็ดีสำหรับเขาด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้นาราภัทรกำลังทำอะไรอยู่ หากให้เขาทาย หญิงสาวก็น่าจะอยู่ในแปลงกุหลาบเป็นแน่แท้ แต่ถ้าไม่อยู่ในแปลงกุหลาบหญิงสาวก็น่าจะอยู่ที่น้ำตกหลังไร่
‘เธอไม่รอดฉันแน่ นาราภัทร’
///////////
...โปรดติดตามตอนต่อไป...