ตอนที่ 10 : จอมจุ้น

3109 คำ
จามรีหลับไปพักใหญ่ลืมตาตื่นขึ้นมา ยังเห็นสายศิลป์ขมักขะเม้นกับการทำงานอยู่เหมือนตอนที่ล้มตัวลงนอน มองดูอยู่ครู่หนึ่งเห็นความเลอะเทอะของสีตามมือแขนและยังเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่ใบหน้าดูมีความสุขกับการจ้องมองภาพวาดและแต่งแต้มสีสันลงไป เพราะมีรอยยิ้มน้อยๆ บ้างกว้างๆบ้างให้เห็นเป็นระยะ ดีใจที่เห็นสายศิลป์มีความสุขกับงานที่ทำ นึกถึงเวลาได้พบกันช่วงฝึกงาน ซึ่งบางวันทำหน้าหงอยให้เห็นเลยบางที จามรีอมยิ้มลุกขึ้นจะไปเข้าห้องน้ำ สายศิลป์สังเกตเห็นแกล้งยิ้มทะเล้นยักคิ้วล้อคนที่ ยืนงัวเงียทำหน้านิ่งเดินเข้าห้องน้ำไป “อะไรอีกล่ะ พี่จุ้นจ้าน” สายศิลป์หันมาทำเสียงเขียวให้กับคนที่ยืนหัวเราะอยู่ หลังจากนำหูฟังแบบครอบศีรษะมาสวมใส่ให้ พร้อมกับมีเพลงบรรเลงเบาๆ หลังจากโวยวายไปครู่หนึ่ง สายศิลป์จึงเงียบและตั้งใจฟังเสียง เพลงที่ได้ยินซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจ แม้จะเพิ่งได้ยินเพียงครู่เดียวเท่านั้น “นี่ด้วย สูดเข้าไปกลิ่นสีน่ะ ปอดพังพอดีกว่าจะขายรูปได้แพงๆ” “มันหายใจไม่สะดวก” สายศิลป์บ่นพึมพำ เมื่อเห็นจามรียื่นหน้า กากซึ่งหากสวมใส่ครอบบริเวณจมูกกับปาก จะช่วยให้ไม่ต้อง สูดดมกลิ่นสีเข้าไป ซึ่งคงทำให้ปอดพังอย่างที่จามรีว่า “วาดรูปยังฝึกได้ ใส่หน้ากากก็ควรฝึกนะ อยากให้อยู่นานๆ เรายังอยากจุ้นจ้านกับเธอไง หูฟังดีปะ” จามรีถามระหว่างพูดคุยอยู่นั้นสายศิลป์ถอดหูฟังออกแล้ว “เสียงดี ไร้สายด้วย ฟังเพลงบรรเลงด้วยหรือคะ” สายศิลป์ถาม “อือ เพลินดีนะ เวลาทำงานแล้วต้องคิดน่ะ” “หายปวดหัวหรือยัง” สายศิลป์ถาม “หายแล้ว แต่ยังไม่อยากหายเลย อยากอ้อน” จามรีอมยิ้ม “อีกแล้วนะ ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” “เราก็ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไปนอนต่อดีกว่า อะ เอาโทรศัพท์ไว้เผื่ออยากเปลี่ยนเพลง” สายศิลป์พนมมือไหว้ก่อนจะรับเอาไว้ นึกขอบคุณในความเอาใส่และมีน้ำใจห่วงใยเรื่องสุขภาพ จะว่าไปถ้าฝึกใส่จนชินคงจะดีเหมือนอย่างที่จามรีบอก คนที่เดินไปล้มตัวลง นอนยิ้มออกเมื่อเห็นสายศิลป์ใช้ผ้าปิดปากและจมูกตามคำขอร้อง ภาพเขียนของคุณยายทวดเหลือเพียงการเก็บรายละเอียด คนวาดภาพจึงขออนุญาตเอาภาพกลับไปทำงานที่สตูดิโอ เพราะไม่อยากรบกวนผู้ใหญ่ถึงแม้ท่านอยากให้มาทำงานต่อที่บ้านก็ตาม สายศิลป์มีเหตุผลอื่นไม่ ใช่เพียงแค่เรื่องของงานเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของเหลนของคุณยายทวดด้วยมากกว่า “งานออกจะงดงาม มีงานใหม่รออีกต่างหาก แล้วมานั่งถอนใจทำอะไรว๊ะแก” ปกป้องเดินมานั่งลงข้างๆ สายศิลป์ซึ่งนั่งอยู่ บริเวณบันได “รู้สึกผิดกับบางเรื่องอยู่” สายศิลป์บอกทำเอาปกป้องสงสัย “ชีวิตแก มีเรื่องที่ทำให้ต้องรู้สึกผิดด้วยหรือ แสนดีออกขนาดนี้” “ไอ้บ้าป้อง ฉันน่ะ คนธรรมดานะ” สายศิลป์พูดเสียงเข้มหันมามองจ้องปกป้องที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ “เรื่องคนซื้อสีให้ล่ะสิ” ปกป้องเอ่ยขึ้น “เออ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “น้ำหนักไปทางโน้นมากกว่าอาจาร์ยวีร์หรือ” ปกป้องถาม “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกแย่ รู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ” “ฉันเคยบอกแกแล้วไง จำได้หรือเปล่า ว่าแกน่ะ ยังเด็ก รักแรกรักเดียวไม่น่าจะเป็นไปได้ปะว๊ะ สมัยนี้แล้ว ดันไปตกปากรับคำ เป็นแฟนเขาเป็นไงล่ะทีนี้” ปกป้องพูดบ่น อันที่จริงบ่นตั้งแต่สายศิลป์มาเล่าเรื่องที่ตกปากรับคำเป็นแฟนกับสุวีร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยแล้ว “รู้สึกดี อาจจะไม่ใช่ความรักหรือเปล่าว๊ะ” สายศิลป์บอกกับปกป้องที่หัวเราะออกมาทันที ถ้าในความรู้สึกไม่มีอะไรแฝงตัวอยู่ คนอย่างสายศิลป์คงไม่มานั่งไม่สบายใจและรู้สึกผิดอยู่แบบนี้ “โตแล้วนะเว๊ย มีงานใหญ่ๆ เข้ามาบ้างแล้ว แกเด็ดขาดอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่ก็ต้องบอกไปตรงๆ คนไหนใช่ก็คนนั้น” ปกป้องตบบ่า สายศิลป์ “พูดน่ะง่ายนะ แก” “ถ้าใช่ ฉันเชื่อนะว่า แกคงไม่ยอมปล่อยไปแน่ๆ” ปกป้องยิ้ม “แหงนมองเครื่องบินไปเรื่อยงี้อะนะ” “เครื่องบินมันจอดที่ลานจอดนะแก อยู่กับพื้นมากกว่าอยู่บนฟ้าอีก” ปกป้องบอก “แทนที่จะให้มั่นคง ดันยุส่งให้โลเล” สายศิลป์พูดบ่น “ว่าแต่โลเลไปขนาดไหนแล้วล่ะ ถึงเนื้อถึงตัว ผ้าผ่อนมีหรือเปล่า” “ไอ้ป้อง เดี๋ยวจะโดน เดี๋ยวพี่กรได้ยินเข้า โดนด่าทั้งคู่แน่” สายศิลป์ทำพูดกระซิบกระซาบ ปกป้องยิ้มๆ มองดูเพื่อนที่ไม่คิดว่า จะโอนเอนไปทางคนใจดีที่ใครๆ ชอบพูดว่า เป็นจอมจุ้นวุ่นวาย แต่ในความจุ้นจ้านนั้นเป็นไปในทางที่ดีเสียมากกว่า ไม่ใช่การสร้างความวุ่นวาย นอกเสียจากว่ากำลังทำให้หัวใจของศิลปินสาวเริ่มชักจะรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาบ้าง “รักสามเส้า เราสามคน งานงอกล่ะแก” ปกป้องหัวเราะ “ปากเสีย” สายศิลป์พูดดุ “ปากใครเสียกันจ๊ะ” เสียงของกรวิกาที่เดินลงมาดังขึ้น ทำให้สองหนุ่มสาวที่นั่งคุยกันอยู่รีบลุกแล้วยิ้มแหยๆ ให้ “ประเด็นไม่ใช่ปากเสียหรอกครับ ประเด็น คือ ศิลปินสาวเริ่มลังเลกับความรู้สึกของตัวเองมากกว่าครับ” ปกป้องพูดจบรีบหนีเข้าห้องทำงานของตัวเองไปก่อน ปล่อยให้กรวิกาซักฟอกสายศิลป์เอาเอง “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เรื่องคุณวีร์หรือ” กรวิกาถาม “ไม่ใช่พี่วีร์ค่ะ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ กรวิกาแอบยิ้ม “รักสามเส้า” กรวิกาหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นสายศิลป์ยิ้มเจื่อนๆ “เปล่าสักหน่อย พี่กรก็แซวนะ” “ไม่ใช่คนของเรา อีกคนเป็นใครล่ะจ้ะ หรือคุณวีร์มีคนอื่น” กรวิกาถามด้วยน้ำเสียงมั่นคงที่แฝงไปด้วยความห่วงใย “พี่กร รู้สึกดีกับพี่ยุ่ง ทั้งๆ ที่มีแฟนอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่าคะ” “ค่ะ” กรวิกาดึงตัวสายศิลป์ให้มานั่งที่เก้าอี้รับแขก “แล้วมีแรงต้านไหมคะ เรื่องความรู้สึกผิด” “มากมายเชียวแหละ อีกอย่างยุ่งเป็นผู้หญิง พี่ไม่เคยชอบผู้หญิง คนไหนมาก่อน” กรวิกาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง เผื่อว่า สายศิลป์จะยอมบอกเรื่องของตัวเองเป็นการแลกเปลี่ยนกัน “มีคนเพิ่มเข้ามาอย่างนั้นหรือเปล่า” กรวิกาถาม “รู้สึกค่ะ แต่ไม่มั่นใจ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “ถ้าอย่างนั้น ก็ยังไม่ต้องคิด ปล่อยไปตามความรู้สึก สักวันอาร์ตจะได้คำตอบด้วยตัวเอง ว่าแต่ใครกันน๊า” กรวิกาแสร้งทำท่าคิด แต่แอบยิ้มไม่รู้เหมือนกันว่า ใช่คนที่ตัวเองคิดหรือเปล่า หากใช่ล่ะก็แม่จอมยุ่งได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องนี้แน่ๆ “พี่กร ห้ามล้อนะ” สายศิลป์ทำหน้าจ๋อย “เอ๊ะ แสดงว่าพี่รู้จักล่ะสิ พี่ยุ่งน่าจะรู้จักดีกว่าด้วย หรือเปล่า” “ไปทำงานแล้ว ปรึกษานิดเดียว เดาไปซะไกลเชียว” สายศิลป์ยิ้มอายๆ ก่อนจะเดินหนีไป “อารต์เอ๊ย ไม่รอดแน่ รายนั้นน่ะ น่ารักออกจะตาย แต่จะกล้าหรือเปล่า ถ้ารู้ว่า อารต์มีคนของตัวเองอยู่แล้วน่ะ” กรวิกาถอนใจ แต่ยิ้มๆ เพราะท่าทางของสายศิลป์นั้น เหมือนจะเอนเอียงมาทางอีกคนมากกว่าคนรัก ของตัวเอง สายศิลป์ยืนยิ้มมองดูภาพเขียนที่เพิ่งเริ่มโครงร่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวจะต่อว่าอะไรหรือไม่ หากได้เห็น เมื่อยามที่ภาพเขียนเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ถึงเจ้าตัวไม่อยากได้ สายศิลป์ก็จะเก็บเอาไว้ ไม่ได้สตางค์แต่ได้ฝึก ปรือฝีมือและความสามารถของตัวเอง ภาพเขียนของคุณยายทวดกับเหลนช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะภาพเขียนของคุณยายทวดดูงดงามและสงบมีพลังแห่งความร่มเย็นจนสัมผัสได้ แต่กับคนเป็นเหลนนั้นทำให้สายศิลป์ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อนึกถึงภาพที่อยากเขียนในความคิด เมื่อนึกถึงร่างเปลือยเปล่าภายในผ้าห่มทำให้สายศิลป์รู้สึกร้อนวูบวาบชอบกล “จะโดนด่าไหมล่ะ ถ้าวาดออกมาอย่างที่คิดน่ะ” สายศิลป์รำพึง แอบนึกถึงรอยยิ้มทะเล้นและคนที่จอมพูดจากวนๆ อยู่เสมอ สุวีร์เงียบหายไป สายศิลป์เองไม่ได้ติดต่อกลับเช่นกัน เพราะต้องทำงานให้เสร็จ ไม่อยากให้ช้าเพราะเป็นงานของคุณยายทวด ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของพวกพี่ๆ ที่ตัวเองเคารพนับถือ “พี่วีร์” สายศิลป์ลงมาเปิดประตูด้านหน้าอาคารซึ่งเป็นสตูดิโอ “ทนคิดถึงไม่ไหว เลยต้องมาหา” สุวีร์ถอนใจ “อาร์ตงานยุ่ง” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ และเข้าสวมกอดสุวีร์เป็นการปลอบโยน เพราะสีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “ยุ่งจนลืมพี่ไปแล้วหรือเปล่า” สุวีร์กอดกระชับสายศิลป์เอาไว้แน่น “ต่อว่า กันอยู่หรือเปล่าคะ” “เปล่า แค่อยากอยู่ใกล้ๆ” สุวีร์บอก “เข้าข้างในไหม” สายศิลป์ถาม “ได้หรือ มืดค่ำแล้ว เกรงใจคุณกร” สุวีร์มองดูภายในไม่เห็นใคร “พี่กรกลับไปแล้วค่ะ อาร์ตอยู่คนเดียว เดี๋ยวหาอะไรให้ทานนะ” “ง้ออยู่หรือเปล่าเนี่ย” สุวีร์เริ่มมีรอยยิ้มให้เห็นบ้าง “เดี๋ยว อาร์ตไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องง้อพี่วีร์ด้วยล่ะ” “ลืมพี่น่ะ ทำผิดหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่มาหา ชาติไหนจะได้เจอ” “ผู้ใหญ่ขี้งอนนะ อาร์ตอยู่ที่นี่ พี่วีร์ว่างก็มาหาได้ค่ะ” สายศิลป์บอก “ใหญ่โตดีนะ” สุวีร์มองดูบริเวณชั้นล่างโดยรอบ “งานดีๆ ทั้งนั้นเลย เห็นพี่กรจะจัดงานนิทรรศการอยู่นะคะ” “เราล่ะ งานเป็นอย่างไรบ้าง” “เรื่อยๆ ค่ะ งานคุณทวดใกล้เสร็จแล้ว จ่ายสตางค์มาแล้วด้วยอยากทานอะไรไหมคะ อาร์ตมีสตางค์เลี้ยงพี่วีร์แล้วนะ” สายศิลป์ ยิ้มอายๆ “รวยนักหรือไง จะกี่สตางค์กันเชียว” สุวีร์ยิ้มน้อยๆ แต่รอยยิ้มของสายศิลป์จางลง จะว่าไปตัวเองไม่ได้อยากได้รับคำชื่นชม อะไรนัก แต่อยากให้คนที่บอกว่ารักรู้สึกภูมิใจในตัวเธอบ้าง สายศิลป์ยกนิ้วชูให้เห็นสองนิ้ว “เท่านี้แน่ะ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “สองหมื่น เก็บไว้เถอะ ไม่พอเลี้ยงพี่หรอกมั้ง” สุวีร์หัวเราะเล็กๆ ที่ได้พูดแหย่สายศิลป์ “สองหมื่นก็ดีสิ คุณทวดให้เช็คมาตั้งสองแสน” “สองแสน อำพี่หรือเปล่าเนี่ย” สุวีร์ทำตาโตแทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินจากสายศิลป์ “เยอะใช่ไหมล่ะ อาร์ตไม่กล้ารับ แต่คุณทวดบอกว่า ชอบรูปที่วาดเลยให้รางวัล เอาไว้เป็นทุนสร้างงานดีๆ ต่อไป” สายศิลป์ อธิบาย “อาจจะไม่มากสำหรับคนมีสตางค์ก็ได้มั้งคะ พี่อยากเห็นภาพเขียนของอาร์ตแล้วล่ะ” สุวีร์ยิ้มน้อยๆ ให้สายศิลป์ที่ถอนใจ เพราะมีภาพอีกภาพที่วาดโครงร่างค้างเอาไว้ “เอาไว้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนได้ไหมคะ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “หวงงานนะเรา งั้นขอกอดก็แล้วกัน” สุวีร์ยิ้มน้อยๆ มองสาวน้อยที่ทำหน้านิ่งๆ และทำท่าจะเดินหนี “ไม่หิวหรือ กอดไม่อิ่มนะคะ” “อิ่มสิ อิ่มใจไง” สุวีร์ยิ้มและจูบเบาๆ ไปที่ไหล่ของสายศิลป์ ซึ่งค่อยๆ กอดกระชับให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย “มาสายหวาน ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่าเนี่ย” สายศิลป์อมยิ้ม “จับผิดกันแบบนี้เลย” สุวีร์หัวเราะ “ไหน มาให้จ้องตาเดี๋ยวนี้เลย พี่วีร์ต้องไปทำอะไรผิดมาแน่” “ให้ถอดเสื้อผ้าสำรวจเอาไหมล่ะ” สุวีร์หัวเราะคิกคัก “ชอบแกล้งเด็ก ชอบล้อนักนะ” สายศิลป์บ่นงึมงำ แต่รู้สึกอบอุ่นเมื่ออ้อมกอดกลับเข้ามาโอบกอดเอาไว้อีกครั้ง “เมื่อไหร่จะยอมใจอ่อนไปอยู่ด้วยกันสักทีล่ะ เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว พ่อแม่ก็พาไปเจอแล้ว ไม่เห็นไว้ใจสักที รู้ไหมว่าพี่น้อยใจเราน่ะ” สุวีร์พูดจาออดอ้อน สายศิลป์อมยิ้มและคลายอ้อมกอดออก “ไม่ไว้ใจ” สายศิลป์พูดเสียงเข้ม “โอ้โห ต้องรอครบสิบปีไหมล่ะ ทีกับคนอื่นไว้ใจมาอยู่บ้านเขาเฉยเลย” สุวีร์มองดูบริเวณโดยรอบอีกครั้ง “บ่น รอไม่ไหวก็ตามใจพี่วีร์ เลิกเจ้าชู้แล้วค่อยว่ากัน” สายศิลป์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคนทำหน้ายุ่ง แต่เท่าที่ดูพอจะรู้ว่าอารมณ์ดี ไม่ได้พูดชวนทะเลาะกระทบกระเทียบเปรียบเปรยอะไร “ไปเอามาจากไหนคะ เรื่องเจ้าชู้น่ะ ชอบว่าพี่อยู่เรื่อย” สุวีร์ถามแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “แล้วจริงไหมล่ะ” สายศิลป์ถามขณะนำน้ำผลไม้มายื่นให้ “แบบไหนถึงเรียกว่า เจ้าชู้ล่ะ” สุวีร์แสร้งถามและเริ่มดื่มน้ำผลไม้เย็นๆ ที่สายศิลป์นำมาให้ “คบทีละ หลายๆ คน” สายศิลป์พูดเหมือนเป็นการพูดคุยธรรมดาแต่ทำเอาคนที่ดื่มน้ำอยู่นั้นรู้สึกได้ว่า น้ำจะติดคอเมื่อได้ยิน “ใส่ร้าย ไม่ได้เจอกันหลายวัน คนแถวนี้ล่ะ ปันใจไปให้ใครแล้วหรือเปล่านะ” สุวีร์หาเรื่องพูดเบี่ยงเบนจากเรื่องที่สายศิลป์เริ่ม พูด “นิดหน่อย” “เอ๊า ไหงเป็นงั้นล่ะ” สุวีร์พูดอ้อน ไม่เพียงแค่พูดแต่ขยับเข้าใกล้และเริ่มจูบคลอเคลียสายศิลป์จนยอมที่จะตอบรับสัมผัส ทำให้ สุวีร์ยิ้มกับความน่ารักที่ได้รับ แต่รอยยิ้มของสายศิลป์จางลง เมื่อเห็นภาพของคนที่เดินผ่านประตูด้านหน้าไป “ถ้าเกิดปันใจไปจริงๆ จะโกรธไหม” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ สุวีร์ยิ้มน้อยๆ มองดูคนทำหน้าจ๋อย สายศิลป์เป็นคนพูดตรง จนบาง ทีสุวีร์เองยังนิ่งงันไป “โกรธ โกรธมากด้วยนะ” สุวีร์อมยิ้มกับคนที่จ้องเขม็งอยู่ “ถามจริง” สายศิลป์เข้าสวมกอดสุวีร์เอาไว้แนบแน่น “ไม่สงสารพี่หรือ ถ้ารู้ว่าเธอปันใจ” สุวีร์หัวเราะ แต่แอบกังวลกับสิ่งที่ได้ยินอยู่เหมือนกัน เพราะจู่ๆ สายศิลป์พูดออกมาแบบไม่มี ปี่ไม่มีขลุ่ย “บาปตายพอดี” สายศิลป์บอก “พี่ทำอะไรให้เราไม่มั่นใจ หรือไม่สบายใจหรือเปล่า” สุวีร์ถามคลายอ้อมกอดออกแล้วเชยคางให้สายศิลป์มองสบตาด้วย “ความผิดคงเกิดจากอาร์ตเองมากกว่า” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ ยิ้มน้อยๆ ให้สุวีร์ที่จ้องมองด้วยความไม่เข้าใจนัก “อารมณ์แปรปรวนนะ ศิลปินเนี่ย ตาโรยๆ ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว” “ยังอยากทำงานอยู่เลย” สายศิลป์พูดต่อรอง “ห้ามต่อรอง ขอบตาดำหมดแล้ว ไปนอนนะคนดี” “ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ” สายศิลป์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ขอหอมแก้มก่อนดิ” สุวีร์พูดแหย่แล้วอมยิ้ม แต่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้ายิ้มจางลงแล้วแอบถอนใจ เมื่อแอบนึกถึงคนที่เคยขอหอม แก้มอีกคน “วันนี้พี่วีร์ ขี้อ้อนผิดปกตินะ” สายศิลป์บอกแล้วทำแก้มป่องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ สุวีร์ที่หัวเราะกับความทะเล้นของคนที่กำลังแกล้งอยู่ “กลัวอาร์ตปันใจไง รีบเข้านอนนะ ห้ามดื้อล่ะ” สุวีร์หอมแก้มทั้งซ้ายและขวาและจูบเบาๆ ไปที่หน้าผากก่อนที่จะกลับไป สายศิลป์ออกมาส่งสุวีร์มองดูจนรถยนต์ลับตาไป มองไปบริเวณโดย รอบไม่เห็นรถยนต์ที่คุ้นเคย จึงเดินกลับเข้าไปภายในและ ปิดประตูด้านหน้ารวมถึงตรวจเช็คบริเวณโดยรอบก่อนที่จะขึ้นไปชั้นบน แต่เมื่อเดินผ่านห้อง นอนของกรวิกาเห็นแสงไฟเปิดอยู่ จึงเปิด เข้าไปดูเพราะคิดว่ากรวิกาอาจจะลืมปิดไฟก่อนที่จะออกไป แต่ภาพของคนที่ออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงด้านหน้าทำให้สายศิลป์ต้องเพ่งสายตา เพราะไม่คิดว่า ภาพที่เห็นก่อนหน้านั้นจะใช่คนที่ไม่รู้เข้ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อใด “พี่จุ้น เป็นโจรหรือเปล่าเนี่ย” สายศิลป์หัวเราะเล็กๆ เมื่อได้พูดแหย่คนที่ยังคงยืนหันหลังมองดูท้องถนนที่อยู่ด้านหน้า โดยไม่ ได้หันมาต่อปากต่อคำอะไรด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะการทักทายของสายศิลป์ นั้น ถือเป็นการเชื้อเชิญให้ต่อปากต่อคำด้วย “โทษทีที่มารบกวน” จามรีบอก เสียงแปร่งๆ นั้นทำให้สายศิลป์รีบเข้าไปยืนข้างๆ แต่ไม่กล้าหันไปมองจามรีที่ดูนิ่งและเงียบกว่าทุกครั้ง “เป็นอะไร” สายศิลป์ถามและหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งรีบเช็ดน้ำตาก่อนที่จะเดินหนีกลับเข้าไปภายใน “ไม่มีอะไรนี่” จามรีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่ยังไม่ยอมหันไปเผชิญหน้ากับคนที่ตามมาหยุด ยืนอยู่ด้านหลัง “ไม่มีอะไรก็หันมาดิ เห็นนะว่าเดินผ่านประตูหน้าไปน่ะ” “เราไม่ได้อยากคุยกับเธอนี่” จามรีพูดขึ้น “จุ้นจ้านเรื่องคนอื่นได้ พอคนอื่นจะจุ้นจ้านกลับบ้างทำเป็นไม่อยากคุย จะหันมาดีๆ หรือจะให้บังคับ” สายศิลป์ทำเสียงเข้ม คล้ายดุทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะตัวเองนั้นเด็กกว่ามาก “ทำไมชอบบังคับกันนักนะ” จามรีหันมาทำเอาสายศิลป์นิ่งเงียบไป เมื่อเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้า แถมยังคงมีน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาที่ดูเรียบนิ่งไม่มีแววทะเล้นเหมือนทุกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม