ปยุดาไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า คุณยายทวดเคยเป็นนางละครจนกระทั่งได้เห็นภาพที่สายศิลป์วาดออกมา หากเป็นภาพใหญ่คงงดงามอยู่ไม่น้อย เพราะเพียงแค่ภาพร่างยังทำเอาศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างกรวิกาถึงกับออกปากและชื่นชม ไม่ต้องมีแบบเหมือนจริงแต่วาดออกมาจากความรู้สึกจากการได้พบเจอผู้ที่เป็นแบบ น่าทึ่งสำหรับกรวิกาและเชื่อว่า นี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้สายศิลป์ได้พบแนวทางของตัวเอง
“น่าทึ่งมาก” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ
“มีหวังตกงานแน่ล่ะ ตัว” ปยุดาพูดแหย่แล้วก็หัวเราะ
“เลี้ยงกรด้วยนะ ถ้าตกงานน่ะ” กรวิกาพูดอ้อน สายศิลป์หัวเราะ คุณยายทวดก็เช่นกันถึงกับส่ายหน้ากับสองสาวที่หยอกล้อกันอยู่
“ชอบไหมคะ คุณทวด” ปยุดาถาม
“ชอบสิ สาวและสวยขนาดนั้น ไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะมองเห็น” คุณยายทวดบอก
“ดีเลยค่ะ มีของขวัญให้สำหรับบัณฑิตใหม่ได้ประเดิมใช้กับคุณทวดเลย” ปยุดายื่นกล่องของขวัญให้ เมื่อเปิดออกมาทำเอาคน
ที่รับของยิ้มเจื่อนๆ และส่งกล่องคืนให้
“มันแพงค่ะ พี่ยุ่ง อาร์ตรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” สายศิลป์บอกเพราะสิ่งที่ปยุดากับกรวิกาให้เป็นของขวัญนั้น คือ สีที่ใช้ทำงานซึ่ง
ค่อนข้างมีราคาแพงไว้สำหรับเขียนภาพที่สามารถทำให้ภาพเขียนคงสภาพอยู่ได้นาน
“ไม่รับ ถือว่าไม่คิดว่าพี่สองคนเป็นพี่สาวล่ะสิ” ปยุดาพูดเสียงเข้ม
“เป็นสิคะ แต่”
“ไม่มีแต่ ถือเป็นทุนไว้ทำงาน ไม่อย่างนั้นจะเขียนภาพให้คุณทวดได้อย่างไรกัน พี่สองคนไม่ได้สนใจเรื่องราคาค่างวดนะ แต่
เห็นว่าอาร์ตเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง อ้อมีนายป้องอีกคนเป็นน้องชายได้ของเหมือนกันนี่แหละ รับไว้เถอะแล้วตั้งใจทำงาน พี่กรจะได้
ชื่นใจมีน้องสาว น้องชายเก่งๆ เนอะ ตัวเนอะ” ปยุดาพยักพเยิดหาพวก กรวิกาอมยิ้มกับความน่ารักของคนรัก
“อาร์ตพอมีเงินเก็บอยู่บ้างค่ะ” สายศิลป์ยังคงอิดออก ปยุดาจึงหันไปยิ้มน้อยๆ กับคุณยายทวด
“รับไว้เถอะลูก ผู้ใหญ่ตั้งใจให้เพราะเชื่อว่า เราน่ะจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ใครจะไปรู้ล่ะว่า วันหนึ่งภาพเขียนของเราจะขาย
ได้เงินไปทำบุญ สองคนนี้ก็จะได้ร่วมบุญกับเราด้วย” คุณยายทวดช่วยพูด
“ขอบพระคุณมากค่ะ” สายศิลป์พนมมือไหว้
“เริ่มเมื่อไรดี ไปเอาอุปกรณ์ที่พี่ได้เลย” กรวิกาบอก
“ใจดีกันจัง” สายศิลป์หัวเราะเล็กๆ
“มาเขียนภาพที่นี่สิ คุณทวดจะได้มีคนคุยด้วย เผื่อไม่ชอบใจตรง ไหนสั่งแก้เลยนะคะ คุณทวด” ปยุดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “หอพักอยู่ไกลไม่ใช่หรือลูก” คุณยายทวดถามสายศิลป์
“หนูมาได้ค่ะ ดีเหมือนกันนะคะ จะได้มาคุยกับคุณทวดด้วยอยากรู้เรื่องนางละครสมัยก่อน เผื่อได้ข้อมูลเอาไว้เขียนภาพค่ะ”
สายศิลป์ยิ้ม
“กักตัวไว้เป็นเหลนอีกคนไหมล่ะคะ” ปยุดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ไม่เห็นต้องกัก ได้เห็นๆ อยู่แล้ว” คุณยายทวดหัวเราะ ทำเอาปยุดาคิ้วขมวดหันมาสบตากับกรวิกาที่อมยิ้มกับท่าทางสนเท่ห์
ของคนรัก
“ไงล่ะ อึ้งไปเลย” กรวิกาหัวเราะ
“ชักจะยังไงๆ น่ะเนี่ย” ปยุดารำพึง แต่ก็ยิ้มสวยๆ ให้กับทุกคน
สุวีร์ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เมื่อสายศิลป์มาขอคำปรึกษาเรื่องที่จะย้ายไปพักอยู่ที่สตูดิโอของกรวิกา ซึ่งจริงๆ แล้วตัวสายศิลป์เอง
รู้สึกเกรงใจอยู่มากเช่นกัน แต่ถูกคะยั้นคะยอมาจึงคิดว่า ควรจะปรึกษากับสุวีร์ก่อนที่จะตัดสินใจอะไร ไม่อย่างนั้นคงโดนบ่นยืดยาว
“ไม่เกรงใจเขาหรือ” สุวีร์พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ซึ่งฟังก็พอจะเดาได้ว่าไม่ค่อยพอใจนัก
“เกรงใจค่ะ แต่พี่กรกับพี่ยุ่ง พูดแกมบังคับ คิดไปคิดมาอาร์ตเองเห็นว่า สะดวกอยู่นะคะ ไม่ต้องเดินทางเพราะถ้าเสร็จงานคุณ
ยายทวดของพี่ยุ่ง อาร์ตจะได้ทำงานอยู่ที่สตูดิโอเลย ไม่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ เอาค่าเช่าหอจ่ายเป็นค่าน้ำค่าไฟ พี่วีร์จะว่าอะไรไหม” สายศิลป์ถามเสียงอ่อยๆ
“บ้านพี่ก็ว่าง ชวนเป็นร้อยครั้ง ไม่เคยคิดที่จะไปอยู่ แต่กลับจะไปอยู่กับคนอื่น พี่จะไปว่าอะไรได้ล่ะ” สุวีร์พูดเสียงเรียบ
“แล้วคนอื่นที่พาไปบ้าน เขาจะไม่ว่าเอาหรือคะ” สายศิลป์ถาม
“คนอื่น หมายความว่าไง” สุวีร์จอดรถเข้าข้างทางและหันมาถามเสียงเข้ม
“ก็คนที่พี่วีร์พาไปที่บ้าน” สายศิลป์พูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“สังคมทำให้คนเปลี่ยนไปสินะ หาเรื่องไม่ดีมาให้พี่ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไปอยู่ที่ๆ อยากอยู่อย่างสบายใจ ถ้าอย่างนั้นไม่เห็นต้อง
มาถามมาปรึกษาเลยอยู่ในแวดวงคนมีชื่อเสียง มีเงินทองถึงอย่างไรวันหนึ่งอาร์ตก็ลืมพี่อยู่ดี” สายศิลป์รีบกุมมือสุวีร์เอาไว้
“แค่เรื่องงาน อาร์ตไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตัวเองโดยการไปอยู่ในแวดวงของคนที่พี่วีร์คิดสักหน่อย ถ้าไม่มีฝีมือกาก็เป็นอีกาอยู่วัน
ยังค่ำ ไม่มีทางเป็นหงส์ได้หรอกค่ะ” สายศิลป์พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูพอจะรู้ว่า รู้สึกน้อยอกน้อยใจในตัวสุวีร์ ซึ่งไม่ค่อยจะเห็นด้วยนักกับสิ่งที่สายศิลป์คิด
“อยากทำอะไรก็ตามใจ พี่จะอยู่เป็นกา ไม่ไปอยู่ในฝูงหงส์หรอกนะ” สุวีร์บอกและกำลังจะเคลื่อนรถออก แต่สายศิลป์ดึงตัว
มากอดเอาไว้
“อาร์ตไม่รู้ว่า คนรักกันต้องทำอย่างไร แต่ที่คิดเอาเองตามประสาคนไม่รู้ อารต์อยากได้กำลังใจจากพี่วีร์นะ เราเป็นกาอยู่ด้วย
กันได้ อารต์เข้าไปในฝูงหงส์แค่เวลาทำงาน อาจจะชั่วครั้งชั่วคราว พี่วีร์กำลังผลักกาอย่างอาร์ตเข้าไปหลงหรืออาจจะเสียใจอยู่ในฝูง
หงส์ก็ได้นะ อยากให้พี่วีร์อยู่ข้างๆ เป็นพี่ เป็นที่ปรึกษา เป็นคนรักอย่างที่พี่วีร์เคยขอให้อาร์ตเป็น” สายศิลป์กอดกระชับสุวีร์เอาไว้แน่นทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกผิด เพราะชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จนทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจและทำให้คนที่กอดอยู่นั้นไม่สบายใจไปด้วย
“โตแล้ว ตัดสินใจเองได้แล้วล่ะ ไม่ใช่นักศึกษาแล้วนะ”
“ค่ะ” สายศิลป์คลายอ้อมกอดออกทำหน้างอ และไม่ได้พูดอะไรอีกจนกระทั่งสุวีร์ขับรถไปส่งที่หอพัก
สายศิลป์ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่สตูดิโอของกรวิกา ช่วงกลางวันจะมีปกป้องมาทำงานอยู่ด้วยและกลับบ้านในตอนเย็นๆ ค่ำๆ เพราะต้องกลับ ไปดูแลมารดาซึ่งท่านอยู่บ้านเพียงลำพัง การได้มาทำงานที่สตูดิโอได้พูดคุยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระหว่างคนที่ทำงานในสายงานเดียวกันทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้อะไรมากมาย ไม่เฉพาะแค่กับกรวิกาเท่านั้น ปกป้องเองมีคำแนะนำอะไรดีๆ ให้มากมายเช่นกัน แต่ช่วงนี้เวลาส่วนใหญ่ยกให้กับภาพ เขียนของคุณยายทวดเสียมากกว่า มีบ้างที่ถูกบังคับให้หยุดพักโดยเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์
“ให้อาร์ตหยุดบ่อยๆ ผอมแย่เลยค่ะ จะไม่มีสตางค์ไปซื้อข้าวนะคะ คุณทวด” สายศิลป์อมยิ้ม เมื่อเห็นคุณยายทวดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เรียกได้ว่าแทบจะหัวเราะออกมา สายศิลป์ชอบรอยยิ้มของท่านเพราะทำให้ตัวเองรู้สึกสดใสไปด้วย แถมยังมีความสุขรวมถึงผลงานที่ทำอยู่ถือได้ว่า ก้าวหน้าไปมาก บางทียังแอบคิดเลยว่า วาดออกมาจากจิตวิญญาณเหมือนศิลปินรุ่นใหญ่ๆ ที่ชอบกล่าวกันหรือเปล่า แต่คงต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะนี่ก็เกือบจะสองเดือนแล้ว สายศิลป์มองดูคุณทวดที่ยังยิ้มอยู่ภายในห้อง ซึ่งมีกระจกกั้นไว้ เพื่อที่ว่ากลิ่นของสีจะได้ไม่ไปทำให้ท่านรู้สึกหายใจไม่สะดวก เกือบได้เวลารับประทานอาหารกลางวัน คุณยายทวดจึงพยักหน้าให้ไปจัด การล้างไม้ล้างมือให้สะอาด สายศิลป์ยิ้มๆ กับแววที่คุ้นเคยของคุณยายทวดนึกไม่ออกว่า ดูคล้ายใคร แต่ไม่ว่าจะคล้ายใครสายตาของท่านอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอในความรู้สึกของสายศิลป์
“ขโมยขึ้นบ้าน ต้องโทรฯ แจ้งที่ไหนเนี่ย” เสียงที่ดังขึ้นทำให้คนที่ได้ยินแปลกใจและรีบหันมาเพราะจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร
“พี่จุ้น ขโมยที่ไหน” สายศิลป์ถามพร้อมกับพนมมือไหว้
“ที่นี่แหละ มาทำอะไร เปลี่ยนอาชีพจากวาดรูปมาเป็นขโมยแล้วหรืออย่างไรกัน” จามรีพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างจริงจัง
“มาทำงาน พี่จุ้นนั่นแหละ มาทำอะไร เป็นขโมยหรือไง” สายศิลป์ถามกลับแล้วแอบยิ้ม
“ขโมยอะไร บ้านเรา บ้าหรือเปล่า” จามรีพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้
“บ้านพี่จุ้น” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ
“ถูกต้องแล้ว แล้วไง ตกลงมาทำอะไร”
“บอกแล้วไงว่ามาทำงาน” สายศิลป์ทำท่าจะเดินหนี แต่จามรีขยับมายืนบังเอาไว้
“เดี๋ยวดิ คิดถึงจะแย่ หยุดยืนนิ่งๆ ให้จ้องหน้าก่อนนะ”
“บ้า ไม่เอาล่ะ” สายศิลป์บอก ไม่กล้าที่จะมองสบตากับจามรีเห็นเพียงรอยยิ้มกับริมฝีปากที่ดูซีดๆ ไปเล็กน้อย
“เอ๊าไหนว่ามาทำงาน บอกให้ยืนเฉยๆ แป๊บนึงก็ไม่ได้”
“เสื้อน่ะ ซักบ้างหรือเปล่า” สายศิลป์หัวเราะ เพิ่งสังเกตว่า จามรีสวมเสื้อแขนยาวเก่าๆ ที่ขอแลกเอาไปเมื่อวันเดินทาง
“ซักดิ ไม่หอมแล้วด้วย เดี๋ยวเราซักแล้ว เธอเอาไปใส่สักวันนะ แล้วค่อยเอากลับมาคืน กลิ่นแป้งน้ำหายไป กอดๆ ดมๆ ไม่หอมแล้ว”
“พี่จุ้นเป็นโรคจิตปะเนี่ย เสื้อเอาไว้ใส่ จะเอาไปกอด ไปดมทำไม”
“เรื่องของเรา เราคิดถึงของเราคนเดียวก็ได้ เชอะ” จามรีสะบัดหน้าเดินหนีไปอีกด้านหนึ่งซึ่งมีห้องนอน แต่กลับเดินไปที่ตู้ยาก่อน ไม่ได้เข้าไปในห้องทันที สายศิลป์เห็นเข้าจึงเดินไปรินน้ำและนำไปให้
“น้ำค่ะ ไม่สบายหรือว่า เหนื่อยคะ” สายศิลป์ถาม ไม่รู้ทำไมถึงได้เอามือไปแตะที่หน้าผาก พอรู้สึกตัวเลยยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นจามรีจ้องมองอยู่
“เหนื่อย ไม่ค่อยได้นอน นั่งเครื่องนานก็แบบนี้แหละ คงต้องปรับเวลาสักหน่อยก่อน หน้าผากไม่ร้อนแต่ที่แก้มร้อนนะ” จามรียิ้ม
น้อยๆ จับมือของสายศิลป์มาทาบทับไปที่แก้มของตัวเองทั้งสองข้าง สายศิลป์ถอนใจและเพิ่งจะกล้ามองสบตาด้วย
“เจ้าเล่ห์ ไม่เห็นจะร้อนเลย ปล่อยมืออาร์ตได้แล้ว”
“ร้อนดิ ไม่เห็นเหรอ แก้มเราน่ะร้อนและคงแดงด้วยใช่ปะ เพราะแก้มเธอก็แดงเหมือนกัน” จามรีอมยิ้มที่ได้พูดแหย่และเห็นคน
แก้มแดงยิ้ม
“ไอ้บ้าพี่จุ้น ปล่อยนะ” สายศิลป์พยายามดึงมือออก แต่มือของจามรียังคงกระชับเอาไว้และดึงตัวเข้ามากอดไว้แน่น
“เราคิดถึงเธอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แค่อยากบอก อยากกอดตั้งแต่เห็นยืนล้างมือแล้ว แต่กลัวโดนตบ” สายศิลป์รู้สึกดีและรู้สึก
ผิดระคนกัน
“กินยาได้แล้ว เลิกอ้อน ไม่หลงกลหรอกนะ”
“ใจร้าย ไม่ยอมจะกอดสักนิด” จามรีออกอาการงอแงจนสายศิลป์หัวเราะออกมา
“ไปงอแงแฟนโน่น ไม่ใช่น้อง” สายศิลป์พูดปราม
“แฟนไม่มี แต่อยากมีนะ” จามรียิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสายศิลป์ยิ้ม
“เรื่องของพี่จุ้นดิ มีหรือไม่มี ไม่เห็นอยากรู้เลย”
“ก็เราไม่มี เธอก็ช่วยดูแลก่อนดิ”
“บ้าไม่ได้เป็นอะไรกัน จะดูแลได้ไง”
“เรายอม เป็นแฟนคนรองก็ได้นะ นะ สงสารเถอะ ดูดิอ้อนตั้งนานไม่สงสารสักกะนิด” จามรีทำเสียงอ่อยๆ สายศิลป์จึงขยับเข้าไปสวมกอดเอา ไว้แนบแน่น
“กินข้าวด้วยกันก่อนไหม ค่อยไปนอน” สายศิลป์ถามคนที่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก
“เธอกอดก็หายปวดหัวแล้ว คิดถึงคนตัวหอมแป้งน้ำแทบแย่”
“ปล่อยได้แล้ว ไปกินข้าวด้วยกัน แล้วค่อยไปนอน”
“ป้อนปะล่ะ” จามรีหัวเราะคิกคัก เริ่มเป็นจอมจุ้นจอมทะเล้นเหมือน เดิม สายศิลป์จึงแกล้งทำหน้าดุ
“ไปตัดมือทิ้งก่อน แล้วจะป้อน” สายศิลป์หัวเราะแล้วรีบเดินหนีไป
“เดี๋ยวตามไปนะ ยายแป้งหอม ขออาบน้ำแป๊บนึง รอด้วยน๊า” จามรีตะโกนเสียงลั่น สายศิลป์หันมาส่ายหน้าแล้วยิ้มๆ
จามรียื่นถุงของฝากให้กับสายศิลป์ซึ่งส่ายหน้าคล้ายเป็นการปฏิเสธในทันที ไม่ได้พูดอะไรเพราะคุณยายทวดรับประทาน
อาหารอยู่ด้วย ท่านยิ้มน้อยๆ มองดูจามรีที่เป็นเหลนรักอีกคน
“ของเธอถุงหนึ่ง อีกถุงฝากให้นายป้องด้วย” จามรีบอก
“อะไรหรือ” คุณยายทวดถามจามรี
“สีค่ะ กรฝากซื้อ จุ้นเลยซื้อฝากศิลปินของคุณทวดด้วยค่ะ นายป้องเป็นชายหนุ่มที่กรรักเหมือนน้องชายและส่งเรียนหนังสือจนจบปริญญาแล้วค่ะ” จามรีสาธยาย
“ไม่เอานะ” สายศิลป์ทำปากขมุบขมิบแบบไม่มีเสียง แต่จามรีทำเป็นเฉยไม่สนใจ เพราะรู้ดีว่า สายศิลป์น่าจะเกรงใจคุณยายทวดจึงไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
“น่าจะดีนะ ไม่อย่างนั้น แม่ศิลปินเหลนสะใภ้คงไม่ฝากซื้อ”
“แหม มีเหลนสะใภ้ด้วย” จามรีพูดแหย่คุณยายทวดที่หัวเราะอยู่
“น่ารัก น่าชัง จิตใจดีเหมาะกับแม่จอมยุ่งของฉัน สงสัยจะมีแต่เหลนผู้หญิงๆ เสียกระมัง” คุณยายทวดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อเห็น
จามรียิ้มอายๆ มองสบตากับท่านแล้วหันไปมองสายศิลป์ ซึ่งก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดยอมจา ผู้หญิงฉลาดๆ อย่างสายศิลป์คงพอเข้าใจ
ว่า สิ่งที่คุณยายทวดพูดน่าจะพาดพิงมาทีตัวเธอด้วย
“แย่ล่ะสิ ไม่อยู่สองสามเดือน ยุ่งจะหุบสมบัติคุณทวดเสียหมดแน่พาเหลนศิลปินมากราบบ่อยล่ะสิคะ” จามรีถามแล้วลอบมอง
สายศิลป์ที่ยัง คงนั่งรับประทานอาหารเงียบๆ อยู่ ไม่ค่อยได้พูดอะไร
“หาแฟนมาสิเรา จะได้แข่งขันกับแม่จอมยุ่งได้” คุณยายทวดยิ้ม
“ท่าจะยากนะคะ คุณทวด” จามรีอมยิ้ม
“รับไว้เถอะลูก ถ้าใช้งานไม่ดี ยายกรคงไม่ฝากซื้อ จะได้เอาไว้ใช้งาน วาดรูปให้ฉันสวยๆ” คุณยายทวดหันมายิ้มกับจามรีที่ยิ้ม
กว้างมากขึ้น
“แต่ของแพงมากนะคะ คุณทวด” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“แม่เหลนคนนี้น่ะ หาสตางค์เก่ง ไม่เดือดร้อนหรอก รับไปเถอะ”
“ขอรูปสวยๆ เหมือนคุณทวดสักรูปก็ได้ ดีไหมจะได้สบายใจ” จามรียิ้ม เมื่อเห็นสายศิลป์เงยหน้ามามองสบตาด้วย แววตาดูมีประกายความคิดซึ่งดูแล้วไม่น่าปฏิเสธกับของฝากที่เจ้าตัวหันไปมองดูอีกครั้ง
“ฉุยฉายอะนะ” สายศิลป์แอบยิ้ม
“บ้า จะเป็นลิงใส่ชุดฉุยฉายล่ะสิ เสียหายหมด” จามรีหัวเราะ
“วาดภาพให้เหมือนที่วาดให้ฉันนั่นแหละ เห็นอะไรรู้สึกอะไร วาดออกมา เชื่อเถอะ แม่จอมจุ้นของฉันน่ะ ชอบเธอแน่ๆ เอ๊ะ ไม่ใช่
สิ ชอบงานของเธอแน่ๆ” คุณยายทวดแอบยิ้ม จามรีอมยิ้มกับความน่ารักของผู้ใหญ่ที่ตัวเองเคารพนับถือเป็นที่สุด
“ต้องมานั่งเป็นแบบให้ไหม” จามรีถาม
“บ้างค่ะ แต่อยากได้จริงๆ หรือเพราะกลัวอาร์ตไม่รับของฝากคะ”
“อยากได้สิ ทานข้าวแล้ว ขอดูภาพเขียนของคุณทวดหน่อยนะ เห็นว่าเป็นชุดฉุยฉาย คิดได้อย่างไรกัน” จามรีสงสัย
“ก็รู้สึกแบบนั้น เลยวาดออกมา” สายศิลป์ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไรเหมือนกัน เพราะเป็นความรู้สึกที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมา แถมเจ้าของภาพยังชอบมากเสียด้วย
“เก่งทีเดียวล่ะ แม่คนนี้น่ะ แต่คงต้องค่อยๆ ใช้เวลารู้จักตัวเอง รู้จักที่จะสร้างงาน ไม่แพ้แฟนแม่จอมยุ่งของเราหรอก” คุณยายทวดเอ่ยชม
“ขอบพระคุณค่ะ อาร์ตเองยัง งงๆ อยู่เลยค่ะ ว่าทำไมถึงคิดงานออกมาได้อย่างที่เห็น” สายศิลป์พนมมือไหว้ เมื่อได้รับคำชม
“ชักอยากเห็นแล้วสิ” จามรียิ้ม มองสบตากับสายศิลป์ที่มีรอยยิ้มสวยๆ ให้เห็นเด่นชัด แต่ในรอยยิ้มนั้นดูมีเลศนัย จามรีรู้สึกแต่
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า คุณยายทวดยิ้มๆ ขอตัวเข้าไปพักในห้องปล่อยให้สองสาวได้พูดคุยกันตามลำพัง
“อารต์ไปทำงานต่อแล้วนะ” สายศิลป์ทำท่าจะลุก
“เดี๋ยวสิ กินยาเป็นเพื่อนเราก่อน” จามรีพูดอ้อน
“ยานะ พี่จุ้น ไม่ใช่ขนม” สายศิลป์ส่ายหน้ากับความกวนของคนที่ชอบแหย่ ชอบล้อ
“นั่งเป็นกำลังใจ ก็ได้นี่” จามรีพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“เยอะนักนะ อ้าปาก” สายศิลป์ไม่กล้าสบตากับคนที่ขยับมานั่งอยู่ตรงหน้าและอ้าปากเสียกว้าง คนที่กำลังนำยาป้อนให้นึกขำกับท่าทางคนที่อ้อนเหมือนเด็กๆ สายศิลป์ส่งแก้วน้ำให้คนที่อมยาขมๆ เอาไว้ เหมือนไม่รู้รสชาติอะไรเอาเสียเลย แถมยังมาทำปากจู๋เหมือนจูบล้อเลียนอยู่อีก
“ไปนอนตรงใกล้ๆ ที่เธอทำงานได้ป่าว คงหลับสบายเพราะได้กลิ่นแป้งหอมๆ นะ นะ” จามรีเริ่มอ้อนหนักกว่าเก่า สายศิลป์
หัวเราะหึๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีลูกอ้อนเอามากเอามาขนาดนี้ เพราะที่เจอก่อนหน้านั้นท่าทางดูนิ่งๆ หยิ่งๆ กวนๆ เสียมากกว่า
“จะหายใจเอากลิ่นสีเข้าไปล่ะสิ”
“ฮั่นแน่ เป็นห่วงอะดิ” จามรีทำหน้าทะเล้น แต่แอบยิ้มอยู่ในใจเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมาทำตัวบ้าบอ อ้อนสาวสวยที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงหน้า แววตาที่แสดงถึงความห่วงใยทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก
“เปล่า กลัวเป็นผู้ต้องหา ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาต่างหาก จะไปห่วงทำไม น่ารักตายล่ะ จุ้นจ้าน วุ่นวาย กวน ยังจะมาขี้อ้อนอีก
เยอะ”
“รวมๆ น่ะ น่ารักจะตายไป อย่ามาหลงรักเข้าล่ะ เราน่ะ เล่นตัวเก่งนะ จะบอกให้” จามรีหัวเราะ สายศิลป์ก็เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้น อาร์ตขยับงานออกมาด้านนอกหน่อยก็ได้ค่ะ กลิ่นสีจะได้ไม่รบกวนเนอะ” สายศิลป์บอกก่อนที่จะลุกขึ้น แต่ถูกรั้งเอาไว้ด้วยการจับมือและกระชับเอาไว้แน่น
“ไม่ว่าเราใช่ไหมที่ซื้อของมาฝาก เรายังยืนยันนะว่าไม่ได้หน้าใหญ่ เราอยากให้เอาไว้ทำงาน เพราะกรสั่งซื้อคงเป็นของดี ไม่
ว่านะ ถ้าถูกว่าอีกเศร้ากว่าครั้งที่แล้วอีกแน่” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่ให้ซื้ออะไรอีกแล้วนะ มาให้ต่อหน้าคุณทวดน่ะ หาพวกใช่ปะล่ะ” สายศิลป์พูดบ่นพึมพำ
“ได้ที ตอนแรกคิดอยู่เหมือนกันนะว่า จะฝากไปกับกร จะได้ไปจัดการบังคับให้รับของไว้”
“ถือเป็นค่าจ้างก็แล้วกัน ส่วนของป้อง อาร์ตรับฝาก แต่เจ้าตัวจะรับไว้ไหม ไม่รับปากนะคะ” สายศิลป์นึกถึงปกป้องซึ่งคงคิด
และเกรงใจไม่ต่างจากที่ตัวเธอคิดนัก
“จ้ะ วาดรูปเราเมื่อไรดีล่ะ ต่อจากคุณทวดเลยเนอะ มาวาดที่บ้านนี่แหละ รอกินมื้อค่ำกับเราด้วย ค่อยกลับถือว่าเป็นงาน” จามรี
ยิ้มแป้น
“ไม่ล่ะ กลับลำบาก ไปนอนได้แล้ว เรื่องมากเรื่องเยอะนักนะ เดี๋ยวคืนของนะ ไม่เอาแล้ว วุ่นวาย” สายศิลป์พูดด้วยน้ำเสียง
เรียบๆ มองมือที่จามรียังคงจับอยู่
“จะจับเฉพาะตอนที่อยู่บ้านนี้ จะไม่ทำลุ่มล่ามที่อื่น รู้น่าว่ามีแฟนแล้วน่ะ” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ ปล่อยมือ เดินไปล้มตัวลงนอนที่
เก้าอี้รับแขกซึ่งเป็นเตียงไม้ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่สายศิลป์ทำงานอยู่นัก
“อาร์ตยังคอยเตือนตัวเองอยู่เหมือนกันว่า มีแฟนอยู่แล้ว” สายศิลป์ถอนใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในใจ