ตอนที่ 7 : ดอกไม้ ธูป เทียน

3277 คำ
จามรีลงมาจากรถยืนเอามือท้าวสะเอวมองดู พานดอกไม้ ธูป เทียน ซึ่งถูกจัดวางอยู่บริเวณที่จอดรถประจำของตัวเอง ทำให้อดที่จะขำไม่ได้กับความแสบของสาวน้อยนักศึกษาศิลปะ จะว่าไปดูแปลกตาดีเหมือนกันเพราะคนที่ขับรถผ่านไปมาถึงกับชะลอรถเพื่อดูว่า เกิดอะไรขึ้น “เจ้าตัวแสบ แป้งหอมเอ๊ย ดูสิ ใครเขาทำกัน เอาพานดอกไม้ธูปเทียนมาขอโทษ โดยการเอามาวางไว้ตรงที่จอดรถ” จามรีหัวเราะเดินไปหยิบพานเอามาไว้ที่รถก่อนจะเคลื่อนไปจอดเข้าที่ของตัวเอง สายศิลป์อมยิ้ม เมื่อกำลังจะไปชงกาแฟเห็นจามรีเดินออกจากลิฟต์พร้อมกับพานดอกไม้ ธูป เทียน ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้พนมมือ ไหว้ทักทาย “อรุณสวัสดิ์ค่ะ เจ้านาย” สายศิลป์ยิ้มให้กับคนที่ทำหน้าบึ้งมองดูพานที่ตัวเองถืออยู่ “ร้ายนักนะ ช่างคิดอีกต่างหาก จำไว้เลย” จามรีทำปากขมุบขมิบ “เอ๊า ขอขมาแล้ว ยังทำปากขมุบขมิบอีก” “เดี๋ยวจะเอาไปไหว้พระให้ก็แล้วกัน แม่เจ้าประคุณเอ๊ย” จามรีส่ายหน้ากับความทะเล้น แต่เมื่อเดินผ่านไปกลับยิ้มกับคนจอม กวนที่ช่างคิดช่างสรรหาวิธีมาและเป็นวิธีที่ชาวบ้านชาวช่องเขาคงไม่ทำกัน หรือเป็นนักศึกษาศิลปะเลยช่างคิดหาอะไรแปลกๆ ให้กับชีวิต จามรีต้องทำหน้าที่แทนปยุดา เรื่องการเดินทางไปดูแลงานที่ต่าง ประเทศ แต่ครั้งนี้ไม่กี่วันนักอยู่ระหว่างเจรจาก่อนที่จะดำเนินการจริงจัง ซึ่งเจ้าตัวเองบ่นกระปอดกระแปด ต่อว่าต่อขานปยุดาในเมื่อเป็นคนริเริ่มแต่มาสร้างความลำบากให้กับตัวเองเสียอย่างนั้น แต่ยอมไปทำงานแทนเพราะมารดาของปยุดามีอาการไข้หวัดใหญ่ ซึ่งทำให้ลูกสาวต้องอยู่ดูแล “หรือควรจะพักไว้ก่อนดี” ปยุดารำพึงออกมาเบาๆ หันไปมองสบตากับกรวิกาและจามรี “ไม่ถึงกับต้องไปเฝ้าหรือไปอยู่เลย ไปๆ มาๆ ผลัดกันก็ได้นะ ก็บ่นไปอย่างนั้นเอง” จามรีอมยิ้ม “กรอยู่กับยุ่งก่อนก็ได้นะ ค่อยไปทีหลัง รอให้แม่อาการดีขึ้นก่อน” “ไปเถอะ เค้าอยู่ได้ ตัวก็เป็นห่วงแม่เหมือนกันนี่ เผื่อยอมตามกลับ มาเลยครั้งนี้” ปยุดาเอามือทาบทับไปที่แก้มของกรวิกา “อย่าหวานกันนักเล๊ย สงสารกันบ้างเถ๊อะ” จามรีหัวเราะ “ไอ้จุ้น ไม่จุ้นสักเรื่องก็ได้มั้ง” ปยุดาพูดดุ กรวิกาหัวเราะกับสองสาวซึ่งเริ่มพูดจาหยอกล้อและคงปะทะฝีปากกันต่อ “ไม่รัก ไม่จุ้นนะจ๊ะ จะบอกให้ เคยเห็นไปจุ้นเรื่องของคนอื่นที่ไม่รักปะล่ะ” จามรียื่นหน้ายื่นตามาพูดใกล้ๆ ปยุดา “นี่แนะ ปากยื่น ปากยาว ทำมาพูดดี เห็นไปวุ่นวายกับอาร์ตล่ะไปถึงบ้างถึงช่องเขาน่ะ” ปยุดาพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นจามรีนิ่งไป “บังเอิญต่างหาก ไปทำบุญ ทำความดี ไม่ดีหรอกหรือ รู้งี้ไม่บอกดีกว่า ครั้งหน้าไปเงียบๆ บอกน้องๆ ให้ปิดเป็นความลับดีกว่า” จามรีบ่นพึมพำ ปยุดาแอบยิ้ม “แน่ะ ยังจะไปกับเขาอีกหรือ” “เขาคงไม่ให้ไปแล้วล่ะ” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ “ไปจุ้นจ้านกับเด็กๆ มากนักล่ะสิ” ปยุดาหัวเราะ “เปล่าสักหน่อย” “งานทางนี้ เดี๋ยวฉันจัดการให้นะจ๊ะ แล้วจะจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่มให้ด้วย เผื่อจะแวะท่องเที่ยว” ปยุดาพูดยิ้มๆ กรวิกาเองยิ้มๆ กับความน่ารักของทั้งสองสาวด้วยเช่นกัน “หนาวจะตาย รีบไปรีบกลับดีกว่า” จามรีบ่นพึมพำ “เออเด็กฝึกงานเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” กรวิกาถาม เพราะไม่ค่อยได้เจอกับสายศิลป์สักเท่าไร ส่วนปกป้องก็ต้องฝึกงานด้วยเช่น กันเลยไม่ค่อย ได้พบกลุ่มของปกป้องกับเพื่อนๆ มากนัก “เก่งนะ มีความคิดสร้างสรรค์ดีเลยทีเดียว แต่บางงานออกแบบ มาดูเป็นศิลปะมากกว่าเครื่องประดับ แต่ฉันให้ทางฝ่ายออกแบบค่อยๆ แนะนำไป อาร์ตสมชื่อ ฉันว่าเป็นศิลปินเหมือนกร น่าจะดีกว่า แต่เจ้าตัวบอกว่าคงต้องหาเงินเป็นทุนรอนก่อน ตกลงน้องจะไม่ทำงานประจำนะจ๊ะ อาจจะให้ทำงานออกแบบมา แล้วเราซื้อแบบอะไรประมาณนั้น” จามรีพูดปรึกษากับปยุดาซึ่งพยักหน้าเห็นด้วย เพราะแบบเครื่องประดับฝีมือของสายศิลป์ถือว่าใช้ได้ ขาดเพียงประสบการณ์ ถ้าได้รับการแนะนำน่าจะทำให้ออกมาดีเหมาะกับการจำหน่ายมากกว่าเป็นงานศิลปะ “ที่สตูดิโอมีห้องว่างอยู่ ว่าจะให้น้องๆ เอาไว้ทำงาน แต่ยังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักเท่าไร นายป้องออกตัวว่า เกรงใจ” กรวิกาบอก “ฝีมือดีทั้งคู่เลยนะ ทั้งป้อง ทั้งอาร์ต” ปยุดายิ้มๆ ให้กับกรวิกา “กร เห็นด้วยนะ คิดอยู่เหมือนกันว่า จะหางานมาป้อนให้” “บอกว่าเป็นลูกศิษย์ กร น้องๆ อาจจะขายงานได้บ้างนะ” ปยุดายิ้มให้กับทั้งสองสาวที่พยักหน้าเห็นด้วย “ฉันว่า ขึ้นอยู่กับฝีมือมากกว่านะ ป้องเหมือนจะเห็นแนวทางของตัวเอง เพราะถ้าแม่ยุ่งซื้องาน ถือว่า ฝีมือใช้ได้ ส่วนของอีกคน อาจจะต้องหาแนวทางของตัวเองให้ได้ก่อน” จามรีบอก “ช่างเอาใจใส่เหมือนกันนะ เรา จุ้นไปถึงเรื่องงานของเขา แถมยังพูดเรื่องแนวธงแนวทาง แหมยังกับเรียนมาเลยนะ” ปยุดาพูด แหย่และสังเกตอาการของจามรี เพราะเริ่มพูดถึงความห่วงใยที่มีให้กับสายศิลป์ แม้จะมีปกป้องรวมอยู่ด้วยก็ตาม “มีพี่เป็นศิลปินใหญ่มีชื่อเสียงอย่าง กร ไม่ต้องห่วงมากนักหรอกมั้งเนอะ” จามรียิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ให้กรวิกาที่ยิ้มอายๆ กับคำชมที่ได้ยิน “ใกล้จะเรียนจบกันแล้ว สองคนนั้นอาจจะมีแผนชีวิตเอาไว้ก็ได้นะ ว่าไหม” ปยุดาพูดขึ้น “เป็นพี่ๆ มีหน้าที่สนับสนุนน้องๆ เนอะ ว่าไหม” กรวิกาหัวเราะคิกคักเมื่อได้พูดคล้ายเลียนแบบปยุดาที่ยิ้มอายๆ แก้มแดงระเรื่อ ความมีน้ำใจที่กรวิกามีให้กับปกป้อง แถมยังเผื่อแผ่มาถึงสายศิลป์อีกทำให้ปยุดารู้สึกสุขใจกับสิ่งที่ได้เห็นกรวิกาปฏิบัติเสมอมา หลัง จากปกป้องไม่รู้จะไปอุปถัมภ์หรือให้ทุนใครอีก ไม่ว่าจะเป็นใครปยุดาพร้อมที่จะเคียงข้างและสนับสนุนในสิ่งดีๆ ที่กรวิกาทำในทุกๆ เรื่อง ปยุดายิ้มจ้องมองกรวิกาไม่วางตา “แหม รักกันมาพักใหญ่แล้วไหม ดูดู๊มองกันตาเยิ้มเหมือนอยาก จะกินเสียตรงนี้เลย หัดเกรงใจกันบ้างดิ อิจฉานะเว๊ย” จามรี หัวเราะ ครั้งนี้ ปยุดาไม่ได้พูดต่อปากต่อคำ แต่เอื้อมมือไปจับมือกรวิกาเอาไว้ “เดี๋ยวแกก็เจอ ฉันรู้สึกได้” ปยุดายักคิ้วข้างซ้ายเหมือนมีนัยว่ารู้ เห็นอะไรบางอย่าง รอยยิ้มที่มีเลศนัยนั้นทำให้จามรีเลิกพูด แหย่ “แม่จะพาไปให้หนุ่มดูตัวอีกแล้ว ก่อนบินไปทำงานให้หล่อนน่ะ” “โอ๊ยดูมาเป็นร้อยแล้วมั้ง ไม่เจอเลยหรือ” ปยุดาถามยิ้มๆ “เขาไม่เลือกฉันมากกว่านะ” จามรีหัวเราะ “กรจะรอดูหนุ่มผู้โชคดีนะ อาจจะเป็นรายล่าสุดก็ได้ กลับจากทำ งานให้ยุ่งปุ๊บ หมั้นปั๊บเลย” กรวิกาอมยิ้ม เมื่อเห็นจามรียิ้ม อายๆ “ไม่ใช่ยายจอมยุ่งของกรนะ สบตาปุ๊บ อยากได้ปั๊บ” “ไอ้บ้าจุ้น เปล่าสักหน่อย” ปยุดายิ้มอายๆ “อ้าวนึกว่าชอบตั้งแต่แรกเห็น” กรวิกาถามเสียงอ่อยๆ “ไม่ได้ชอบ แค่เอาไปเพ้อเฉยๆ เอ๊ง” ปยุดายิ้มๆ และจูบเบาๆ ไปที่แก้มของกรวิกาที่ออกอาการเขินอาย เมื่อหันมามองสบตากับจามรีที่ทำ เป็นปิดตาไม่รู้ไม่เห็นกับการแสดงความรักของทั้งสองสาว “ไปดีกว่า กระเป๋าก็ยังไม่ได้จัด ของก็ยังไม่ได้เตรียม” จามรีบอก “ขอบใจมากๆ นะจ๊ะ จุ้นจ้าน รักใคร ชอบใคร ฉันจะไปช่วยจีบ” ปยุดาหัวเราะ “จริงนะ” จามรีอมยิ้ม “เออไปหาที่ชอบมาก่อนเถอะ อย่างแกนะไม่ต้องมาพึ่งพาฉันหรอก ดิฉันรู้” ปยุดายิ้มและลุกขึ้นสวมกอดจามรีเอาไว้ “ว่าจะจีบกร ยอมเป็นรองยุ่งเลยนะ ช่วยเค้าด้วยนะ ตัวเอง” จามรีหัวเราะเมื่อปยุดาคลายอ้อมกอดแล้วถลึงตาใส่ “วอนหาเรื่องตายซะแล้ว ญาติฉัน ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะจ๊ะเดิน ทางคนเดียวน่ะ” ปยุดาบอก “บ้า มีใครบางคนอยู่ในใจไปด้วยตลอดแหละ” จามรีพูดจบแล้วยิ้มให้กับกรวิกา ซึ่งหัวเราะออกมาทันที เพราะจามรีพูดทิ้งท้าย เป็นการผูกปมไว้ให้ปยุดาที่คงอยากรู้อยากเห็นแน่ว่า ใครเป็นคนในใจที่จามรีบอก “ไอ้จุ้นจ้าน เดี๋ยวนี้มีคนในใจด้วยนะ” ปยุดาหัวเราะมองดูจามรีที่เดินลิ่วๆ ไปแล้ว ปยุดาตักอาหารใส่ให้ในจานของกรวิกาที่หันมายิ้มให้ และทำท่าคล้ายส่งจูบทำเอาปยุดาอมยิ้มกับความน่ารักที่ได้เห็น ปยุดาแวะเข้ามาดูร้านไอศกรีมของตัวเองก่อนที่จะแวะมารับประทานอาหาร ช่วงหลังอยู่บ้านดูแลมารดาเสียเป็นส่วนใหญ่โดยมีกรวิกาอยู่ เคียงข้างเสมอ แม้จะบอกให้ อยู่ทำงานที่สตูดิโอบ้างแต่เจ้าตัวเลือกที่จะขับรถพาไปไหนมาไหน เพราะรู้ดีว่า คนรักคงเหนื่อยกับความกังวลใจเรื่องอาการป่วยของมารดา ถึงจะไม่ ได้เป็นอะไรมากมายนัก แต่ด้วยความที่ท่านไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยจึงทำให้คนเป็นลูกสาวออกอาการกังวลให้เห็นชัด “ไม่มีตัวอยู่ด้วย เค้าคงแย่เนอะ” ปยุดาพูดขึ้น กรวิกาหันมายิ้มกับการพูดจาออดอ้อน “ไม่มีกร ยุ่งอาจจะแต่งงานมีหลานให้แม่ไปแล้วมั้ง” กรวิกายิ้มแต่ร้องโอดโอย เมื่อถูกหยิกเข้าให้ที่แขน “พูดมากนักนะ บอกแล้วไง ถ้าไม่มีตัว เค้าก็จะไม่แต่งงาน” “ยุ่งเก่งจะตายไป รู้เอาไว้ด้วยล่ะ จะมีกรให้รำคาญอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแก่ตายแหละ” กรวิกาหัวเราะ ปยุดาจึงแอบจูบไปที่แก้ม “ยิ่งอยู่ด้วย ยิ่งน่ารัก คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ทำให้ตกหลุมรักได้ทุกวัน” “ต้องทำตัวน่ารัก เดี๋ยวเกิดไม่รักขึ้นมาจะแย่” กรวิกาพูดยิ้มๆ “ไม่มีทาง รักแล้วรักเลย รักไปเรื่อยๆ ค่อยๆ รัก เค้าไม่คิดมาก่อนเลยนะ ว่าจะรักใครมากแบบนี้น่ะ รู้ไว้นะแม่สาวคนพิเศษ” ปยุ ดาอมยิ้มและเริ่มรับประทานอาหาร ซึ่งยังคงดูแลช่วยตักอาหารให้กรวิกา สายศิลป์มองเห็นปยุดากับกรวิกา จึงหันมามองสบตากับสุวีร์ก่อน ที่จะพากันไปทักทาย สุวีร์กับกรวิกาเคยได้รับการแนะนำให้ รู้จักผ่านเพื่อนมาก่อน แต่กับปยุดานั้นยังไม่รู้จักกัน สายศิลป์จึงแนะนำให้รู้จัก ปยุดามอง ดูสองสาวที่เข้ามาทักทาย และหันไปมองสบตากับกรวิกาคล้ายมีคำถาม ว่าเป็นคนรักกันหรือไม่ “นั่งด้วยกันสิคะ” ปยุดาบอกแล้วยิ้มให้กับสุวีร์ ซึ่งถึงกับเลื่อนเก้าอี้ให้สายศิลป์นั่ง การสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่วๆ ไป รวมถึงเรื่องงานซึ่งสายศิลป์ฝึกงานเป็นที่เรียบร้อยและอีกไม่นานคงจะจบการศึกษา กรวิ กาจึงเอ่ยปากเรื่องสตูดิโอที่จะให้ปกป้องกับสายศิลป์ใช้ทำงาน “เกรงใจพี่กร” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ ด้วยความเกรงใจ แต่ตัวเองไม่รู้เหมือนกันว่า จะใช้สถานที่ไหนหากจะเขียนภาพ เพราะก่อนหน้านั้นใช้สถาบันการศึกษาเป็นที่ทำงานเคยพูดคุยกับปกป้องอยู่เหมือนกันว่า จะไป หาเช่าตึกเพื่อใช้ทำงาน แต่คงต้องหาทุนสำรองเอาไว้ก่อน “ช่วยทำความสะอาด จัดระเบียบให้สิจ้ะ อีกอย่างชั้นล่างน่ะ อยากให้ช่วยดูเพราะถือเป็นที่แสดงงาน ถ้างานของป้องกับอาร์ต เสร็จบ้างแล้ว ก็เอามาติดตั้งได้เลย ลองคุยกับป้องดูก่อน ข้ามเรื่องเกรงอกเกรงใจไปได้เลย เพราะหากพี่ไม่สะดวกคงไม่เอ่ยปากถูก ต้องไหมจ้ะ” กรวิกายิ้มให้ทั้งสองสาวที่ร่วมรับประทานอาหารอยู่ด้วย สุวีร์ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรมากนัก ถึงแม้จะเป็นอาจารย์สอน แต่ เรื่องงานศิลป์อย่างที่กรวิกาทำและสายศิลป์กำลังจะก้าวเดินตามนั้น สุวีร์ไม่ค่อยถนัดเท่าไรนัก “ไม่ไปเกะกะหรือคะ” สายศิลป์ถาม “ไม่หรอก พี่อยู่ชั้นบน ห้องของอาร์ตกับป้องอยู่ชั้นล่าง ถ้าเราสองคนสลับกับอยู่ที่สตูดิโอให้ อาจจะเปิดให้คนเข้าชมได้นะ เผื่อ ขายงานของเราได้ด้วย” กรวิกาอธิบาย สายศิลป์มีรอยยิ้มให้เห็นชัดเจนมากขึ้นหันไปมองคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ สุวีร์เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ให้ “พี่มีงานให้ เขียนภาพผู้ใหญ่ แต่อาร์ตคงต้องเข้าไปพูดคุยและพบท่านก่อน สนใจไหม” ปยุดายิ้มให้สาวน้อยที่ยิ้มจางลงทันทีเมื่อได้ยิน “จะไปทำให้เสียงานหรือเปล่าคะ ผู้ใหญ่ด้วย พี่กรเขียนให้ไม่ดีกว่าหรือคะ พี่ยุ่ง” สายศิลป์บอก “เสนอไปแล้ว ท่านไม่เอาพี่กร” ปยุดาหัวเราะแล้วหันไปยิ้มให้กับคนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่แกล้งทำเป็นหน้าเศร้า เมื่อได้ยิน สิ่งที่ปยุดาพูด “ฝีมือไม่เข้าตา” กรวิกาพูด สายศิลป์อมยิ้มกับความน่ารักของสองสาวรุ่นพี่ที่ได้พบเจอทีไรทำให้รู้สึกสุขใจ และมีแรงบันดาลใจ ในการทำงานได้จากการพูดให้กำลังใจจากทั้งกรวิกาและปยุดา “หลังสอบเสร็จได้ไหมคะ สัปดาห์หน้าค่ะ” สายศิลป์มองสบตากับ ปยุดาที่พยักหน้าให้ “ตามนั้น ไว้เราโทรฯ คุยกันอีกที เออเจอไอ้เจ้านายจอมยุ่งบ้างไหม” ปยุดาถาม รอยยิ้มของสายศิลป์ดูแปลกไป จากที่ยิ้มสวย เมื่อได้พูดคุยตก ลงเรื่องงานไปเมื่อครู่ ตอนนี้รอยยิ้มจางลง เมื่อถูกถามถึงจามรี “วันฝึกงานวันสุดท้าย ไปลาแต่ไม่เจอค่ะ เห็นคุณเลขาบอกเตรียมเดินทางไปต่างประเทศ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “พี่ใช้ไปเองแหละ เอาเป็นว่า หลังสอบเสร็จอาร์ตโทรฯ หาพี่หรือ พี่กรก็ได้จ้ะ จะได้พาไปให้คุณทวดดูตัว” ปยุดาบอก “คุณทวด” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ รู้สึกจิตตกขึ้นมาทันที “ถูกต้อง เตรียมตัวถูกสอบสัมภาษณ์ด้วยล่ะ” ปยุดาอมยิ้ม “โห เหมือนโดนขู่เลย ขอบคุณมากนะคะ” “ยินดีจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณวีร์” ปยุดาบอกก่อนที่จะแยกย้าย “ยินดีเช่นกันค่ะ” สุวีร์ถอนใจเบาๆ สุวีร์นั่งเงียบมาตลอดทาง หลังจากแยกกับปยุดากับกรวิกาคนที่ นั่งมาด้วยสังเกตได้ อันที่จริงสุวีร์เงียบมาตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหาร สายศิลป์ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เพราะไม่เอ่ยปากออกความคิดเห็นอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องงานของเธอ “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สายศิลป์ถาม “เปล่านี่” สุวีร์ตอบแล้วหันมายิ้มน้อยๆ ให้ “ไม่เห็นด้วยเรื่องงานหรือเปล่าคะ” สายศิลป์ถามต่อ เพราะเคยพูดคุยกันอยู่บ้าง และสุวีร์เอ่ยปากอยากให้สายศิลป์ไปทำงานเขียนภาพที่บ้าน แต่ได้รับการปฏิเสธ “งานของเรา พี่คงไปคิดอะไรไม่ได้หรอกมั้ง” สุวีร์พูดขึ้น “ไม่ชอบพี่กรกับพี่ยุ่ง หรือเปล่า” สายศิลป์ถามเสียงอ่อยๆ “ทำไมถึงต้องไม่ชอบด้วยล่ะ” “เห็นท่าทางเหมือนไม่ค่อยเห็นด้วย หน้าบึ้งตั้งแต่ร้านอาหารแล้ว” “แพ้คนมีสตางค์มั้งคะ” สุวีร์บอกและกำลังชะลอรถเพื่อจอดที่หน้าหอพักของสายศิลป์ “ยังคงคิดว่า อาร์ตไม่ควรจะเริ่มงานเขียนภาพอยู่หรือเปล่าคะ” “เราคุยกันไปแล้วนะ พี่จะไม่พูดซ้ำ” สุวีร์บอก “อาร์ตรู้นะว่า พี่วีร์หวังดี อยากให้ทำงานที่มั่นคง อาร์ตจะหางานเสริมเพื่อเป็นทุนมาทำงานที่อาร์ตรัก คนเรามีความฝันด้วยกัน ทุกคน อาร์ตอยากเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เพราะหากทิ้งไว้อาจจะไม่ได้หวนกลับมาทำอีก” “ก็คิดมาละเอียดถี่ถ้วนดีแล้วนี่คะ” สายศิลป์มองดูคนที่ก้มหน้าเล็ก น้อยไม่ค่อยกล้าสบตานัก “ยังเป็นกำลังใจให้กันอยู่ไหม” สายศิลป์ถามเสียงอ่อยๆ “แน่สิ หรือเรามีกำลังใจจากที่อื่นมากพอแล้วล่ะ” “อาร์ตทำอะไรผิด หรือเพราะไม่ได้บอกเรื่องสตูดิโอคะ” “เดี๋ยวพอทำงาน สังคมเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน โลกของเราจะกว้างขึ้น ตัวอาร์ตเองอาจจะเปลี่ยนไปจากวันนี้ พี่จะฟังเรื่องที่อาร์ตบอก สิ่งที่อาร์ตไม่บอกถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว โอเคไหม” สุวีร์ถอนใจเล็กน้อย “พี่วีร์อ๊ะ โกรธแต่ไม่ยอมรับความจริง” สายศิลป์พูดกระเง้ากระงอด สุวีร์จึงเอื้อมมือมาวางทาบทับที่ศีรษะและขยี้ผมเล็กน้อย “โกรธก็ไม่เคยเห็นจะง้อเลย สาวอาร์ตทิส ง้อเป็นไหม” “ไม่เป็น เรื่องมันตั้งเยอะแยะมากมาย บางทีอาจจะไม่ทันได้เล่าจะมาโกรธได้ไงล่ะ” สายศิลป์บอก “บอกก็ไม่เห็นจะเคยเชื่อ เคยฟังนี่” สุวีร์พูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ “งานประจำ ทำแล้วไม่มีความสุข พี่วีร์อยากให้ไม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ” สายศิลป์ถาม “ขี้เกียจจะเถียงแล้วล่ะ ตามใจอาร์ตก็แล้วกัน ถ้าอยากให้ช่วยหรือให้คิดอะไร ก็ค่อยมาบอก” สุวีร์พูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ ที่คน ฟัง ไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าคนพูดคิดอย่างไรกันแน่ “อาร์ตนึกว่า คนรักกัน เขาจะให้กำลังใจกันเสียอีกนะคะ ขอบคุณนะคะที่ขับรถมาส่ง” สายศิลป์พนมมือไหว้ก้มหน้างุดๆ ไม่ยอม มองสบตา กับคนที่จ้องเขม็งอยู่ “เดี๋ยวดิ พูดอย่างนี้หมายความว่าไง” สุวีร์พูดเสียงเข้ม “จะไปแล้ว ไม่ต้องมาดุ” สายศิลป์พูดเพียงแค่นั้นแล้วรีบเข้าไปในหอพักทันที โดยไม่หันมามองคนที่ยังคงนั่งอยู่ในรถ สุวีร์ถอน ใจ “เด็กๆ ดูแลยากเหมือนกันนะเนี่ย” สุวีร์รำพึงออกมาเบาๆ สุวีร์ตามขึ้นมาที่ห้องพักของสายศิลป์ ซึ่งทำหน้างอเมื่อเปิดประตูเห็นว่าเป็นใคร “หนีมา ไม่ให้กอด ผิดระเบียบนะคะ นักศึกษา” สุวีร์ยืนยิ้มอยู่หน้าประตูและเดินตามเข้ามาภายในโอบเอวสายศิลป์เอาไว้จาก ทางด้านหลัง “ใช้อภิสิทธิ์ตลอดเลย พี่วีร์” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม