มิถุนายน พ.ศ. 2561
ขณะที่หมอกกำลังเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน กลุ่มของวัยรุ่นต่างโรงเรียนเห็นเขาใส่เสื้อผ้าโรงเรียนผู้ดีชื่อดังจึงทำทีมาสนิทสนมกับเขาแล้วพาเข้าไปหลบมุมในซอยเล็ก ๆ ก่อนถึงป้ายรถเมล์
พวกนั้นค้นตัวของหมอกแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเปิดดูข้างในพลางแสยะยิ้ม ทำสายตาไม่เชื่อสิ่งที่เห็น
“อะไรวะ โรงเรียนคนรวยแต่มีเงินไม่ถึงร้อยบาทนี่นะ” เขาไม่พอใจคิดว่าจะเหมือนเด็กคนก่อนหน้าที่พกเงินสดหลายพันไว้ในกระเป๋า
“หะ จริงดิ ค้นกระเป๋าเป้ยัง” อีกคนถามขึ้น
“เงินมีแค่นี้ อยากได้ก็เอาไป” หมอกเอ่ยปากขึ้นเพราะเห็นว่าสัมภาระของตนเองถูกเทกระจายเกลื่อนพื้นถนน
“ไอ้นี่!” เขายกหมัดขึ้นพร้อมจะต่อยบนใบหน้าของหมอก
เพียงแต่ว่า เสียงตะโกนของใครบางคนดังขึ้น
“เฮ้ย! หมาหมู่รังแกเด็กเหรอวะ”
หมอกหันไปทางต้นเสียง นักเรียนม.สี่จากโรงเรียนเดียวกับคนพวกนี้กำลังมองมาที่เขาเช่นเดียวกัน
หมอกมองคนตรงหน้าประเมินความเสี่ยงพร้อมรับมือ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ผมสีส้มแดง รอยบากที่หางคิ้วข้างซ้าย
ดูยังไงก็อันธพาลชัด ๆเขาคิดในใจ
ทว่า วัยรุ่นคนนั้นเดินดุ่มเข้ามาตัวคนเดียวไม่เกรงกลัวแล้วดึงตัวหมอกออกมาให้ห่างจากกลุ่มเกเร
“ว้าว! มาคนเดียวยังกล้า ไม่รู้หรือไงพวกฉันเป็นใคร” หนึ่งในนั้นเดินมาเผชิญหน้ากับวัยรุ่นคิ้วบากที่เหมือนจะมาช่วยหมอก
“อ้อ คนไม่ดีไม่อยากรู้จักหรอก ชิ่ว ๆ” เขาปัดมือทำท่าไล่อีกฝ่ายเหมือนเตือนทางอ้อม
อย่างไรการเจรจาย่อมดีกว่าการใช้กำลัง
กระนั้น กลุ่มเด็กเกเรรู้สึกเหมือนถูกหยามศักดิ์ศรีจากใครที่ไหนไม่รู้ จึงออกหมัดพุ่งมาที่คนผมส้มแดงอย่างหวังผล
ใครจะไปรู้ว่าขายาว ๆ ของคนที่ไม่กลัวอะไรยกขึ้นถีบร่างของเด็กเกเรจนกระเด็นเซไปด้านหลังแล้วยิ้มกว้าง
“พูดเฉย ๆ คงไม่เข้าใจสินะ ทำไมต้องให้ใช้กำลังตลอด” เขาเอ่ยปากแล้วหันมาบอกหมอกว่า “ดูต้นทางให้ที อย่าหันหลังกลับมาล่ะ” ก่อนจะลูบหัวคนที่ตัวน้อยกว่าด้วยความเอ็นดู
สิบนาทีผ่านไป หมอกได้ยินเสียงร้องโอดโอยเงียบลงจึงหันมามองดูเหตุการณ์ ตอนแรกคิดว่าคนผมส้มแดงคงจะแพ้แน่ ๆ
“นี่ บอกแล้วไงว่าอย่าหันมา” เขาเอ่ยปากบอกอีกครั้งไม่อยากให้หมอกเห็นสภาพของเด็กกลุ่มนั้นที่กำลังนอนกองอยู่บนพื้น ส่วนตัวเขาเองมีเพียงปากที่แตกเลือดซิบนิดหน่อย สภาพดีกว่าคนพวกนั้นหลายสิบเท่า
อันธพาล ไม่ควรยุ่งเกี่ยวอย่างยิ่งยวด หมอกคิดในใจก่อนจะเดินมาเก็บของตัวเองใส่กระเป๋าเป้แล้วรีบหนีไปจากที่ตรงนั้น
“นี่ จะรีบเดินไปไหน” คนผมส้มแดงถามเขา
“...” หมอกไม่ตอบ ไม่สนใจคิดว่าคงต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้คนหัวส้มแดงแน่ ๆ
“คนเค้าอุตส่าห์ช่วย จะไม่ขอบคุณสักหน่อยเหรอ” อีกฝ่ายยังคงพยายามชวนเขาคุย
“ไม่ได้ขอสักหน่อย” หมอกตอบอย่างไร้เยื่อใย
“เอ้า ทำไมเป็นงั้น” ร่างสูงเลิกคิ้ว
“...” เขาหยุดมองหน้า แล้วถามออกไปตรง ๆ “ต้องการอะไร”
“ไม่มี แค่ผ่านมาก็เลยช่วย อยากได้ยินคำขอบคุณสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก แบบว่าเหมือนเห็นลูกหมาตกน้ำก็ต้องช่วยน่ะ เข้าใจใช่ไหม” คนผมส้มแดงอธิบายอย่างยืดยาวแล้วอ่านชื่อที่ปักอยู่บนหน้าอกของหมอก
“การันต์ พชรกุล ม.สามโรงเรียน XX” เขายิ้มให้แล้วพูดว่า “ถ้าพวกนั้นมาไถเงินนายอีก รีบวิ่งมาหาฉันนะ ฉันทำงานอยู่ร้านสะดวกซื้อตรงหัวมุม”
“ไม่” หมอกมองหน้าคนผมส้มแดงอีกครั้ง แล้วรีบวิ่งขึ้นรถเมล์เพื่อหลบหนีจากสถานการณ์แบบนี้ หากแต่อีกฝ่ายยืนยิ้มให้พลางโบกมือราวกับคนบ้า
หนีเสือปะจระเข้ ความคิดในใจของหมอกดังขึ้น
หลังจากนั้นไม่กี่วัน
ตอนที่กำลังเดินไปขึ้นรถเมล์ก็บังเอิญเจอพฤธากับปัถย์ ในเมื่อเป็นเบ๊คนพวกนี้อยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียนก็คงโดนปฏิบัติไม่แตกต่างกัน
อุตส่าห์เลี่ยงมาเดินอีกทางเพราะอยากหลบหน้าคนผมส้มแดงคิ้วบากเมื่อวันก่อน กลับต้องมาเจอพวกนี้แทน
“ดูดิ ใครเอ่ย” พฤธาแสยะยิ้มพลางลากตัวหมอกเข้าซอยแคบแล้วกระชากคอเสื้อ
“...” หมอกไม่พูดสิ่งใด นิ่งเฉยอย่างเคยเพราะไม่ค่อยมีแรง
ช่วงตอนกลางวันคนพวกนี้เทถาดข้าวของเขาทิ้งจนทำให้ต้องอดทั้งข้าวเช้าและข้าวกลางวันไปโดยปริยาย เวลานี้จึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้เปลืองแรง
“เฮ้ย! พวกนายจะทำอะไร” เสียงของคนที่เขาพยายามหลบหน้าดังก้อง
หน้าตาและท่าทางเหมือนนักเลงทำให้พฤธากับปัถย์รู้สึกหวั่นเกรงจนเผลอปล่อยมือออกจากหมอกในทันใด
ทั้งสองคนทำใจดีสู้เสือเผชิญหน้ากับคนผมส้มแดง แม้แววตาจะสั่นระริก
“พวกนายกล้ามายุ่งกับเด็กของฉันเหรอ” เขาแสยะยิ้มพลางเอื้อมมือมาจับไหล่ของพฤธา แรงกดทำให้อีกฝ่ายหน้าเบ้ รู้ตัวทันทีว่าคนตรงหน้ามีกำลังที่เหนือกว่า
“เปล่า ๆ ไม่ได้ทำอะไร” พฤธาปากสั่น พยายามแกะมือของคนผมส้มแดงออกแต่ไม่ได้ผล
“เอาเป็นว่าถ้าฉันเห็นนายมายุ่งกับคนของฉันอีก ฉันจะไม่ปล่อยนายไว้แน่”
ขณะที่พูดประโยคข่มขู่ แรงกดมหาศาลก็เพิ่มเข้ามาจนพฤธารู้สึกร้าวเข้าไปข้างในกระดูก
“อือ ๆ” เขารับปากโดยไม่รู้ตัว น้ำตาร่วงเผาะเพราะความเจ็บ คนผมส้มแดงจึงปล่อยมือออก
ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ทั้งสองคนก็รีบวิ่งหนีหายเข้ากลีบเมฆอย่างรวดเร็ว
“เจอกันทีไรมีเรื่องทุกที” ร่างสูงลูบหัวของหมอกพลางขมวดคิ้วรอว่าเขาจะพูดอะไร
“ไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย” หมอกเอ่ยปากพูดแล้วรีบเดินออกมาจากตรอกเล็ก
“เอ้า อีกแล้ว ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายดีใจที่ฉันมาช่วย” เขายีผมของหมอกอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “กลับบ้านดี ๆ ล่ะ บ๊ายบาย”
หมอกคิดในใจ คนประหลาด ครั้งนี้เขาจำชื่อของคนผมส้มแดงได้แม่นยำ
เขมกร พฤกษ์ขจร ม.สี่ โรงเรียน XX
สองสามวันต่อมา
หลังจากเลิกเรียน หมอกยังคงโดนกลุ่มเกเรจากโรงเรียนเดียวกันกลั่นแกล้งเหมือนเดิม ข้าวของในกระเป๋าถูกโยนทิ้งรายทางไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง
เขาค่อย ๆ เดินเก็บมันใส่กระเป๋าด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่เพียงลำพัง ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยเพราะคนที่ทำเรื่องนี้จ้องมองจากที่ไกล ๆ
ตอนที่กำลังก้มเก็บของพลันเหลือบเห็นรองเท้าผ้าใบที่มีรอยปะเย็บก็ทำเป็นไม่สนใจ แต่คนคนนั้นก็ไม่พูดอะไร เดินอยู่ข้างเขาเงียบ ๆ เช่นกัน
ราวกับว่าคนที่ก่อเรื่องจะเห็นเขมกรทำท่ายกหมัดขึ้นมา คนพวกนั้นก็รีบวิ่งแจ้นเก็บของที่เหลือมาคืนหมอกพร้อมคุกเข่าขอโทษด้วยความลุกลี้ลุกลน
เสร็จเรื่องแล้ว เขมกรบีบแก้มของหมอกหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว แล้วเอาลูกอมรสมะนาวใส่กระเป๋าเสื้อของหมอกไว้ก่อนจะเดินไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อตามเดิม
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่พูดอะไรเลย ทำให้หมอกนึกสงสัยและรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในใจ
จากนั้นมา เวลาว่างเขามักจะหยิบลูกอมรสมะนาวออกมามองดูอยู่เสมอพลันใบหน้าของเขมกรปรากฏขึ้นมาในความคิด
หลายอาทิตย์ต่อมา
ช่วงที่เขมกรกำลังเดินกลับบ้านหลังจากเลิกงานร้านสะดวกซื้อ หางตาของเขาเหลือบเห็นร่างเงาดำตะคุ่มอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ
ใบหน้านั้นคุ้นเคยเหลือเกิน จึงเดินเข้าไปเพื่อจะทักทายหลังจากไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน
หากแต่ใบหน้านั้นเขียวช้ำ หางคิ้วแตกมีเลือดไหลซึม ปากแตกเล็กน้อย หมอกกำลังนั่งคอตกอยู่ที่ม้านั่งอย่างโดดเดี่ยว
“มีเรื่องอะไรมากอีก ใครทำอะไรนายบอกฉันมา” เขมกรเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
แต่ด้วยนิสัยของหมอก คำพูดที่อีกฝ่ายได้ยินจึงเป็น “ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย”
จากนั้นเสียงท้องร้องก็ดังขึ้น
“หิวข้าวเหรอ” เขมกรถามเขาอย่างเคย
“ไม่” คำตอบสั้น ๆ สวนทางกับท้องที่ร้องโครกครากอย่างไม่ไว้หน้าเจ้าของร่างกาย
“ทำไมปากแข็งนักนะ โดนไถเงินจนไม่มีซื้อข้าวเหรอ อยากกินอะไรล่ะ” คนเป็นพี่ม.สี่พยายามชวนคุย
“...” น้องม.สามนิ่งเงียบ หันหน้าไปทางอื่นพลางกุมท้องที่ร้องไม่หยุดของตนเองเอาไว้
“ทำไม่กลับบ้าน ป่านนี้คนที่บ้านคงเป็นห่วงแล้ว” เขมกรโน้มน้าวใจเด็กน้อยที่กำลังดื้อ
“...”
ทั้งคู่นั่งนิ่งอยู่นาน เมื่อไม่มีอะไรคืบหน้า เขมกรจึงต้องทำอะไรบางอย่าง
“ถ้างั้นฉันจะแจ้งตำรวจ แล้วตำรวจก็จะพานายไปส่งที่บ้าน” เขมกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โรงพักด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่กลับบ้าน” หมอกพึมพำพลางมองหน้าเขมกร ท้องร้องโครกครากดังยกใหญ่
“แล้วจะไปไหน นายจะนอนตรงนี้เป็นคนไร้บ้านหรือไง” เขาพูดพลางตบยุงที่กัดขาของตัวเองดังผลัวะ “ขืนอยู่ที่นี่ต่อ พรุ่งนี้คงได้เป็นไข้เลือดออกแน่ ๆ”
“...” หมอกนิ่งเงียบคิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ
เขมกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบกดเบอร์โรงพัก แต่หมอกห้ามเอาไว้
“ไม่กลับบ้าน” เขาส่ายหน้า
“แล้วจะไปไหน บ้านเพื่อนของนายไหม ฉันไปส่ง” เขมกรเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ
“ไม่ไป” หมอกยังคงดื้อ ไม่เปลี่ยนใจ ทั้งยังไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนในเวลานี้
“ถ้างั้นไปบ้านฉัน” เขาเอ่ยปากชวน
“...” ในใจของหมอกกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
ในเมื่อกลับบ้านไม่ได้ แล้วก็ไม่มีเงิน ถ้านอนอยู่ในสวนพรุ่งนี้คงจะไม่สบาย
“ไปด้วย” สุดท้ายเขาก็ตอบตกลง
“โอเค” เขมกรยิ้มกว้างแล้วเดินนำหน้าหมอกไปที่ป้ายรถเมล์เที่ยวสุดท้าย
เมื่อมาถึงบ้านหลังน้อย ทั้งสองคนค่อย ๆ ย่องเข้าบ้านราวกับจะมาขโมยของ
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวยายตื่น” เขมกรกระซิบข้างหูหมอกแล้วพูดอีกว่า “เดี๋ยวฉันต้มมาม่าให้กิน นายไปอาบน้ำก่อน เสื้อผ้าฉันอยู่ในตู้ อยากใส่ตัวไหนก็ใส่”
“อื้อ” หมอกรับปากอย่างว่าง่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมดแรงหิวข้าวหรือสมองเบลอกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
คืนนี้เขาตามคนแปลกหน้ามาที่บ้าน แถมยังจะนอนค้างคืนอีกด้วย ไม่เรียกว่าเสียสติไปแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ถึงหน้าตาของเขมกรจะดูเหมือนนักเลง แต่จะว่าไปแล้ว เขาช่วยหมอกทุกครั้งที่เจอหน้ากัน หมอกจึงได้แต่คิดในใจ หวังว่าจะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเขาไปมากกว่านี้เพราะวันนี้รู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ
ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ เขมกรยกถ้วยมาม่ามาวางไว้ที่โต๊ะแล้วหยิบผ้าห่มกับหมอนมาวางไว้ที่ห้องโถง ปูพื้นด้วยผ้านวม จัดที่นอนให้หมอกเป็นอย่างดี
เขาถือชุดปฐมพยาบาลมานั่งรอหมอกอย่างสบายอารมณ์เพราะรู้สึกเหมือนได้กุศลจากการช่วยเหลือลูกหมาตกน้ำอีกครั้ง
“มานี่ ฉันจะทำแผลให้” เขมกรกวักมือเรียกอีกฝ่าย
“ไม่ต้อง ทำเองได้” หมอกปฏิเสธแล้วเดินไปนั่งกินมาม่าบนโต๊ะด้วยความหิว
“ตามใจ วางไว้ตรงนี้นะ กินเสร็จแล้วก็นอนตรงนี้นะ” เขมกรยิ้มให้เขาแล้วไปอาบน้ำนอน ปล่อยให้หมอกใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในบ้านของตนเอง