พฤษภาคม พ.ศ. 2559
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่หมอกอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่กับสาธวี เขาเพิ่งจะเริ่มรู้สึกคุ้นชินกับการมีพ่อเป็นครั้งแรก ความเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอทำให้วันหนึ่งเขาเปิดใจรับชายคนนั้นเป็นพ่อบ้างเล็กน้อย
จากที่เคยยุ่งงานไม่ค่อยกลับบ้าน สาธวีใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นเพื่อทำความรู้จักลูกชายอีกคนที่ไม่เคยรู้ว่ามี ในสายตาของเขาหมอกเป็นเด็กฉลาดแต่กลับมีนิสัยหนึ่งอย่างที่เหมือนกับเขาและปู่ราวกับสืบทอดเป็นกรรมพันธุ์
ความเย็นชา ห่างเหิน ความรู้สึกที่ไม่เปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตง่าย ๆ ในใจเฉยชาราวกับภาพวาดโทนสีเทาไร้สีสัน
สิ่งนั้นแสดงออกมาเมื่อเขาได้เห็นหมอกบรรจงระบายสีโทนนั้นในสมุดวาดเขียน ความหลงใหลในศิลปะทำให้เขานึกถึงมธุริน
แม้ว่าหมอกจะปรับตัวเข้ากับบ้านหลังใหม่และคนในบ้านได้บ้างแล้ว สาธวีกลับรู้สึกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูแปลกไป และสิ่งที่แสดงออกอย่างเป็นปรปักษ์คือ ศาตนันท์ ปู่ที่ไม่ยอมรับหมอกเป็นหลาน
เขาจึงวางแผนที่จะทำทุกอย่างเพื่อหมอกตั้งแต่เนิ่น ๆ เพียงลำพัง โดยที่แผนนั้นจะให้ใครรู้ไม่ได้เป็นอันขาด
วันหนึ่งสาธวีจึงพาหมอกออกไปเที่ยวข้างนอกกันสองคนตามประสาพ่อลูกแล้วพูดคุยอย่างเป็นการเป็นงาน ให้เขารับรู้ถึงความสำคัญของเรื่องที่จะทำ
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมดูแลตัวเองได้” หมอกพยักหน้าเข้าใจเป็นอย่างดี
“ถ้ามีอะไร รีบโทรมาหาพ่อนะ” เขายังคงไม่วางใจเท่าใดนัก กลัวว่าศาตนันท์คิดจะทำอะไรแผลง ๆ ขึ้นมา “หรือจะบอกคุณน้าก็ได้” เขาเอ่ยถึงภัคจิรา
หากแต่สิ่งที่น่ากังวลพอกันกับปู่ผู้เย็นชาก็คือภัคจิราผู้สวมหน้ากากแม่เลี้ยงใจดีตลอดระยะเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในบ้าน และลูกแฝดสองคนอย่างไรวินท์และแพรพิไล แฝดหญิงชายที่เกิดหลังหมอกไม่กี่เดือน
“เรื่องภายในบ้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภัคเถอะคะ คุณเมฆไม่ต้องห่วง” ภัคจิรายิ้มให้อ่อนหวานราวกับสตรีชั้นสูง
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็สบายใจ ฝากด้วยนะคุณภัค” สาธวีกุมมือของเธอเอาไว้แกมขอร้องให้ช่วยดูแลหมอกเป็นพิเศษ
ในใจของภัคจิรากรีดร้องเพียงลำพัง ต้องมาดูแลลูกของศัตรูหัวใจที่สามีของเธอไม่เคยลืม ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน สถานะที่พวกเขาทั้งคู่แต่งงานกันก็เพราะเรื่องของธุรกิจ
ฐานะของเธอเป็นเพียงแค่แม่ของลูกแฝดและเพื่อนที่รู้จักกันมานานเท่านั้น สาธวีให้เกียรติเธอได้เพียงเท่านี้
“วินท์ แพร พ่อฝากดูแลหมอกตอนอยู่ที่โรงเรียนด้วยนะ” เขาหันมากำชับลูกแฝดทั้งสอง ถึงจะเป็นลูกของหญิงสาวที่แต่งงานเพราะผล
ประโยชน์แต่ความรักที่มีให้ลูก ๆ นับเป็นคนละส่วน เขาทำหน้าที่พ่อได้เป็นอย่างดี โดยไม่รู้เลยว่าลูกแฝดทั้งสองนั้นจะถูกแม่คนนี้สั่งสอนอะไรไปแล้วบ้าง
“ครับ”
“ค่ะ”
ทั้งคู่รับปากแล้วมองหน้ากันอย่างรู้ทัน ความสนุกในรั้วโรงเรียนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า
เมื่อมาถึงโรงเรียนหมอกสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ มองภาพที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า การได้เข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับคู่แฝด ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสียกับตัวเขากันแน่
แม้จะได้อยู่กันคนละห้อง แต่แผนการปั่นป่วนชีวิตของหมอกที่สองแฝดคิดเอาไว้เริ่มออกฤทธิ์
เพื่อนในห้องไม่มีใครสักคนกล้าพูดคุยกับหมอก อีกทั้งที่นั่งของเขายังอยู่ริมหน้าต่างท้ายห้องคู่กับหัวโจกตัวหนาและพรรคพวกของเขาที่นั่งรายล้อม
“ตามมา” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
หมอกอ่านชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อ พฤธา ศิริเดชา แล้วคิดว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
ขณะกำลังนึกย้อนไปว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน ฝ่ามือของคนนั้นก็ลอยเข้ามากระแทกด้านหลังหัวของเขาอย่างจัง
“หูหนวกหรือไง” สายตาเอาเรื่องจ้องมอง พยายามข่มขู่คนที่นิ่งเฉยราวกับก้อนหิน
“นี่!” อีกคนหนึ่งไม่รอช้าคว้าปกเสื้อของเขาเข้ามาใกล้ “ไม่ได้ยินหรือไง”
“ต้องการอะไร” ในที่สุดหมอกก็ทนเสียงแสบแก้วหูไม่ได้ จำเป็นต้องจบเรื่องโดยเร็ว
“ตามมาข้างนอก” สิ้นเสียงของพฤธา เพื่อนที่เหลือจึงพากันลากตัวหมอกออกไปโดยไม่รอให้เจ้าตัวตอบ
หมอกได้แต่ถอนหายใจที่เรื่องราวในโรงเรียนนี้กำลังจะเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเด็กกำพร้าสายรุ้ง
ไม่ว่าจะกำพร้าหรือมีพ่อแม่ คนพวกนี้ไม่ต่างอะไรกันเลย คนที่เหนือกว่าย่อมอยู่บนห่วงโซ่อาหาร
ถึงตอนนี้หมอกจะมีฐานะเป็นคนในตระกูลพชรกุล แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
ครั้นเดินมาถึงห้องน้ำด้านหลังโรงเรียน หนึ่งในนั้นเดินมาเตะขาของหมอกจนทรุดลงกับพื้น เขาคุกเข่าเงยหน้ามองเพื่อนร่วมชั้นห้าหกคนที่ยืนล้อมตัวเอง
“ต้องการอะไร” หมอกยังคงถามคำเดิม คนที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน เพียงแค่เห็นหน้ากันครั้งแรกกลับทำเรื่องพวกนี้เสียแล้ว
“นายอย่าคิดว่าเป็นพี่น้องของพวกนั้นแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไร ถ้าอยากอยู่รอดจนเรียนจบ นายต้องมาเป็นเบ๊ให้พวกฉัน” ปัถย์ พจน์ชวาล หนึ่งในหัวโจกแสยะยิ้ม
เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของไรวินท์และแพรพิไลมาตั้งแต่เด็ก หมอกเพิ่งจะนึกหน้าของคนพวกนี้ออก
แม้จะมีหลายคนทำท่าข่มขู่ แต่หมอกไม่ตอบรับเพราะไม่ต้องการยุ่งกับใคร อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
“ทำไมไม่ตอบ” พฤธาเกิดอาการโมโหง่ายขึ้นมา
ไม่ว่าใครเห็นหน้าพวกเขาต่างต้องยอมทุกเรื่องโดยไม่มีข้อแม้ แต่หมอกกลับนิ่งเฉย สายตาเย็นชา ไร้ความรู้สึก
“ไม่อยากทำ” เขาตอบสั้น ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
“อะไรนะ!” คนกลุ่มนี้ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ขอตัว” หมอกพูดจบแล้วหันหลังกลับ ในใจคิดไว้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อมา
พฤธากระชากคอเสื้อด้านหลังจนหมอกล้มลงพื้น ปัถย์ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบผสมโรงกับคนอื่น ๆ จนหมอกได้แต่งอตัวเอาแขนบังหัวและใบหน้าของตนเอง
น่ารำคาญ เขาคิดในใจ ไม่ร้องสักแอะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง พฤธาจึงก้มลงบอกหมอก ย้ำเตือนว่า “ถ้านายไม่ทำ นายจะต้องโดนแบบนี้” แล้วพากันเดินจากไป
สายตาของหมอกเหลือบเห็นแฝดกำลังยืนยิ้มอยู่มุมตึกจึงแน่ใจว่าเป็นแผนของทั้งสองคน
เมื่อคิดที่จะต่อต้าน เรื่องราวคงจะได้ยินไปถึงหูของภัคจิรา แล้วก็วนกลับมาที่เด็ก ๆ แค่หยอกกันเล่น เกิดการประนีประนอมกันวนไปไม่จบสิ้น
ไม่มีทางที่แม่เลี้ยงจะปล่อยให้เรื่องถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนดังเข้าหูพ่อของเขาอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นแล้วหมอกจึงจำเป็นต้องยอมตามน้ำเป็นเบ๊ให้คนพวกนี้ตลอดระยะเวลาที่เรียนห้องเดียวกัน
ถึงแม้จะยอมอย่างนั้นแล้ว เพื่อนร่วมชั้นยังคงไม่เลิกราคิดหาเรื่องเขาอยู่ บางวันเอาหนังสือของเขาไปแช่น้ำจนหมอกต้องตามเก็บหนังสือพวกนั้นไปตากที่ลานโล่ง
บางครั้งแฝดพี่น้องก็ออกโรงเอง แพรพิไลแกล้งทำเป็นเอาน้ำหวานมาให้หมอก แต่เผอิญสะดุดก้อนหินจนเผลอทำน้ำหวานกระเด็นมาราดหัวของหมอกพอดิบพอดี
ไรวินท์แอบเข้าไปในห้องนอนท้ายสวนของหมอกตอนที่ไม่อยู่แล้วเอาชุดนักเรียนไปฝังดินจนเปรอะเปื้อนทำให้หมอกต้องซักอยู่หลายน้ำ แต่คราบดินยังคงฝังแน่นจนถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าเป็นเด็กกำพร้าที่คนรวยรับมาเลี้ยง
ครั้นจะซื้อเสื้อตัวใหม่เองก็ทำไม่ได้เพราะสาธวีฝากเงินทุกบาทให้ภัคจิราเป็นคนดูแลลูก ๆ เขาจึงได้เงินไปโรงเรียนเพียงแค่ค่าข้าวหนึ่งมื้อและค่ารถเมล์ไปกลับเท่านั้น
ยิ่งเมื่อสาธวีต้องไปทำงานที่ต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ การกลั่นแกล้งในบ้านหลังใหญ่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเฉกเช่นเดียวกัน
ภัคจิราให้คนใช้ขนของและเสื้อผ้าของหมอกไปไว้ในห้องคนสวน ห้ามหมอกเข้ามาเหยียบในบ้านหลังใหญ่ ยกเว้นวันที่สาธวีหรือศาตนันท์เข้ามาที่บ้าน
การรับประทานอาหารร่วมโต๊ะระหว่างคนในครอบครัว กลายเป็นหมอกต้องกินอาหารร่วมกับคนสวน มีอะไรกินอันนั้น บางวันไม่มีข้าวให้กินเพราะจู่ ๆ ภัคจิรารู้สึกหงุดหงิดเพียงเพราะเห็นหน้าเขาจึงสั่งให้อดข้าว
รวมทั้งไม่ให้หมอกเรียนพิเศษและตั้งใจละเลยความเป็นอยู่ของหมอกที่โรงเรียน ไม่สนใจทำหน้าที่ผู้ปกครอง ซึ่งครูในโรงเรียนต่างไม่ว่าอะไรเพราะต้องการประจบเอาใจเพื่อให้ได้ความดีความชอบ
เหล่าครูเองยังรู้ด้วยว่าคนที่แกล้งหมอกเป็นลูกคนมีเงินและมีอำนาจในแวดวงสังคมที่ใหญ่โตไม่แพ้กัน จึงคิดว่าเป็นปัญหาของเด็กที่ถูกเอาใจจนเคยตัว ไม่ได้ให้ความสำคัญแก้ไขความคิดนั้นให้ถูกต้อง
หากจะถามหาครูที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการเป็นครูที่ดี คงต้องนับว่าไม่มีปรากฏในโรงเรียนแห่งนี้
กระนั้นแล้วหมอกไม่เคยปริปากบ่นเวลาที่พ่อของเขาโทรมาหาเพราะไม่อยากให้สิ่งที่พ่อทำต้องหยุดชะงัก เรื่องพวกนี้เขาทนได้ ไม่มีอะไรหนักหนาจนรับไม่ไหว