เช้าวันต่อมา
เขมกรตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำกับข้าวสามชุดก่อนไปโรงเรียน ครั้นเห็นหน้าของหมอกก็ยิ้มทักทายด้วยสีหน้าสดใส
“ชุดนักเรียนนายแห้งแล้ว มากินข้าวแล้วไปโรงเรียนกัน” เขาทำหน้าที่เหมือนกำลังเลี้ยงน้องชายของตนเอง
หมอกเดินมานั่งจุ้มปุ๊กที่โต๊ะอาหาร ตักข้าวเข้าปากนิ่งเงียบอย่างเอร็ดอร่อย
“ฉันทำกับข้าวอร่อยใช่ไหมล่ะ เอาข้าวเพิ่มอีกไหม” เขมกรมีสีหน้าพึงพอใจที่ได้เห็นว่าคนตรงหน้ากินข้าวจนหมดจานอย่างรวดเร็ว
"พอแล้ว อิ่ม” หมอกส่ายหน้าแล้วเดินไปรีดชุดนักเรียนของตนเอง
สายตาของเขมกรมองตามด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมลูกคนรวยอย่างเขาถึงได้มีชีวิตที่น่ารันทดขนาดนี้ แต่ไม่ล่วงเกินถามออกไปเพราะคิดว่าหมอกไม่มีทางเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังแน่นอน
แล้วเช้าวันนั้น ทั้งสองคนจึงขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนพร้อมกัน ต่างคนต่างนั่งคนละฝั่งหน้าต่างไม่พูดอะไร จนกระทั่งรถเมล์จอดที่ป้ายหน้าโรงเรียนของเขมกร เขาจึงเดินมายีผมหมอกแล้วบอกว่า “ถ้าไม่อยากกลับบ้านจะไปนอนที่บ้านฉันอีกก็ได้”
“...” หมอกมองหน้าเขาไม่พูดอะไร พอคล้อยหลังกลับพึมพำเบา ๆ อยู่คนเดียว “อื้ม”
พอหมอกเดินมาถึงห้องของตัวเอง เก้าอี้และโต๊ะของเขาก็หายไปจากห้อง รวมถึงของในตู้เก็บของที่ถูกรื้อค้นมีแต่ขยะอยู่ข้างในจนส่งกลิ่นออกมา
หมอกกวาดตามองรอบห้องเพื่อจะหาว่าใครทำ สายตามาหยุดอยู่ที่พฤธากับปัถย์ แต่ทั้งสองคนนั้นส่ายหน้า ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่กล้ายุ่งกับหมอกเพราะกลัวเขมกรเอาเรื่อง
ทันใดนั้น ไรวินท์กับแพรพิไลก็เดินเข้ามาในห้อง สายตาของทั้งคู่บ่งบอกชัดเจนว่าชอบใจเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาก เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร
หากแต่ทั้งคู่ทำตัวเหมือนเป็นพี่น้องของหมอกเข้ามาซักถามว่าเมื่อคืนหมอกหายไปไหนมา ทุกคนที่บ้านเป็นห่วงแค่ไหน
เขาไม่ตอบโต้อะไร ได้แค่จัดการเก็บขยะแล้วทำความสะอาดตู้เก็บของตัวเองอย่างเงียบ ๆ พลางเดินหาโต๊ะและเก้าอี้ที่ถูกทิ้งไว้ด้านนอก
วันนี้เป็นอีกวันที่หมอกถูกแกล้งไม่ให้กินข้าวเที่ยง เงินในกระเป๋าตังก็ไม่มี แต่เขาไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เพราะยังรู้สึกอิ่มอาหารที่เขมกรทำให้กินตอนมื้อเช้า
ขณะกำลังนั่งเรียนอยู่ ใบหน้าของเขมกรลอยเข้ามาในความคิดของเขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นทำให้หมอกรู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย
คนที่ดูเหมือนจะดีกับเขากลายเป็นคนนอกที่เขาเพิ่งเคยพบเจอไม่กี่ครั้ง ใจของเขาเริ่มเปิดรับเขมกรโดยไม่รู้ตัว
หลังเลิกเรียน หมอกกำลังเดินไปขึ้นรถเมล์เพื่อกลับบ้านเพราะสาธวีผู้เป็นพ่อกลับมาจากต่างประเทศในวันนี้ ต่อให้คนในบ้านจะมีเรื่องอยากรังแกเขามากเพียงใด แต่ช่วงอาทิตย์นี้เขาคงจะได้อยู่อย่างสงบสุขบ้าง
ครั้นความคิดกำลังล่องลอย สายตาพลันเห็นคนผมส้มแดงยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียน พลางโบกมือให้เขา
ใคร ๆ ต่างก็พากันหลีกหนีจากเขมกรเพราะคิดว่าเป็นอันธพาลรอหาเรื่องเด็กในโรงเรียน หมอกไม่อยากเป็นตกเป็นเป้าสายตาจึงเดินเลี่ยงออกไปไม่เข้าใกล้
“กินข้าวฝีมือฉัน นอนบ้านฉันทั้งคืน นี่นายทำเป็นไม่รู้จักกันหรือไง” เขมกรเดินมากอดคอเขาอย่างสนิทสนม
“เปล่า” หมอกยกมือของเขาออกแล้วรีบเดินให้เร็วขึ้น
โครกคราก
เสียงท้องร้องทำพิษอีกแล้ว เขมกรยิ้มให้พลางหัวเราะที่เห็นสีหน้าเขินอายของของเขา
“ฉันให้” เขายื่นห่อขนมที่พกไว้กินก่อนไปทำงานให้หมอก
อีกฝ่ายทำทีไม่ยอมรับของ แต่ถูกยัดเยียดใส่กระเป๋าไว้ อีกทั้งท้องร้องไม่หยุดจึงได้แต่ยอมรับไปโดยปริยาย
“ไม่ต้องขอบคุณก็ได้” เขมกรเอ่ยปากแล้วถามต่อ “วันนี้จะกลับบ้านไหม”
“อื้ม” หมอกพยักหน้า
“ดีแล้ว มีอะไรก็ไปคุยกับที่บ้านซะ” คนเป็นพี่แนะนำลอย ๆ
ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรจนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์ เขมกรจึงยีผมของหมอกอีกครั้งด้วยความมันเขี้ยวแล้วเลยไปที่ทำงานของตนเอง
เมื่อหมอกขึ้นรถเมล์มาเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบขนมห่อนั้นออกมาเปิดกินทีละคำ พลางนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาคิดในใจว่าถ้ากลับบ้านไปตอนนี้ สาธวีจะต้องเห็นรอยแผลที่อยู่บนใบหน้าของเขาแล้วเป็นห่วงมากแน่ ๆ จึงโทรศัพท์ไปบอกว่ามีติวหนังสือกับเพื่อนที่โรงเรียนแล้วสองสามวันนี้จะไปนอนค้างบ้านเพื่อน
สาธวีนึกแปลกใจอยู่บ้างที่จู่ ๆ หมอกบอกว่ามีเพื่อนที่พอจะไปนอนค้างที่บ้านด้วย ตามนิสัยแล้วเป็นไปได้ยากมากที่เขาจะไว้ใจใคร แต่หากหมอกบอกเขาอย่างนั้น แสดงว่าเพื่อนคนนี้จะต้องมีอะไรที่พิเศษอย่างแน่นอน จึงตามใจลูกชาย
หมอกลงจากรถเมล์แล้วเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อของเขมกรพลางนั่งทำการบ้านรออยู่ข้างนอกร้านจนกระทั่งคนเป็นพี่เลิกงานตอนสี่ทุ่ม
“กลับบ้านกัน” เขมกรเอ่ยปากชวนเขา
ตอนแรกที่หมอกมารออยู่หน้าร้าน เขารู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตอนแยกกันเห็นหมอกขึ้นรถเมล์ไปเรียบร้อย แต่ในเมื่อหมอกไม่พูดอะไร เขาจึงไม่เซ้าซี้ถาม เข้าใจไปว่าคงจะมีเรื่องอะไรที่บ้านจนไม่อยากกลับ
หลังจากถึงบ้านเรียบร้อย เขมกรนำหมอนกับผ้าห่มวางปูให้หมอกอย่างเคย จากนั้นไปอาบน้ำแล้วมานั่งทำการบ้านที่คั่งค้างไว้
โจทย์เลขของม.สี่ทำให้เขานั่งขมวดคิ้วอยู่นานแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่เข้าใจ สายตามองไปที่หมอกกำลังนั่งวาดรูปอยู่จึงรู้สึกสนใจเดินมาดูใกล้ ๆ พลันได้เห็นว่าภาพวาดใบนั้นสวยมากจนไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของเด็กม.สามคนนี้
“ว้าว นายวาดรูปเก่งขนาดนี้เลยเหรอ” คำพูดชื่นชมทำให้หมอกหลบสายตาของเขา
“...”
เมื่อเห็นแวบ ๆ ว่ามีภาพอื่น ๆ อยู่ เขมกรจึงขอหมอกดูภาพที่เหลือด้วยความอยากรู้
“ว้าว” เขาอึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไร ภาพต่าง ๆ เหล่านั้นทำให้เขารู้สึกได้ว่าอัจฉริยะทางด้านศิลปะคนใหม่กำลังนั่งอยู่ข้างเขานี่เอง เขาเอ่ยปากชมไม่หยุดจนเจ้าของผลงานทำตัวไม่ถูกลุกเดินวนไปวนมาอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
สายตาของหมอกเหลือบเห็นโจทย์เลขที่แก้ไม่จบจึงลองนั่งขีด ๆ เขียน ๆ อยู่สองสามนาทีแล้วยิ้มออกมาก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเอง
ทางด้านเขมกรรู้สึกว่าได้พักสมองจนสบายใจแล้วจึงคิดจะกลับมาทำการบ้านที่ค้างอยู่ให้จบ แต่กลับพบว่าโจทย์เลขที่ปล่อยค้างไว้แก้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เขามองหน้าหมอกด้วยความทึ่ง “นี่นายฉลาดขนาดนี้เลยเหรอ”
หมอกเอียงคอมองหน้าประหนึ่งไม่เข้าใจ เพิ่งรู้เหรอ
“โอ้โห เก่งทั้งวิชาการ เก่งทั้งศิลปะ มีอะไรบ้างที่นายทำไม่ได้” คนหัวส้มแดงกำลังเอ่ยปากชมคนตรงหน้าอีกครั้ง
การได้อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ทำให้ทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น แล้ววันหนึ่ง ภาพวาดของหมอกก็เริ่มเปลี่ยนจากโทนสีเทาล้วนกลายเป็นมีสีส้มแดงปะปนอยู่ด้วย
รอยยิ้มหนวดแมวปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่ออยู่กับเขมกร สายตาที่ดูเปลี่ยนไปของเขาและใจที่เริ่มเปิดรับคนประหลาดที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขา
วันนี้เป็นวันที่เขาเรียนจบม.ต้น เขมกรถืออมยิ้มมาแสดงความยินดีกับเขาที่โรงเรียน
ตอนที่กำลังมองหาหมอก เสียงเรียกหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นด้วยความสดใส “พี่เขมมม ทางนี้ครับ”