ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหมอก สาธวีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
“อย่าโกหก” น้ำเสียงของเขาเย็นชาขึ้นมาในทันใดเพราะได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิด
“แม้แต่พ่อก็บอกว่าผมโกหก ผมไม่น่าเชื่อที่แม่พูดเลย” หมอกพูดจากใจจริง ถ้าแม้แต่พ่อยังไม่เชื่อเขา คงไม่มีอะไรต้องพูดอีกต่อไปแล้ว
“ถ้าพ่อไม่เชื่อ ผมไม่มีอะไรจะพูด”
หมอกทำท่าจะวางสายโทรศัพท์แต่เสียงปลายสายตะโกนกลับมา
“ไม่ใช่นะ อย่าเพิ่งวาง หมอกอยู่ที่ไหน” สาธวีสงบสติอารมณ์แล้วพูดต่อ ยังไม่ปักเชื่ออะไรทั้งหมด แต่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาพยายามตามหามธุรินมาโดยตลอด แต่ทุกอย่างกลับติดขัดและเขารู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ถ้าหมอกเป็นลูกของเขาจริง ๆ แล้วปล่อยไป จะกลายเป็นว่าเขาทำผิดต่อมธุรินเป็นครั้งที่สอง
“สถานีตำรวจ XX คุณตำรวจชื่อสัญชัยกำลังรอพูดกับพ่ออยู่” หมอกมองตำรวจคนนั้นแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เขา
สีหน้าของนายตำรวจจริงจังราวกับสืบสวนเรื่องราวเคร่งเครียดอยู่ก็ไม่ปาน
ครั้นพูดจบแล้ว เขาคืนโทรศัพท์เครื่องเดิมให้หมอก
“รอพ่ออยู่ที่นั่นก่อนนะ ลุงบวรจะไปรับลูก ถ้าเป็นคนอื่นห้ามไปด้วยเด็ดขาด ตอนนี้พ่ออยู่ที่ต่างประเทศ พ่อจะรีบกลับไปหาให้เร็วที่สุด เจอกันที่บ้านนะลูก” น้ำเสียงของสาธวีอ่อนโยน
“ครับ” เขาเอ่ยสั้น ๆ รับปากแล้วส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชายอายุประมาณสามสิบกลาง ๆ สวมแว่นกลมเดินถือกระเป๋าเอกสารเข้ามาด้านในสถานีตำรวจ
เขาแนะนำตัวว่าชื่อบวร เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของศาตนันท์ พลางมองหาเด็กชายตัวน้อยที่อ้างตัวว่าเป็นลูกของเจ้านาย
“เอ่อ ตรงนั้นครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นท่าทางของเขาจึงชี้ไปที่มุมห้อง
บวรเดินตรงรี่เข้าไปใกล้ ๆ เอียงคอมองตั้งแต่หัวจรดเท้า พินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“มาถึงแล้วครับ ครับ รอสักครู่” เขาเปิดกล้องให้สาธวีได้มองเห็นคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกชาย
นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่สองพ่อลูกได้มองเห็นหน้าของอีกฝ่าย
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มและผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกัน ทำให้สาธวีไม่คิดจะตรวจดีเอ็นเอเด็กน้อยคนนี้ด้วยซ้ำไป
“ดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอ” รอยยิ้มของสาธวีประดับบนใบหน้า เพราะมองเห็นบางมุมของหมอกทำให้เขานึกถึงมธุริน รักครั้งแรกและรักเดียวของเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อน
สาธวีไม่เคยรู้เลยว่าเธอท้องลูกของเขาและไม่รู้ด้วยว่าตอนนั้นเธอหายไปที่ใด เฝ้ารอคอยจะได้เจอกันอีกครั้ง ไม่นึกว่าจะเหลือแค่พยานรักของพวกเขาเท่านั้น
“พ่อจะรีบกลับไปหา” เขาเอ่ยปากบอกแล้วกำชับให้บวรดูแลหมอกดี ๆ
หลังจากทำเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว บวรขับรถพาหมอกกลับมายังหมู่บ้านวีวีไอพีดังเดิม
บ้านหรูหลังใหญ่กินพื้นที่หลายไร่ปรากฏต่อหน้าหมอกเป็นครั้งแรก
“ลงมาก่อนครับ นายท่านบอกให้รอในบ้านครับ” บวรถือกระเป๋าเป้ของหมอกเดินนำหน้าเข้ามาข้างใน
คนรับใช้สองสามคนเข้ามาหาบวรพลางมองเด็กน้อยที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกแล้วบอกว่าข้างในมีแขกมาเยี่ยม
หมอกนึกว่าจะได้นั่งรอพ่อของเขาอย่างสงบ ไม่คิดว่าจะพบเจอเหตุการณ์วุ่นวายอีกรอบ
หญิงวัยสามสิบปรายตามองแขกผู้มาเยือนก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟารับแขก ตรงรี่เข้ามาหาเขาพลันสีหน้าแววตาที่เกรี้ยวกราดสงบลงเมื่อเห็นว่าชายสูงวัยกำลังอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้น” เพียงแค่ได้ยินเสียงนี้ หมอกจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงเดียวกันกับที่เคยรับโทรศัพท์ครั้งแรก ๆ เสียงแหลมปรี๊ดน่าหนวกหู
“แขกของคุณสาธวีครับ นายท่านบอกให้พักผ่อนรอที่บ้าน คาดว่าอีกไม่นานจะกลับมาถึงประเทศไทยครับ” บวรรายงานสถานการณ์
คำพูดของเขาทำให้ชายสูงวัยเรียกหา บวรจึงพาหมอกเข้ามาพบเขาด้านในห้องโถง
คนตรงหน้ามีดวงตาและสีผมเหมือนกับหมอกเช่นกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของความแก่ชรา ทั้งยังดูเย็นชาจนทั่วทั้งห้องรู้สึกเย็นยะเยือกไปด้วย
“ใคร” คำถามสั้น ๆ แต่แฝงไปด้วยความต้องการคำอธิบายทำให้บวรลอบถอนหายใจก่อนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
“เฮอะ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ อ่อนไหวอะไรกับเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า” ชายชราค่อนแคะลูกชายของตนเอง
ศาตนันท์ พชรกุล ผู้เป็นพ่อของสาธวีส่ายหน้าไม่นึกว่าวันนี้จะมาถึง
เมื่อสิบปีก่อนมธุรินรับเงินจากเขาไปตามคำสั่งให้ไปเอาเด็กในท้องออกพร้อมไล่หนีไปจากชีวิตของลูกชาย ห้ามมีการติดต่อกันอีกตลอดชีวิต
ทั้ง ๆ ที่คอยจัดการเรื่องสถานที่ทำแท้งเรียบร้อยแล้ว มีผลยืนยันว่าการทำแท้งผ่านไปได้ด้วยดี แล้วเด็กน้อยตรงหน้าคือใคร คงเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่เรื่องราวพวกนี้จะหลุดรอดสายตาของเขาไปได้
ศาตนันท์จึงแน่ใจว่าหลังจากตรวจดีเอ็นเอเรียบร้อยแล้ว คงได้ส่งเด็กคนนี้ไปบ้านเด็กกำพร้าตามเดิม จึงไม่สนใจอะไรในบ้านนี้มากนักแล้วกลับบ้านอีกหลังของตนเอง
คล้อยหลังที่ทุกคนกลับไป ภัคจิราผู้เป็นนายหญิงของบ้านสั่งให้คนไปเรียกหมอกออกมาจากห้อง
เธอกวาดตามองเขาแล้วแสยะยิ้มออกมา แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วครู่แต่หมอกก็มองเห็นพลางถอนหายใจเบา ๆ กากบาทที่หัวของเธอไว้ว่าคนนิสัยไม่ดี
กระนั้น ภัคจิรายังเก็บอาการไว้อยู่ จะให้ใครเห็นเธอสภาพนางมารร้ายไม่ได้เด็ดขาด แม้ข้างในใจจะเดือดปุด ๆ ไปแล้ว
“เหนื่อยมากไหม อยากทานอะไรหรือเปล่า” เธอเอ่ยปากถามหมอก แล้วกวักมือให้คนรับใช้เตรียมของทานเล่นมาให้
“...” เจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธเพราะไม่ไว้ใจ
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปพักในห้องก็ได้ น้าไม่กวนแล้ว ตอนเย็นค่อยลงมาทานข้าวพร้อมกันทีเดียว” เธอฝืนยิ้มให้เขาแล้วนั่งมองโทรศัพท์ของตัวเองสีหน้าจริงจัง
พอกลับมาถึงบนห้อง จึงพบว่าข้าวของในกระเป๋าเป้ตกกระจัดกระจายบนพื้นราวกับมีหนูมาวิ่งเล่นข้างในห้อง เขาเห็นเรื่องแบบนี้ช่วงอยู่ในบ้านเด็กกำพร้ามาจนชินแล้วจึงไม่ตื่นตูม ก้มลงเก็บของแต่ละอย่างเข้าที่ตามเดิม
ช่วงเวลาเกือบสองวันถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรน่าห่วง หมอกเอาแต่อยู่ในห้องไม่วุ่นวายกับใครและไม่ต้องการให้ใครมายุ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาในบ้าน
เขาจึงรีบวิ่งลงบันไดมาข้างล่างแล้วเห็นภาพครอบครัวแสนสุขของสาธวีต่อหน้า
ภาพของ พ่อ แม่ ลูก อยู่กันพร้อมหน้า
“หมอกใช่ไหม” สาธวีเอ่ยปากเรียกเขาพลางเดินมาหาแล้วลูบหัว ก่อนจะหันไปบอกคนข้างหลังว่าวันนี้มีเรื่องมากมายต้องพูดกับเด็กน้อยที่มาใหม่
แววตาของสาธวีดูเปลี่ยนไปเมื่ออยู่กับหมอก จนทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังรู้สึกอิจฉาขึ้นมา แม้คิดว่าจะไม่ต้องเจอศัตรูหัวใจอีกตลอดชีวิต แต่ยังเหลือเชื้อสายของผู้หญิงคนนั้นมาทำให้เธอเจ็บปวด
หากเด็กคนนี้เป็นปัญหามากนัก ก็แค่จัดการไล่มันออกไป