กันยายน พ.ศ. 2558
เด็กชายการันต์วัยสิบสองปีวางแผนขโมยเงินในลิ้นชักของผอ.มาเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นเงินสงเคราะห์ที่เขาควรจะได้รับในแต่ละเดือนแต่กลับโดนคนหน้าไม่อายริบไปหมดตลอดระยะเวลาสองปีในบ้านเด็กกำพร้าสายรุ้ง
ก่อนนอนคืนนั้น หมอกใจเต้นตึกตักเพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างและไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาหวังไว้จะสำเร็จหรือไม่จึงแอบไปใช้โทรศัพท์ในห้องผอ.อีกครั้ง
เขาค่อย ๆ ลุกออกจากเตียงห้องรวม ย่องทีละก้าวให้เงียบที่สุดเพื่อเดินผ่านห้องนอนอื่น ๆ จนกระทั่งถึงหน้าห้องผอ.อย่างชำนาญการ
เมื่อเข้ามาข้างใน หมอกปิดประตูเบา ๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อไม่กี่วันก่อน
ทุกอย่างยังคงเป็นดังเดิม ปลายทางเป็นบริการฝากข้อความเสียง หมอกจึงแนะนำว่าตนเองเป็นใครและหากเจ้าของเบอร์นี้เป็นพ่อของเขาให้ติดต่อกลับมาเบอร์นี้โดยเร็วที่สุด
เช้าวันต่อมา
รถโรงเรียนสำหรับทัศนศึกษาได้เข้ามาจอดรอรับเด็ก ๆ ที่ลานกว้างด้านหน้า หมอกหอบเป้ใบหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยสัมภาระจำเป็นสำหรับการผจญภัยครั้งใหญ่
สายตามองไปนอกกระจกรถกำลังคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง เขามองไปเบาะด้านหน้าเป็นระยะเพื่อดูปฏิกิริยาของผอ. รอคอยว่าใครคนนั้นจะโทรกลับมาตั้งแต่เมื่อคืน
โชคดีที่นั่งรถคนละคันกับหัวโจกบ้านเด็กกำพร้า หมอกจึงได้เดินทางอย่างสงบสุข
ครั้นรถคันใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ใคร ๆ ต่างตื่นเต้นกันยกเว้นเขา ครูพี่เลี้ยงให้เด็ก ๆ ต่อแถวเพื่อเดินเข้าไปชมสัตว์น้ำด้านในอย่างเป็นระเบียบและไม่ก่อความวุ่นวายรบกวนผู้ที่มาชมงานนิทรรศการโลกใต้น้ำ
หมอกทำตามอย่างว่าง่ายเดินแถวตามคนอื่นเข้าไปด้านในจนถึงลานกิจกรรมที่มีการแสดงโชว์ใต้น้ำของปลาหลากหลายสีสัน
ไฟด้านในถูกหรี่ลงเพื่อปรับแสงในตู้กระจกให้สวยงาม หมอกคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะที่จะหลบหนีออกมา
เขาหันซ้ายทีขวาทีดูลาดเลาแล้วค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างจากกลุ่มเด็กกำพร้าไปอีกทางหนึ่ง
ด้านหน้ามีครูพี่เลี้ยงกำลังยืนพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ หันไปทางซ้ายเห็นผอ.กำลังยืนคุยโทรศัพท์สีหน้าจริงจัง
พ่อโทรมาเหรอ เขาคิดในใจพลางเดินเข้าไปใกล้หวังจะได้ยินคำพูดของผอ.ชัดเจนยิ่งขึ้น
สายตาเกรี้ยวกราดมองกลับมาจนเจ้าตัวสะดุ้ง
“การันต์ มีอะไรเหรอ” ชายคนนั้นเอ่ยปากถามเรียบง่ายเพราะด้านนอกมีคนอื่นยืนอยู่ด้วย
ครั้นเห็นว่าบทสนทนาเมื่อครู่ไม่ใช่พ่อของเขา หมอกจึงเอ่ยปากแก้ตัวไปว่า “ปวดฉี่” แล้วชี้ให้ดูป้ายห้องน้ำที่อยู่อีกทางหนึ่ง เขารู้ดีว่าผอ.ไม่มีทางทำอะไรเขาได้เพราะกลัวคนอื่นจะรู้ว่านิสัยที่แท้จริงเป็นอย่างไร หมอกจึงกล้าที่จะเผชิญหน้า
ทุกอย่างเป็นไปตามคาด ชายสวมหน้ากากคนดีเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ รับรู้แล้วปล่อยให้หมอกไปเข้าห้องน้ำ ทั้งที่ในใจกำลังเดือดปุด ๆ คิดว่ากลับบ้านเด็กกำพร้าเมื่อใดจะเอาไม้เรียวตีให้เข็ด
เมื่อทางสะดวก เด็กชายตัวน้อยจึงวิ่งออกไปให้ไกลจากพิพิธภัณฑ์ เรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมาพอดีแล้วบอกที่อยู่ให้คนขับฟัง
“ไม่ได้หนีออกจากบ้านใช่ไหม” เสียงของคนขับแท็กซี่ถามเขาเพราะเห็นว่าเป็นเด็กตัวเล็กมาเพียงลำพัง
“กำลังกลับบ้านครับ” หมอกตอบเขาไปตามตรง แล้วถามเขาว่า “ยืมโทรศัพท์ได้ไหมครับ ต้องโทรหาพ่อ”
คนขับรถใจดีเห็นแววตาของเขากับสภาพมอมแมมนิดหน่อยแล้วนึกสงสารจึงหยิบของออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้
หมอกกดเบอร์ที่โทรไปเมื่อคืนนี้อีกครั้ง รอสายอย่างใจจดใจจ่อ หากแต่เป็นเสียงรับฝากข้อความตามเดิม ก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้คนขับแล้วถอนหายใจ
“พ่อติดงาน ไม่ว่างรับสาย ช่วยไปส่งผมตามที่อยู่ด้วยนะครับ” เขามองหน้าคนขับรถแล้วนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ใจลอยเคว้งคว้างไม่สนสิ่งใดรอบตัว
ครู่หนึ่ง รถแท็กซี่ได้วิ่งมาถึงหมู่บ้านวีวีไอพี คฤหาสน์หรูราคาหลายร้อยล้านใจกลางเมือง
“เจ้าหนู แน่ใจนะว่ามาถูก” เขาชะเง้อมองเข้าไปด้านในหมู่บ้านแล้วหันกลับมาถามหมอก
“ครับ” เจ้าตัวยืนยันตามนั้น
คนขับรถจึงจอดหน้าป้อมยามแล้วแจ้งตามที่หมอกบอก
ยามสองคนประจำจุดตรงประตูมองเข้ามาด้านในรถ เพียงแค่เห็นหน้าหมอกก็ราวกับคุ้นหน้าคุ้นตาใครบางคน แต่เพราะไม่เคยเห็นเขามาก่อนจึงโทรเข้าไปที่บ้านหลังนั้นเพื่อสอบถามให้แน่ใจ
“บ้านพชรกุลใช่ไหมครับ พอดีมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งบอกว่ามีธุระกับคุณสาธวีครับ” เขาหันกลับมามองเด็กน้อยที่อยู่บนรถแท็กซี่อีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย พลางทำหน้าหนักใจ
“ครับ ๆ” หลังจากวางสายเรียบร้อย เขาเดินมาหาเด็กน้อยแล้วแจ้งว่า “บ้านหลังนั้นบอกว่าไม่รู้จักหนูนะ ทางที่ดีกลับบ้านไปดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกตำรวจพาไปที่โรงพักแน่ ๆ เลย”
“เอ้า ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า เจ้าหนูบอกว่าบ้านเขาอยู่ที่นี่ เปิดประตูสิ ผมจะได้เข้าไป” คนขับรถแย้งขึ้น
“ไม่ได้ ๆ บ้านนั้นบอกว่าไม่รู้จัก จะว่าไป ผมไม่เคยเด็กคนนี้เหมือนกันนะ” ยามทั้งสองคนยืนยันว่าไม่เคยเห็นหมอกในหมู่บ้านจริง ๆ และหากเป็นคนนอก ย่อมไม่อาจปล่อยให้เข้ามาได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเขาจะโดนไล่ออกเพราะละเลยหน้าที่
“นี่เจ้าหนู ตกลงบ้านอยู่ที่ไหน” คนขับรถส่ายหน้าพลางหันมาถามเขาอีกรอบ เกาหัวแกร๊ก ๆ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร
“บ้านผมอยู่ที่นี่จริง ๆ นะครับ พ่อผมชื่อสาธวี พชรกุล พาผมเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมครับ” หมอกขอร้องพวกเขา แต่ชื่อและนามสกุลทำให้แท็กซี่ตกใจตาโต
“สาธวี พชรกุล บ้าไปแล้ว หนูเข้าใจผิดหรือเปล่า บ้านนี้มีลูกแฝดแค่สองคนเองนะ” คนขับรถเปิดโทรศัพท์ค้นหาในอินเทอร์เน็ตแล้วยื่นให้เขาดู
“ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่คนนี้เป็นพ่อของผมจริง ๆ นะ” เขาชี้ไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างเด็กแฝดในรูปให้ทุกคนดู
สายตาสามคู่จ้องมองรูปนั้นสลับกับใบหน้าของหมอกไม่รู้จะพูดอย่างไร สีตา สีผมและหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับสาธวียิ่งกว่าฝาแฝดสองคนนั้นทำให้ปฏิเสธได้ยาก
จะไม่ใช่ได้ยังไงหน้าเหมือนกันราวกับแกะแบบนี้
แต่ว่า ความบังเอิญอาจจะมีอยู่จริง อาจเป็นไปได้ว่าบางคนหน้าตาเหมือนกันแต่ไม่มีความข้องเกี่ยวกันทางสายเลือด
อีกทั้งคนในบ้านยืนยันว่าไม่รู้จักเด็กผู้มาเยือน ยามทั้งสองจึงทำอะไรได้ไม่มาก นอกจากให้หมอกไปที่อื่น แต่คนขับรถก็ไม่รู้จะพาหมอกไปส่งที่ไหนเช่นกัน สุดท้ายแล้วจึงจบลงที่สถานีตำรวจใกล้ ๆ หมู่บ้าน
“ฝากด้วยนะครับ ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว” คนขับรถแท็กซี่ไม่เก็บเงินค่ามิเตอร์สักบาทแล้วรีบไปรับลูกค้าคนต่อไป
เด็กน้อยนั่งหน้าโต๊ะทำงานของตำรวจที่กำลังซักถามประวัติส่วนตัวด้วยสีหน้าจริงจัง แม้เรื่องราวจะไม่เป็นอย่างที่คิดแต่ไม่หวั่นกลัว
“นี่ เป็นเด็กเป็นเล็ก โกหกแบบนี้ไม่ดีนะรู้เปล่า” ตำรวจที่นั่งสืบค้นประวัติเอ่ยปาก
เฮ้อ หมอกถอนหายใจอีกครั้ง ทำไมเวลาบอกเรื่องนี้กับใครทีไรถึงได้มีแต่คนบอกว่าเขาโกหกอยู่เรื่อย
“ขอยืมโทรศัพท์ได้ไหมครับ” เขากดเบอร์เดิมอีกครั้งแล้วรอสายอย่างไม่คาดหวังอะไร
“หมอกเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มจากปลายสายถามขึ้น
สาธวีได้ฟังข้อความเสียงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเพราะเพิ่งเลิกงานสัมมนาที่แคนาดา พอติดต่อกลับไปยังเบอร์ของผอ.ก็ได้รู้ว่าหมอกหนีออกมาจากบ้านเด็กกำพร้าสายรุ้งแล้ว
“...”
ครั้นพอได้ยินเสียงปลายตอบกลับ หมอกถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
“รินอยู่ที่นั่นด้วยไหม” สาธวีเอ่ยชื่อจริงของใครบางคน หากแต่คำตอบที่ได้กลับทำให้เขาใจสลาย
“แม่ไม่อยู่แล้ว” หมอกเอ่ยอย่างแผ่วเบา นึกถึงใบหน้าของเธออีกครั้ง