บทนำ
เกิดความโกลาหลยกใหญ่ขึ้นภายในไร่ธนาสินธุ์เมื่อจู่ๆ นาย ‘ดำ’ หัวหน้าคนงานเก่าแก่ก็หายตัวไปพร้อมกับเงินค่าแรงของคนงานนับร้อยชีวิต จำนวนของเงินที่หายไปนั้นมากมายมหาศาลเพียงพอที่จะทำให้เขาหนีไปตั้งตัวได้ใหม่โดยไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร จะมีก็แต่บุตรสาวที่มีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้นั่งร้องไห้เฝ้ารอการกลับมาของพ่อเพียงลำพัง
“มีคนเห็นไอ้ดำมันขึ้นรถตู้จากท่ารถไปเมื่อตอนสายไม่ผิดตัวแน่ครับคุณหญิง” หนึ่งในคนงานที่ออกตามล่าคนผิดจำต้องรีบแจ้งข่าวร้ายให้ผู้เป็นเจ้านายได้ทราบทันทีที่ลงจากรถ ทว่าสายตาของนางพิศเพลานั้นกลับไม่ได้ให้ความสนใจใครเลยนอกเสียจากเด็กน้อยตาดำๆ เนื้อตัวมอมแมมตรงหน้า ความรู้สึกเดียวที่มีต่อเด็กคนนี้คือความสงสารจับหัวใจ
“จะต้องเป็นพ่อที่เลวขนาดไหนถึงได้ทิ้งลูกแล้วหนีไปใช้ชีวิตสุขสบายคนเดียวแบบนี้ได้! สั่งคนของเราให้เลิกตามหา ในเมื่อมันกล้าที่จะทรยศบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของฉัน! ก็ปล่อยให้เวรกรรมตามสนองมันไป คนเลวๆ แบบนั้นไม่มีวันเจริญหรอก!” ทุกคนต่างเคารพในการตัดสินใจของผู้เป็นนาย แต่จะมีบางส่วนไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยให้คนผิดลอยนวล
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะขัดคำสั่ง
“แล้วจะทำยังไงกับนังเด็กนี่ดีครับคุณหญิง ให้ผมเอามันไปทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าดีไหมครับ” หนึ่งในคนงานตัดสินใจถามขึ้นเพราะเท่าที่ดูเด็กน้อยที่เอาแต่นั่งร้องไห้กอดตุ๊กตาหมีตัวเก่าไม่มีญาติที่ไหนเลยนอกจากผู้เป็นพ่อที่หนีหายไป ซ้ำร้ายยังใจดำทอดทิ้งลูกของตัวเองได้ลง
“แกเห็นฉันเป็นคนใจยักษ์ใจมารขนาดนั้นเลยรึ! หมาแมวยังเก็บมาเลี้ยงได้จนกินอิ่มนอนหลับ นับประสาอะไรกับเด็กตาดำๆ คนเดียวที่จะเลี้ยงไว้เอาบุญมันไม่ได้ นังสร้อยนังอ่อน! เดี๋ยวพวกแกพาเด็กนี่กลับบ้านใหญ่ จับมันอาบน้ำอาบท่าแล้วหาข้าวหาปลาให้กินเสีย” คุณหญิงพิศเพลาใช้เวลาคิดไม่นาน จึงตัดสินใจหันไปสั่งคนสนิทที่คอยติดตามทั้งสอง
“คุณท่านจะเลี้ยงมันเอาไว้เหรอคะ แต่นังเด็กมันเป็นลูกโจรนะคะ” เดือดร้อนนางสร้อยคนสนิทที่จำต้องถามซ้ำ ไม่นึกเห็นด้วยกับผู้เป็นนายที่จะเลี้ยงลูกโจรเอาไว้ใกล้ตัว ด้วยกลัวว่าเรื่องเลวร้าวอาจซ้ำร้อยเข้าสักวัน
“ลูกโจรแล้วมันยังไง! พ่อเลวก็ใช่ว่าลูกมันจะต้องเลวตามไปด้วยเสียเมื่อไหร่กัน ให้มันรู้กันไปสิว่าฉันจะเลี้ยงเด็กนี่ให้ดีผิดพ่อมันไม่ได้!” เจ้าของคำถามถึงกับหน้าสลดเมื่อเจอเข้ากับคำต่อว่าซึ่งๆ หน้าจากนาย
“ว่าแต่ใครรู้บ้างว่ามันชื่อแส่อะไร”
“เห็นพ่อมันชอบเรียกว่านังพุดครับคุณหญิง ชื่อจริงพุดกรองครับ” คุณหญิงพิศเพลายิ้มรับกับชื่อเด็กที่พ่อแม่เข้าใจตั้งให้ สายตาของนางอ่อนแสงลงยามจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าให้ถนัดตา เชื่อในสายตาของตนเองว่าเด็กนี่จะต้องได้ดีในภายภาคหน้า ท่านจะทำให้ทุกๆ คนได้เห็นว่าคนเราดีชั่วอยู่ที่ตัวกระทำ ไม่ได้อยู่ที่สันดานของใครอย่างที่พวกมันแอบคิดกัน
“เอาล่ะแม่พุดกรอง…จากนี้ไปเธอเป็นคนของฉัน ไปอยู่เสียด้วยกัน ฉันจะสั่งสอนให้โตขึ้นเป็นคนดี จะให้เรียนสูงเท่าที่หล่อนอยากจะเรียน” นั่นคือคำสัญญาที่เด็กน้อยทำได้เพียงยิ้มรับอย่างไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้กระทั่งว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปชีวิต ของเธอจะถึงจุดเปลี่ยนตลอดกาล
สิบเจ็ดปีต่อมา
ภาพของเจ้าของร่างบอบบางอ้อนแอ้นเจ้าของใบหน้างดงามที่กำลังวิ่งลัดผ่านทุ่งข้าวโพดสีเขียวชอุ่มมักจะเป็นภาพที่คนงานภายในไร่ธนาสินธ์ต่างได้เห็นกันจนชินตาแทบทุกวัน มันมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อหญิงสาวกลับมาจากมหาลัยด้วยรถประจำที่จะส่งเพียงแค่หน้าไร่เท่านั้น หนทางที่เหลือเกือบสี่กิโลเมตรเธอจำต้องเดินเท้าเข้าไป แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับพุดกรองแม้แต่น้อย เพราะการได้เดินกินลมชมวิวไร่ข้าวโพดยามเย็นแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆ ในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้
“ทำข้อสอบได้ไหมเล่านังพุดวันนี้” นางแช่มหนึ่งในคนงานร้องถามเมื่อจำได้ ว่าวันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายก่อนเรียนจบมหาลัยของหญิงสาว
“ทำได้จ๊ะน้าแช่ม เดี๋ยวพุดขอตัวขึ้นไปหาคุณท่านที่เรือนใหญ่ก่อนนะจ๊ะเดี๋ยวจะกลับมาช่วยคัดข้าวโพด” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะวิ่งตรงไปยังเรือนใหญ่ สถานที่ซึ่งผู้มีพระคุณของเธอรอฟังข่าวดีอยู่ที่นั่น
คุณหญิงพิศเพลา นายใหญ่ของที่นี่คือคนที่เธอกำลังกล่าวถึง ท่านไม่เพียงแต่มีพระคุณกับเธอเท่านั้น ยังให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่พักพึง และที่มากกว่าอะไรทั้งหมดนั้นคือการส่งเสียเธอให้ได้เรียนมานับตั้งแต่จำความได้ เธอรู้เรื่องราวในชีวิตของตัวเองผ่านจากปากของคนงานคนอื่นๆ และเรื่องเดียวที่ทำให้รู้สึกแย่คือเรื่องของบิดาที่ทำเรื่องไม่ดีไว้ก่อนจะหนีหาย และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีใครได้ข่าวจากท่านเลย แม้แต่เธอเอง
ชีวิตของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ตอนนั้นมีอายุเพียงสี่ขวบถูกชุบเลี้ยงขึ้นมาใหม่ด้วยความรัก ความเมตตาของคุณหญิงพิศเพลาและคุณประนอมลูกสะใภ้ที่เพิ่งจะเสียไปเพราะโรคร้าย ไม่เคยมีเลยสักวันที่เธอจะหลงลืมประคุณของทั้งสองท่าน และวันนี้วันที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา ซ้ำยังสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดันหนึ่งมาครองได้สมใจ คนแรกที่ได้บอกก็คือคุณท่าน ผู้ซึ่งคาดหวังในตัวของเธอเอาไว้มาก และเธอก็เคยไม่ทำให้ท่านผิดหวังสักครั้ง ทำทุกๆ อย่างตามที่ท่านได้สอนสั่งมาตลอดหลายสิบปี
“คุณท่านคะ” น้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยดีใจของคนที่รออยู่ทำให้คุณหญิงพิศเพลายิ้มเมื่อได้เห็นก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่ต้องการจะรู้ออกมา
“ยังไงเล่าแม่คนนี้ เดินปกติเหมือนชาวบ้านเขาไม่เป็นรึถึงได้วิ่งเหงื่อท่วมหน้ามาแบบนี้” แม้คำพูดของหญิงชราจะเหมือนตำหนิแต่พุดกรองก็รู้ได้ว่าท่านไม่ได้คิดจริงจังกับท่าทีเป็นม้าดีดกะโหลกของเธอเท่าไหร่
“พุดทำได้แล้วค่ะ พุดเรียนจบแล้ว แถมยังได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยค่ะ” พุดกรองเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ ซึ่งอีกคนก็ยิ้มร่วมด้วยเมื่อได้รู้ข่าวดีของคนในปกครอง ไม่ได้แปลกใจเสียทีเดียวที่พุดกรองจะทำได้เพราะนางเลี้ยงมาเองกับมือมีหรือที่จะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ใฝ่ดีแค่ไหน ไม่ว่างานบ้านงานเรือนรึก็เป็นหมด ใครได้ไปเป็นเมียคงสุขสบาย
“เก่งสมกับที่ฉันคาดหวังเอาไว้จริงๆ ฉันดีใจด้วยนะแม่พุด แล้วนี่คิดไว้หรือยังว่าเรียนจบหล่อนอยากจะทำอะไรต่อ” อนาคตของใครก็ย่อมมีความสำคัญทั้งนั้น นางเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกลไม่ว่าจะเลือกทางไหน