CHAPTER 5 “บังเอิญเจอคนเมา”

2504 คำ
Hirun Wattana Grand Hotel สมายเคลียร์งานของวันนี้ทั้งหมดจนเสร็จ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้อง เห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสามโมง จึงตัดสินใจกดโทรศัพท์ภายใน ไปที่หน้าห้องเลขาท่านประธาน “สมายเองค่ะ แม่อยู่ที่ห้องมั้ยคะ มีแขกรึเปล่า” เมื่อปลายสายรับ เธอก็ถามคำถามกลับไปทันที ‘ท่านประธานอยู่ค่ะ เพิ่งกลับเข้ามาจากด้านนอก วันนี้ไม่ได้มีนัดที่ไหนแล้วค่ะ’ เลขาแม่แจ้งกลับมา “งั้นฝากแจ้งแม่ให้หน่อยนะคะ ว่าสมายจะขึ้นไปหา ขอบคุณค่ะ” สมายวางสายไปแล้วเดินออกจากห้อง “พี่นิตาคะ สมายขึ้นไปหาคุณแม่นะคะ เอกสารเซ็นไว้ให้หมดแล้ว เข้าไปเอาได้เลยค่ะ” พี่นิตาตอบรับและเดินเข้าไปเอาเอกสารในห้อง ส่วนสมายก็แยกตัวเดินขึ้นไปหาแม่ด้านบน เลขาหน้าห้อง เคาะประตูแจ้งคนด้านใน เมื่อเห็นเธอเดินขึ้นมา สมายกล่าวขอบคุณให้เลขาคุณแม่ แล้วเดินเข้าไปด้านในห้องทำงานของแม่ “แม่คะ หนูขอเวลาคุยด้วยซักนิดนะคะ” สมายทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน พลางเอ่ยทักเพื่อให้แม่เงยหน้าจากกองเอกสารมาคุยกับเธอ “รอแม่เดี๋ยว ขอจบแฟ้มนี้” สมายรับคำแล้วนั่งรอ จนกระทั่งแม่วางปากกา ถอดแว่นสายตา แล้วกอดอกมองกลับมาที่เธอ “ว่ามา” “หนูขอยกเลิกงานแต่งค่ะ คนนี้หนูแต่งด้วยไม่ได้จริง ๆ หนูไม่เคยขออะไรแม่เลย ที่ผ่านมาแม่อยากให้เรียนอะไรหนูก็เรียน อยากให้ทำอะไรหนูก็ทำ แต่เรื่องนี้หนูคงทำให้แม่ไม่ได้จริง ๆ” สมายเอ่ยออกไป “แม่เคยบอกแล้วนะ ว่ายังไงเราก็ต้องแต่ง พี่เค้าก็ดูสุภาพ เทคแคร์เราดี การศึกษาก็ดีจบปริญญาโท จากอเมริกา มีโครงการต่อปริญญาเอก ครอบครัวเค้าเราก็รู้จักดี แม่ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่สมควรจะให้แต่งงานกันเลย เราเองก็อคิติกับพี่เค้ามากเกินไป” แม่ร่ายคุณงามความดีของพี่ภาคินออกมาจนหมด “แม่คะ พี่เค้าเรียนที่เดียวกับหนูมา ชื่อเสียงเค้าแย่มาก เจ้าชู้ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แม้แต่ตอนที่อยู่อเมริกา ไม่เคยช่วยพ่อทำงานเลย และเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เราไม่ควรแต่งงานกันก็คือ หนูไม่ได้รักเค้าและไม่คิดว่าชาตินี้จะรักเค้าได้เลย” สมายยังคงอธิบายเหตุผลของตัวเอง “เท่าที่แม่รู้มา เราไม่ได้มีแฟน แล้วทำไมถึงคิดว่าจะรักพี่เค้าไม่ได้ ถ้าเราแค่ตัดอคิติออกไปทุกอย่างมันก็เป็นไปได้ ส่วนเรื่องในอดีต ผู้ชายมันก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ เราดูกันที่ปัจจุบันสิ ว่าเค้าหยุดกับเราได้มั้ย” แม่หยุดไปพักเดียว ก็อธิบายต่อ “อีกอย่างเราสองครอบครัว ทำธุรกิจด้วยกันมานานนะสมาย ถ้าเราดองกัน ผลดีมันก็จะเกิดกับธุรกิจของเราเอง แม่ยืนยันคำเดิม ยังไงก็ต้องแต่ง” สมายกำมือแน่น ตัวสั่นเทา ไม่รู้เพราะความโกรธที่แม่ไม่ฟังหรือเพราะความเสียใจ ที่แม่เห็นเธอเป็นแค่เครื่องมือทางธุรกิจกันแน่ “แม่ยังเห็นหนูเป็นลูกอยู่มั้ยคะ แม่ไม่คิดถึงจิตใจหนูบ้างเลยหรือไง นั่นคือชีวิตที่เหลือของหนูเลยนะ หนูขอแค่เลือกคนที่หนูจะรักเค้าได้เอง แม่ก็ให้หนูไม่ได้เลยหรอ” สมายตัดพ้อแม่ น้ำตาเริ่มไหลออกมาคลอ “ถ้าเรายังเรื่องเยอะอยู่แบบนี้ แม่จะเลือกวันจัดงานให้เลย นี่ถือว่าแม่ให้โอกาสเราได้ศึกษากันก่อนแล้วนะ อย่าให้แม่ต้องบังคับ กลับไปทำงานได้แล้วแม่จะทำงานต่อ” สมายลุกขึ้นยืนมองหน้าแม่ เธอไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อให้แม่ยอมใจอ่อนได้อีกแล้ว “หนูไม่เหลือใจให้ใครแล้วค่ะแม่ ยังไงหนูก็แต่งงานกับเค้าไม่ได้ ขอตัวค่ะ” เมื่อพูดจบเธอก็เดินออกจากห้องทำงานแม่ กลับมาที่ห้องตัวเอง “พี่นิตาคะ วันนี้สมายไม่เข้ามาแล้วนะคะ สมายจะกลับเลย” เธอแจ้งเลขาหน้าห้องไว้ กลับเข้าไปเอาของแล้วขับรถออกมาจากโรงแรม โดยไม่ลืมที่จะปิดโทรศัพท์เพื่อหลบเลี่ยงการติดต่อจากแม่ในตอนนี้ เมื่อขับออกมาได้ซักพัก เธอก็เลี้ยวรถเข้าไปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก สมายนั่งทอดสายตามองธรรมชาติรอบ ๆ ตัวไปเรื่อย ๆ พลางคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ‘พ่อคะ ถ้าตอนนี้พ่อยังอยู่กับหนู พ่อจะช่วยหนูได้มั้ย หนูควรจะทำยังไงต่อไปดีคะ พ่อบอกหนูหน่อยได้มั้ย ตอนนี้ไม่มีใครกอดหนูเลย พ่อมากอดหนูหน่อยได้มั้ย’ สมายสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ เพราะแม่เธอเป็นคนที่เข้มงวดกับชีวิตมาก แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่ทำให้แม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ผ่านมาเวลาเธออึดอัดจากการถูกกดดันและถูกบีบบังคับจากแม่ เธอก็จะวิ่งไปให้พ่อเธอคอยกอดเพื่อปลอบใจเธอเสมอ และพ่อก็จะเป็นคนคอยหาทางออกให้เธอได้ทุกครั้ง แต่ตอนนี้พ่อเธอไม่อยู่แล้ว พ่อจากไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เธอเรียนอยู่ ม.ปลาย หลังจากนั้นเธอก็อยู่ภายใต้กรอบที่แม่เธอขีดเส้นไว้ให้มาโดยตลอด และแม่ก็จะคอยกำหนดเส้นทางให้เธอเดินเสมอ เริ่มตั้งแต่ที่เธอจะต้องเรียนคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยที่แม่เลือกให้เท่านั้น ความกดดันในตอนนั้นสูงมาก เธอเรียนอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ได้ถึงกับเก่งมาก แต่มหาลัยนั้นต้องสอบเข้าให้ได้ด้วยคะแนนที่ค่อนข้างสูง เธอมีเพียงเพื่อน ๆ ที่คอยช่วยเหลือ จีนที่คอยเตือน คอยบังคับให้เธออ่านหนังสือ และติวให้ โบว์ที่คอยให้กำลังใจ หาข้าวหาน้ำมาส่ง คอยเสียสละห้องนอนให้เธอไปขลุกอยู่ด้วย แม้กระทั่งยอมสอบเข้าคณะเดียวกันและมหาลัยเดียวกัน เพื่อมาเรียนเป็นเพื่อนเธอ จากนั้นเธอก็ต้องมาฝึกงานกับที่บ้านโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ แม่ให้เหตุผลว่ายังไงก็ต้องมาบริหารต่อ เรียนรู้งานไว้ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เสียหายอะไร และหลังจากเรียนจบ เธอก็ต้องเข้าบริหารงานทันที แล้วนี่แม้กระทั่งช่วงชีวิตที่เหลือ เธอก็ยังต้องอยู่ในกรอบที่แม่ขีดเส้นไว้แบบนี้หรอ คิดยังไงก็คิดไม่ตก นั่งปล่อยความคิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไป เธอจึงตัดสินใจออกจากสวนสาธารณะตรงนั้นมา แรบบิท บาร์ เซนและบอย เดินทางมาถึงที่ร้านตั้งแต่หนึ่งทุ่ม พร้อมกับน้อง ๆ ฝึกงานที่ตามกันมาเกือบ 10 ชีวิต เว้นบางคนที่ติดธุระจริง ๆ เลยมาด้วยไม่ได้ พวกเค้าเลือกนั่งที่โซนด้านล่าง เพราะมีแต่หนุ่ม ๆ อยากมองหาอาหารตากัน “พี่เซน ๆ คนนั้นอย่างเด็ดพี่ ที่บาร์ ๆ เค้ามองพี่ตาหวานเชียว ชนหน่อยมั้ย” เซนมองตามมือน้องไปที่บาร์ ก็เห็นผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยนั่งส่งยิ้มเชิญชวนมาให้ เค้าไม่ได้ยิ้มกลับ เพียงแค่หันกลับมากระดกแก้วในมือต่อนิ่ง ๆ “โหพี่ เสียดาย ไม่ใช่สเป็คหรอพี่ หรือกลัวเมียที่บ้านป่าว” น้องอีกคนตะโกนมาแซว “ไม่มีเมียให้กลัวเว้ย ไม่ใช่แนว ใส่ขนาดนั้นไม่แก้ผ้าเดินไปเลยวะ ผู้หญิงแบบนี้ใครจะเอามาทำเมีย ไม่ใช่กูแล้วหนึ่ง” เซนตอบน้องกลับไป “พี่แม่งโคตรเท่ ด่าผู้หญิงก็ได้ว่ะ ไม่อยากมีแฟนหรอพี่ มันดีนะกระชุ่มกระชวยหัวใจ” พูดแล้วก็นั่งหัวเราะกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งบอย “มันอยากมีเว้ย แต่แม่งเสือกไม่จีบซะที ได้แต่ปากเก่งใส่เค้าไปวัน ๆ ใจมันกากครับน้อง” บอยแซวเพื่อน “ไอ้เชี่ยบอย มึงเพื่อนกูป่ะเนี่ย” เซนยกเท้าถีบเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “โหพี่รอไร หล่อ ๆ แบบพี่จะมีใครกล้าปฏิเสธได้ไง ลุยเลยพี่ อย่าไปกลัว” น้องที่นั่งข้าง ๆ ยื่นแล้วมาชน “มันไม่ง่ายขนาดนั้นว่ะ เค้าเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ กูมันอยู่เตี้ยไปว่ะ เอื้อมไม่ถึงหรอก” เมื่อเซนเริ่มดึงดราม่า น้อง ๆ ก็พากันชวนเปลี่ยนเรื่องไป “มึงไม่ได้เตี้ยขนาดนั้น มึงเองก็รู้ อย่าตีค่าตัวเองต่ำดิวะ มันไม่ได้ไกลเกินเอื้อมขนาดนั้นหรอก” บอยหันมาปลอบเพื่อน พลางเอื้อมมือมาตบบ่าเบา ๆ “เออ แล้วมึงก็เลิกพูดไปเลยนะ เดี๋ยวไอ้หมอกมา ไอ้นี่แม่งขี้สงสัย พูดไปนี่รู้หมด” เซนชี้หน้าเตือนบอย “มึงคิดว่าพวกมันไม่รู้หรอ มันรู้กันหมดแหละ แค่มันไม่พูด เพื่อนมึงไม่ได้โง่นะครับ” เซนถอนใจใส่บอย นั่งกินกันไปจนเข้าสามทุ่ม หมอกที่บอกว่าจะตามมาก็มาถึง พร้อมหิ้วฟานติดมาด้วย “อ่าว ไหนมึงมีนัดสาว ทำไมโผล่มานี่ได้วะ” บอยถามฟานที่ตอนแรกบอกมาไม่ได้ “กูกลัวไอ้เชี่ยเซนมันงอน ทิ้งเพื่อนไปหาสาว กูเลยมาด้วย กูเป็นเพื่อนที่ดีมะ” เซนหันมาเกาะแขนฟาน “โห น้องเซนต้องซึ้งใจมั้ยครับพี่ฟาน ที่พี่ฟานรักน้องเซนขนาดนี้ มาจุ๊บทีมาเร็ว” ฟานแกะแขนเซนออก ผลักหัวดันตัว พยายามดิ้นหนีแทบไม่ทัน “มึงหยุด!! อย่ามาทำให้กูขนลุก เชี่ยไม่ได้เลย ไม่ได้จริง ๆ” น้อง ๆ และเพื่อน ๆ นั่งขำให้กับการแสดงความรักของทั้งสองคน “เออมึง ไอ้สมายมากับใครวะ กูเห็นนั่งอยู่ที่บาร์คนเดียวมะกี้ ดูท่าจะเมา” หมอกถามเซนและบอยที่มาก่อน เผื่อจะเห็นว่าเพื่อนมากับใคร “เอ้า มันมาหรอ พวกกูไม่เห็น แล้วทำไมมึงไม่เข้าไปทัก” บอยถามหมอก แต่หันไปมองหน้าเซน “เออ นั่งอยู่บาร์ตรงทางเข้านู่น กูก็ไม่รู้มั้ย ไม่ได้มากับพวกเรา กับจีนยิ่งไม่ได้ เพราะจีนไปกับไอ้ปราบ โบว์ก็ไม่อยู่ ใครจะคิดว่ามาแดกคนเดียว กูเลยไม่ได้ไปทัก” หมอกตอบเพื่อนยาวเหยียด “กูไปดูเอง แดกไปพวกมึงอ่ะ” เซนวางแก้วไว้แล้วเดินไปดูสมายตรงจุดที่เพื่อนบอก สมายนั่งตัวเอียง อยู่บนบาร์ ด้านหน้ามีแก้วเครื่องดื่มเรียงกัน 5 แก้ว และในมืออีกแก้ว เซนตัดสินใจเดินเข้าไปทัก อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ามากับใคร ทำไมถึงปล่อยตัวเองให้เมา “สมาย มากับใครเนี่ย” เซนเดินไปนั่งข้างที่ว่างอยู่ เอื้อมมือไปเตะแขนสมาย แล้วถามออกไป “เอ้า มาได้ไง ชั้นมาคนเดียวอ่ะ อยากกินเงียบ ๆ เครียด” สมายตอบเมื่อเห็นว่าเป็นเซนที่เข้ามาทัก “แล้วทำไมปล่อยให้ตัวเองเมาแบบนี้ จะกลับยังไงล่ะถ้าเมาอ่ะ” เซนหันไปถามพยายามจับให้อีกคนนั่งดีดี เมื่อเห็นว่าสมายแทบจะไหลลงไปจากบาร์แล้ว “เฮ้ย ไม่เมา ๆ แค่ทรงตัวยาก ๆ นิดหน่อย รู้เรื่องอยู่ กินด้วยกันมะ หรือจะกลับไปหาเพื่อน” เซนไม่ได้ตอบแต่หันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานสำหรับตัวเอง “ทำไมมาคนเดียว อยากกินทำไมไม่กินอยู่ห้องวะ ถ้าไม่เจอพวกเซนจะทำยังไงเนี่ย” เซนยังบ่นสมายต่อ “โว๊ะ บ่นเป็นพ่อเลย ก็จีนไม่ว่าง ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะมาหรอก เครียดไม่รู้จะทำไง” สมายเริ่มโวยวาย “เออ เดี๋ยวนั่งเป็นเพื่อน กินไปจะกินแค่ไหนก็กิน” เซนปล่อยให้สมายกระดกเครื่องดื่มเข้าปากต่อไป แม้จะเป็นแค่ค็อกเทล แต่มันก็มีแอลกอฮอล์อยู่ดี เซนส่งข้อความไปบอกบอย ว่าจะนั่งเป็นเพื่อนสมายก่อน เพราะสมายมาคนเดียวและเริ่มเมาแล้ว บอยตอบกลับมาเพียงแค่โอเค สั้น ๆ เซนก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าไป นั่งมองอีกคนกระดกค็อกเทลเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่า ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “แล้วเครียดอะไร ระบายมั้ย เผื่อจะดีขึ้น” เซนชวนอีกคนคุย เผื่อจะทำให้สมายหายเครียดได้บ้าง “ยาวอ่ะ เสียงดัง ขี้เกียจตะโกน เจ็บคอ” เซนส่ายหน้าให้สมาย และตัดสินใจที่จะพาอีกคนกลับ เพราะตอนนี้สมายแทบจะไหลลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว เค้าหันไปเรียกพนักงานเช็คบิลทั้งหมดแล้วบอกให้ดูสมายให้เค้าก่อน อย่าให้ใครเข้ามาลากไป เมื่อพนักงานรับคำแล้ว เค้าก็ลุกไปหาเพื่อนที่โต๊ะ “มึง กูพาสมายกลับก่อน มึงเอารถกูกลับไปเลย เดี๋ยวกูนั่งแกร๊บกลับ ค่าใช้จ่ายไลน์มา เดี๋ยวโอนให้” เซนเดินมาบอกบอย พร้อมส่งกุญแจรถให้เพื่อน “หนักหรอวะมึง” ฟานหันหน้ามาถามเซน เซนก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้ากลับไป “เมามากมึง กระดกเอากระดกเอา บอกแค่ว่าเครียด กูไปและ ให้พนักงานดูไว้ให้ โทษทีนะพวกมึง กินกันเลยเต็มที่ เจอกันวันจันทร์” คุยกับเพื่อนเสร็จก็หันไปลาน้อง ๆ แล้วเดินกลับไปหาสมาย “ขอบใจมากน้องที่ดูให้ สมายกลับบ้านไป เดี๋ยวเซนขับไปส่ง เดินไหวมั้ยเนี่ย” เซนพยุงสมายให้ลงมาจากเก้าอี้ แล้วจับให้ยืนนิ่ง ๆ ซักพัก แต่เมื่อออกเดิน อีกคนก็เซอีก เซนตัดสินใจอุ้มไปน่าจะเร็วกว่า ไวเท่าความคิด เค้าหยิบกระเป๋าสมายมาสะพายไว้ แล้วช้อนตัวสมายออกจากร้านไป เมื่อมาถึงรถ ก็จับคนขี้เมาที่เหมือนจะหลับไปแล้ว ตั้งแต่ออกมาจากร้าน ยัดเข้าไปที่นั่งด้านข้างคนขับ แล้วเดินอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับ เพื่อจะขับรถไปส่งสมายที่คอนโด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม