หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง
“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่
“บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน
“แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย
“สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งที่ลูกต้องการอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มละสายตาจากตำราแล้วเงยหน้าตอบมารดาอย่างมั่นอกมั่นใจ
“หึ… ขอให้สำเร็จทีเถอะ แม่อยากเห็นสีหน้าของฮูหยินใหญ่ยิ่งนัก จัดงานเสียใหญ่โต บุตรีที่นางเฝ้าทะนุถนอมกลับทำตัวเป็นเด็กที่ไร้การอบรมสั่งสอน”
ผู้ฟังเหยียดยิ้มออกมา ก่อนที่จะเบนสายตากลับไปสนใจตำราในมือต่อ เพราะถ้าหากครานี้เขายังสอบไม่ผ่านระดับชิวซื่ออีก มีหวังเขาต้องถูกพี่ชายต่างมารดา บดบังรัศมีความเป็นบุตรชายของท่านสิงปู้ เจ้ากรมการตุลาการไปจนหมดสิ้นเป็นแน่ เพียงแค่ทุกวันนี้ชื่อเสียงของเขาก็ไม่เป็นที่กล่าวถึงแล้ว
“อ้อ…เจ้าได้ยินเรื่องที่เมืองหลวงของเรามีตระกูลแม่ทัพย้ายมาประจำการใหม่หรือยัง"
“ได้ยินแล้วขอรับท่านแม่” เขาตอบมารดาทว่าสายตาก็ยังคงกวาดตัวอักษรตรงหน้า
"หากเจ้าสามารถผูกไมตรีกับคุณชายใหญ่ตระกูลแม่ทัพไว้ได้ก็ดี และแม่ยังได้ยินมาว่าตระกูลนี้ยังมีบุตรีด้วยนางหนึ่ง มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก หากเป็นไปได้…ถ้าเจ้าได้นางมาเป็นคู่หมาย หนทางการเป็นผู้นำตระกูลของเจ้าในวันหน้านั้นคงไม่ยาก”
คำกล่าวของมารดาทำให้กู้อี้เหวินฉุกคิดทันที เขายังไม่เคยได้พบหน้าคุณชายใหญ่ตระกูลแม่ทัพ หรือคุณหนูรองที่มารดากล่าวมาเลยสักครา วันนี้หากเขาออกไปแอบมองผู้คนที่มาร่วมงานเลี้ยงภายในจวน ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นหน้าของทั้งสองพี่น้องตระกูลแม่ทัพก็เป็นได้
“ท่านแม่…ถ้าเช่นนั้นข้าขอออกไปแอบดูว่าผู้ใดคือสองพี่น้องตระกูลแม่ทัพได้หรือไม่ วันนี้คนพวกนั้นจะต้องได้รับเชิญให้มาร่วมงานที่นี่เป็นแน่ จะให้เสียโอกาสอันดีเช่นนี้ไปไม่ได้เป็นอันขาด” เขารีบขออนุญาตมารดาทันที
อนุซินมีหรือจะขัดขวาง เพียงกำชับบุตรชายว่าให้แอบซ่อนตัวดีๆ เพราะเป็นบุตรของอนุจึงมีข้อห้ามในการใช้ชีวิตในจวน เรื่องนี้ทำให้อนุซินรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ไม่น้อย มีงานใหญ่ๆ ก็มักจะไม่ได้เข้าร่วม นอกจากงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ที่นางสามารถโผล่หน้าไปร่วมงานได้ หากภายภาคหน้าบุตรชายได้เป็นผู้นำตระกูล มีหรือที่นางจะยังคงมีชีวิตที่ต่ำต้อย ถูกกดอยู่ใต้อำนาจของฮูหยินใหญ่เช่นนี้
ทางด้านสวนดอกไม้ที่อยู่กลางจวน ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงาน มีศาลารายล้อมสระน้ำเอาไว้ สะพานไม้เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างทางไปยังศาลาต่างๆ สาวรับใช้เดินกันให้ขวักไขว่เพื่อลำเลียงอาหารมาวางตามโต๊ะของแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย หญิงอยู่ทางด้านปีกซ้าย ชายอยู่ทางด้านปีกขวา ตระกูลซูเดินทางมาถึงไม่ช้าไม่ไวนัก
หลังจากคำนับทักทายใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินแล้ว กู้ฮูหยินจึงพาซูฮูหยินและบุตรีของนางไปนั่งร่วมโต๊ะกับเจียงฮูหยิน เหตุการณ์ล้วนเป็นไปเฉกเช่นในชีวิตก่อน ทำให้ซูเยว่ซินเริ่มแน่ใจว่า เหตุการณ์ที่สตรีผู้นั้นใส่ความคุณหนูรองสกุลกู้นั้นย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดนตรีจากคณะดนตรีที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวงเริ่มถูกบรรเลงขึ้น
ซูเยว่ซินสดับฟังท่วงทำนองก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคย และรู้สึกว่าใกล้ถึงยามที่หลูเจียงหลี จะสั่งให้คนผลักคุณหนูสกุลเจียงตกลงไปในสระน้ำเข้ามาทุกที จากนั้นความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นจนงานในวันนี้กร่อยไปเลยทีเดียว แล้วนางจะทนเห็นแผนการของอีกฝ่ายสำเร็จได้เยี่ยงไรกัน ซูเยว่ซินเริ่มทำทีมองหาคุณหนูทั้งสองตระกูล ก็ไม่พบว่าพวกนางอยู่ในศาลา แต่ดูเหมือนว่าเจียงฮูหยินจะสังเกตเห็น นางจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าคงเบื่อล่ะสิท่า ที่นี่มีแต่พวกผู้ใหญ่ ก่อนที่ซูฮูหยินกับคุณหนูรองซูจะมาถึง บุตรีของข้ากับคุณหนูรองสกุลกู้ พากันออกไปเดินชมดอกเบญจมาศทางสวนด้านขวาโน่นแน่ะ เจ้าอยากจะไปตามหาพวกนางหรือไม่”
ซูฮูหยินมองบุตรสาวแล้วก็นึกเห็นใจ เพราะถึงเยี่ยงไรแล้วซินเอ๋อร์ของนางก็ยังคงเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม คงจะอยากสนทนากับเด็กสาววัยเดียวกันเสียมากกว่า นางจึงบอกให้บุตรสาวลุกไปตามหาคุณหนูทั้งสอง ซูเยว่ซินได้โอกาสจึงลุกขึ้นยืนคำนับผู้อาวุโสทั้งสอง แล้วจึงออกจากศาลาหลังนี้ มุ่งหน้าไปตามทางที่เจียงฮูหยินบอกมา
สตรีต่างวัยทั้งสองกำลังชื่นชมดอกเบญจมาศกันอยู่อย่างเพลิดเพลิน สาวรับใช้และผู้คุ้มกันคอยติดตามอยู่ไม่ไกล ครั้นซูเยว่ซินเดินเข้ามาใกล้ ผู้คุ้มกันก็ทำหน้าที่ของตน ทว่าเป็นสาวรับใช้คนสนิทของกู้มู่หรงที่บอกว่าอย่าเสียมารยาท เพราะสตรีตรงหน้าคือคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพ และก็เป็นแขกคนสำคัญของคุณหนูรอง กู้มู่หรงเห็นว่าผู้มาใหม่คือผู้ใดจึงรีบปรี่เข้าไปหา
“คารวะพี่หญิงซู ท่านเพิ่งมาถึงหรือเจ้าคะ” ซูเยว่ซินรับการคำนับก่อนที่จะนางจะคำนับสตรีอีกคนที่นางย่อมรู้จักอีกฝ่ายดีจากชีวิตก่อน สตรีที่มีรูปร่างบอบบาง แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามสีชมพูอ่อน นางส่งยิ้มออกมาอย่างมีมิตรไมตรี แล้วคำนับซูเยว่ซินเช่นกัน
“พี่หญิงเจียง นี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพ พี่หญิงซูนี่คือพี่หญิงเจียง คุณหนูใหญ่แห่งจวนท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ” กู้มู่หรงรีบแนะนำพี่สาวทั้งสองให้รู้จักกันด้วยความยินดี ทั้งสองพยักหน้าพลางส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กัน ก่อนที่กู้มู่หรงจะพาสตรีทั้งสอง เดินชมดอกเบญจมาศในสวนที่มารดาปลูกเอาไว้
ผู้ที่แอบมองอยู่ไม่ไกลถึงกับตกตะลึงในความงดงามของสตรี ที่เขาได้ยินบ่าวรับใช้ที่ให้ไปสืบมา บอกว่านางคือคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพนั่นเอง หากนางมีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ แล้วเขาจะต้องรังเกียจรังงอนไปไย ติดเพียงแค่ว่าสถานะของนางนั้นสูงส่งกว่าเขามากเกินไป แล้วเขาจะทำเยี่ยงไรให้นางหันมามองเขาดี ชายหนุ่มมองสตรีผู้นั้นอยู่เนิ่นนานพลางคิดแผนการอยู่ภายในใจ จากนั้นจึงรีบกลับเรือนเพื่อหารือกับมารดาของตนในทันที
คุณหนูทั้งสามเดินชมดอกเบญจมาศกันมาจนถึงสะพานข้ามสระน้ำ ที่เป็นสะพานเชื่อมไปยังศาลาซึ่งมีบรรดาพวกผู้ใหญ่นั่งรอพวกนางอยู่ ทว่าจู่ๆ ฝั่งตรงข้ามกลับมีสตรีผู้หนึ่ง เดินมายังทางพวกตนเข้าพอดี ซูเยว่ซินมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนพลันหัวใจเต้นแรง นางจดจำได้เป็นอย่างดีว่าสตรีผู้นี้คือสตรีชั่วช้าที่รวมหัวกับสามีในชีวิตก่อนของนางสังหารนาง นางกำมือเข้าหากันจนแน่นจิกเล็บลงกลางฝ่ามือ ความคับแค้นที่อยู่ในอกแทบจะปะทุออกมา ทว่านางจำต้องทำจิตใจให้สงบเพื่อทำลายแผนการของอีกฝ่าย สาวรับใช้ทางด้านหลังหลูเจียงหลี คือผู้ที่จะลงมือผลักคุณหนูใหญ่เจียงในยามที่เดินสวนทางกัน ครานี้มีนางอยู่ด้วยมีหรือเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น