“พี่สาวท่านนี้ ท่านเป็นคุณหนูจากตระกูลใดหรือเจ้าคะ”
ซูเยว่ซินไม่ถือสาน้องสาวของคุณชายใหญ่กู้ เพราะชีวิตก่อนนางเองก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเช่นกัน นางจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แล้วตอบคำถามของกู้มู่หรงออกมา
“น้องสาว… ข้ามาจากตระกูลซู เพิ่งจะย้ายมาอยู่ในเมืองหลวงนี้ได้ไม่นาน”
กู้มู่หรงรู้สึกชื่นชอบสตรีตรงหน้ายิ่งนัก แววตาของอีกฝ่ายแสดงออกมาถึงความจริงใจ รอยยิ้มก็ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ทำให้นางนึกชื่นชมพี่ชายที่สายตาดี
“ตระกูลซู…พี่ชายใหญ่เจ้าคะ ตระกูลซูคือตระกูลของท่านแม่ทัพ ที่เพิ่งจะย้ายมาประจำการที่เมืองหลวงใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล่าวทวนนามตระกูลของสตรีตรงหน้า ก่อนที่จะหันกลับไปถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ขออภัยคุณหนูรองซู น้องสาวข้าเสียมารยาทต่อเจ้าแล้ว” กู้มู่เฉินไม่ตอบน้องสาว ทว่าหันไปกล่าวขออภัยต่อสตรีตรงหน้า ด้วยน้ำเสียงสุภาพแทน ซูเยว่ซินส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว
“ไม่เสียมารยาทเลยเจ้าค่ะ อืม…ข้าขอบน้ำใจคุณชายใหญ่ เรื่องพู่หยกด้วยนะเจ้าคะ”
ไหนๆ วันนี้ก็ได้พบเขากับตัวแล้ว ซูเยว่ซินจึงถือโอกาสนี้ขอบน้ำใจเขาต่อหน้าเสียเลย สำหรับพู่หยกที่เขาฝากพี่ชายมามอบให้แก่นางในวันปักปิ่นที่ผ่านมา กู้มู่หรงรู้สึกงุนงง พลางมองหน้าทั้งสองสลับกัน
“ท่านทั้งสองรู้จักกันมาก่อนหรือเจ้าคะ” สองหนุ่มสาวส่ายหน้าพร้อมกัน ก่อนที่กู้มู่เฉินจะกล่าว
“พี่กับพี่ชายของคุณหนูรองสกุลซูเป็นสหายกัน เมื่อวานได้มีโอกาสไปเยือนจวนตระกูลซู จึงได้รู้ว่าแม่นางน้อยเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อวาน พอดีว่ายามนั้นพี่ไม่มีสิ่งใดติดตัว จึงได้มอบพู่หยกที่มีอยู่ให้แก่นางเป็นของกำนัล”
กู้มู่หรงตาโต ในใจตื่นเต้นยินดี ก่อนที่จะหันไปมองเจ้าของดวงหน้างาม ที่ยามนี้ใบหน้าของนางก็ยังคงมีแต่รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรส่งมาให้ เรื่องนี้เห็นทีต้องนำไปเล่าให้มารดาฟังเสียแล้ว กู้มู่หรงเห็นว่าไหนๆ อีกฝ่ายก็เป็นน้องสาวของสหายสนิทพี่ชาย นางจึงรั้งซูเยว่ซินให้ช่วยนางเลือกต่างหูอย่างออดอ้อน พี่สาววัยสิบห้านึกเอ็นดูน้องสาววัยสิบสามอยู่ไม่น้อยจึงไม่ปฏิเสธ อยู่ช่วยอีกฝ่ายจนเลือกต่างหูเสร็จจึงกล่าวขอตัว
คราแรกกู้มู่หรงอยากจะรั้งให้อีกฝ่ายเดินเที่ยวชมตลาดด้วยกันก่อน ทว่าพี่ชายกลับตำหนินางว่าอย่าเสียมารยาท สุดท้ายกู้มู่หรงจึงตัดใจยอมปล่อยซูเยว่ซินให้กลับไป ก่อนจะจากกันซูเยว่ซินก็ไม่ลืมที่จะบอกคุณหนูรองสกุลกู้ ว่านางและครอบครัวจะไปเยือนที่จวน ในเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่กู้ฮูหยินเป็นเจ้าภาพอย่างแน่นอน และนั่นยิ่งทำให้กู้มู่หรงรู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมาก จึงยอมปล่อยพี่สาวที่นางชอบไปแต่โดยดี
“หรงเอ๋อร์… วันนี้เจ้าเสียมารยาทกับคุณหนูรองซูยิ่งนัก เจ้ารู้ตัวหรือไม่”
กู้มู่เฉินตำหนิน้องสาวขณะที่นั่งอยู่บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้ากลับจวนตระกูลกู้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นไร แม้การที่นางแสดงออกมา ว่ายินดีที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับน้องสาวของเขา ทว่าในใจของนางผู้ใดเล่าจะรู้
“เสียมารยาทอันใดกันเจ้าคะ ข้าไม่ได้บังคับนางเสียหน่อย อีกอย่างข้าชอบนางจึงอยากใช้เวลาเที่ยวเล่นกับนาง ข้าผิดด้วยหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงที่ดังออกมาจากเจ้าของดวงหน้างามฟังดูแล้วให้ความรู้สึกปวดใจ
กู้มู่เฉินถอนหายใจออกมา เป็นเขาเองมิใช่หรอกหรือ ที่อยากจะเข้าไปอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย ถึงได้ดึงให้น้องสาวมาร่วมเดินบนเส้นทางนี้ด้วย แล้วเขาจะตำหนินางได้เยี่ยงไร ในเมื่อใจจริงแล้ว เขาอยากให้น้องสาวและสตรีผู้นั้นมีไมตรีที่ดีต่อกัน
“เอาล่ะ…เอาล่ะ คราหน้า หากได้พบหน้านางอีก ก็มีมารยาทให้มากขึ้นหน่อย อย่ารบเร้านางให้มากนัก ข้าเกรงว่าจากที่นางรู้สึกเอ็นดูเจ้า อาจจะเปลี่ยนเป็นรู้สึกรำคาญเจ้าเอาได้”
กู้มู่หรงพยักหน้าขึ้นลงอย่างรู้ความ นางเชื่อว่านางมองคนไม่ผิด และถึงอย่างไรแล้ว พี่หญิงซูผู้นั้นก็คือหนึ่งในสตรีที่นางหมายตา ให้มาเป็นพี่สะใภ้ของนางในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ส่วนพี่ชายต่างมารดาอีกคน นางไม่เคยคิดแม้แต่จะใส่ใจ ไม่ว่าเขาจะแต่งงานกับผู้ใด เขาก็เป็นเพียงได้แค่ผู้อาศัยอยู่ในจวนอยู่ดี
ทางด้านซูเยว่ซินก็รู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ไม่น้อย ในชีวิตก่อนนางหาได้พบกับสองพี่น้องในร้านชิวจี้ไม่ เหตุการณ์เปลี่ยนไปจากเดิมเยี่ยงนี้ทำให้นางรู้สึกสับสนอยู่ภายในใจไม่น้อย แล้วเหตุการณ์ที่สตรีผู้นั้นจะใส่ร้ายคุณหนูรองสกุลกู้จะยังเกิดขึ้นหรือไม่ นางก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว ในขณะที่นางกำลังนั่งเงียบ สามสาวรับใช้ก็พูดคุยกันถึงคุณหนูรองสกุลกู้
“คุณหนูรองสกุลกู้ผู้นั้น นางเป็นเด็กนิสัยดีอยู่ไม่น้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเคยได้พบนางตักข้าวต้มแจกผู้ยากไร้ในโรงทานของตระกูลกู้เมื่อปีก่อน ยามนั้นนางยังเด็กกว่านี้นัก” ชิงหรงเล่าถึงอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงชื่นชม
ทำไมซูเยว่ซินจะไม่รู้ว่าสองพี่น้องสกุลกู้นั้นเป็นคนดีมากเพียงใด หากในชีวิตก่อนนางได้พบกับคุณหนูรองกู้มู่หรงก่อนได้พบกับสตรีผู้นั้นเช่นในชีวิตนี้ บางทีนางอาจจะไม่เชื่อเรื่องที่หลูเจียงหลี ใส่ร้ายว่าคุณหนูรองกู้มู่หรง ตั้งใจผลักตนเองให้ตกน้ำ ในวันงานชมดอกเบญจมาศที่จวนตระกูลกู้ก็ได้ เพราะชีวิตก่อนนางถูกสตรีผู้นั้นปิดบังอำพราง อีกทั้งนางก็มีสายตาที่คับแคบ ครั้นได้คบหากับสตรีผู้นั้นก็ยิ่งถูกอีกฝ่ายปิดหูปิดตา ลองมาคิดๆ ดูแล้ว ชีวิตก่อนของนางก็ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก
“ข้าน้อยสังเกตเห็นสายตาของคุณชายใหญ่สกุลกู้ที่มองมายังคุณหนูรองของเรา ช่างสื่อได้หลากหลายอารมณ์เหลือเกินเจ้าค่ะ” ชิงหลวนหันมาบอกกับคุณหนูรองของนาง ซูเยว่ซินที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดก็พลันได้สติกลับคืนมา นางจ้องหน้าสาวรับใช้คนสนิท ก่อนที่จะถาม
“อารมณ์เช่นไรรึ” ชิงหลวนยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“ตัดพ้อ อาวรณ์ ห่วงหา ลุ่มหลง” หัวใจของซูเยว่ซินเต้นแรงพลันใบหน้างามเห่อร้อน ความรู้สึกที่ชิงหลวนกล่าวออกมานั้น เป็นเขาที่แสดงออกมาจริงๆ น่ะหรือ แต่นางกับเขาเพิ่งจะได้พบกัน และเขายังไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้นางเลยด้วยซ้ำ แล้วอารมณ์ที่แสดงออกมาผ่านแววตาเหล่านี้คือสิ่งใดกัน
“เหลวไหล!!! ข้ากับเขาเพิ่งจะพบหน้ากัน เจ้าทั้งสามอย่าได้เอาไปพูดที่ใดเชียว ผู้อื่นได้ยินแล้วจะพากันเข้าใจผิดเอาได้”
นางแสร้งตำหนิชิงหลวนออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกสับสนภายในใจของตนเอง สาวรับใช้ทั้งสามกลั้นยิ้มพลางรับคำ ซูเยว่ซินจึงเลิกสนใจแล้วมองออกไปยังหน้าต่างรถม้าผ่านผ้าม่านผืนบาง ถึงนางจะมีความหวังให้เขามีใจให้นางเช่นในชีวิตก่อนเยี่ยงไร
ทว่านางก็ยังคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่เขาจะมามีใจให้แก่นางเช่นกัน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ว่าคนที่เพิ่งพบกัน จะแสดงแววตาเช่นเดียวกับที่ชิงหลวนได้กล่าว ต้องเป็นสาวรับใช้ของนางที่มองผิดไปเป็นแน่ ซูเยว่ซินรู้สึกสับสนอยู่ภายในใจ ก่อนที่นางจะพยายามทำจิตใจให้สงบ เลิกสนใจคุณชายใหญ่สกุลกู้ไปชั่วคราว และหันกลับไปสนใจคิดวิธีการล่มแผนการของสตรีผู้นั้น ในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่ใกล้เข้ามาทุกทีแทน