พรธีราเกิดมาไม่เคยเจอใครดึงสายคาดให้แบบนี้ หญิงสาวออกอาการตะลึงไปเล็กน้อย ปลายจมูกเขาเฉียดหน้าเธอไปแค่ไม่กี่นิ้ว ทำให้ต้องนั่งตัวแข็งทื่อหลังชิดเบาะให้มากที่สุด กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อน ๆ จากตัวเขา ทำให้หญิงสาวรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เธอคิดมากไปหรือเปล่า ทำไมการคาดเข็มขัดนิรภัยของเขาถึงได้ใช้เวลานานเป็นพิเศษ แถมหน้าเขาก็ใกล้หน้าเธอจนเกินเหตุ
กริ๊ก
“เสร็จแล้วครับ” เขาบอกก่อนขยับกลับไปนั่งตัวตรงหลังพวงมาลัยเหมือนเดิม
“ขอบคุณค่ะ” เมื่อครู่นี้เรียกว่าแทบจะกลั้นลมหายใจกันเลยทีเดียว พรธีราค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นเขาหันไปสนใจการขับรถ
“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับคุณพรธีรา เรื่องที่ขับรถชนท้ายรถคุณ ทำให้คุณต้องเสียเวลาแบบนี้ด้วย ผมนี่มันแย่จริง ๆ เลย” คนขับหันมาบอกด้วยสีหน้าของคนรู้สึกผิดจริง ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณนวิน มันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ”
“ครับมันเป็นอุบัติเหตุ” ‘ซะเมื่อไหร่’ นวินอมยิ้มนิด ๆ หน้ามองตรงไปที่ถนน ส่วนมือประคองพวงมาลัยให้มั่น ในใจคิดไปต่าง ๆ นานาว่าจะเริ่มต้นแก้แค้นตรงไหนดี
ระหว่างที่พรธีราหันไปมองด้านข้างของถนน เขาก็แอบยื่นมือไปทำบางอย่างตรงหน้า หญิงสาวเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น สักหนึ่งเขาเห็นคนด้านข้างยกมือขึ้นกอดอกเอาไว้แน่น ๆ
“คุณพรธีราหนาวเหรอครับ”
“นิดหน่อยค่ะ” พรธีราหันมาตอบเขาเหมือนคนเกรงใจ
“พอดีผมอยู่เมืองนอกมานานชินกับอากาศเย็น ๆ น่ะครับ ด้านหลังผมมีเสื้อคลุมอยู่นะครับเอามาคลุมก่อนได้” คนพูดผินหน้าไปเบาะหลังที่มีสูทของเขาแขวนอยู่
‘ใจดีจริงพ่อคุณหรี่แอร์ก็จบไหม’ พรธีรายิ้มให้เขาบาง ๆ ไม่กล้าพูดตรง ๆ ออกไป
“หยิบมาสวมเลยก็ได้ครับ ผมซักเรียบร้อยแล้ว” เขายังเอ่ยต่อพร้อมกับรอยยิ้มแสนอบอุ่น
คนเห็นถึงกับหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พรธีราไม่เคยพบเจอใคร ที่มองเธอด้วยสายตาแบบนี้มาก่อนเลย เขามองเหมือนจะดึงเธอเข้าไปอยู่ในดวงตาของเขาได้ ช่างมีพลังดึงดูดร้ายแรงเหลือเกิน
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบเสื้อสูทของเขามาคลุมตัวเองไว้ กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายเตะจมูกเธอเข้าอย่างจัง เขาบอกซักแล้วแต่เขาคงไม่ได้บอกว่าเขาสวมแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกกระดากอายเล่นงานเข้าอย่างจัง พวงแก้มแดงระเรื่อขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
นวินเห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ แค่เอาสูทเขาไปคลุมตัวยังหน้าแดงขนาดนี้ อ่อนต่อโลกหรือยังไงกัน แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจีบง่ายน่าดู
“มีงานสำคัญที่นั่นเหรอครับ” เขาถามทั้งที่สายตายังจดจ้องบนท้องถนนตรงหน้า
“คะ เอ่อค่ะ” พรธีรากำลังต่อสู้กับกลิ่นน้ำหอมจากสูทของเขา ทำให้รู้สึกมึนงงกับคำถามของเขาอยู่
“เป็นอะไรครับทำหน้าแปลก ๆ เสื้อผมเหม็นเหรอครับ ผมซักแล้วนะ” นวินหันมาทำหน้ายุ่งใส่หญิงสาว
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรเสื้อคุณนวินอุ่นดีค่ะ”
“อุ่นก็ดีครับ”
ฟู่ เสียงลมถูกเป่าออกจากปากของพรธีราเบา ๆ หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวต่อสายตาของเขา ยิ่งสูทตัวนี้คลุมตัวอยู่แบบนี้รู้สึกเหมือนถูกเขาโอบกอดอยู่ก็ไม่ปาน จะถอดวางไว้ที่เดิมก็เกรงใจเจ้าของที่เอาแต่มองมาอยู่เป็นระยะ หญิงสาวเม้มปากเข้าออกค่อย ๆ หันหน้าออกไปด้านข้างมองผู้คนที่สัญจรไปมาแทน
รถแล่นมาจอดหน้าประตูทางเข้าโรงแรม พรธีราก็นำสูทของเขากลับไปแขวนไว้ที่เดิม
“เอาติดตัวไปด้วยก็ได้นะครับเผื่อข้างในโรงแรมอากาศหนาว” นวินบอกด้วยความหวังดี แววตาประกายระยับส่งยิ้มหวาน ๆ ให้หญิงสาว
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
“ครับ เรื่องรถเดี๋ยวผมติดต่อไปอีกทีนะครับ”
“ได้ค่ะ”
กระจกรถเลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ก่อนที่จะปิดหมดบาน คนขับก็ส่งรอยยิ้มนัยน์ตาเยิ้ม และขยิบตาข้างหนึ่งให้คนพรธีรา จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ
“เฮ้อ” หญิงสาวเกือบจะหายใจไม่ออกกับการกระทำของเขาเมื่อครู่นี้ การอยู่กับผู้ชายคนนี้สองต่อสองในรถทำให้รู้สึกอึดอัดไปหมด เขาดูดีมีเสน่ห์มากมีมากจนน่ากลัว
พรธีรารีบเดินตรงเข้าไปในห้องโถงชั้นสามของโรงแรม ซึ่งมีพี่ชายของเธอยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“มาช้านะน้องเอย” พัสวีถอนหายใจใส่น้องสาวดัง ๆ
“รถเอยถูกเสยท้ายค่ะพี่เอื้อ”
“แล้วน้องเอยเป็นไรมากไหม ไหนพี่ขอดูหน่อย” พัสวีจับน้องสาวหมุนตัวไปมาราวตุ๊กตาไขลาน
“พี่เอื้อคะพอได้แล้วเอยอายคนอื่นเขานะคะ ตัวเอยไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ส่วนรถก็ไฟท้ายแตกขับมาไม่ได้เลยจอดเอาไว้บนถนน เรียกประกันไปดูแล้วค่ะ” หญิงสาวรีบบอกก่อนที่เธอจะเวียนหัวจากการถูกพี่ชายหมุนตัวไปมาไม่ยอมหยุด
“แล้วน้องเอยมายังไงล่ะนี่”
“คนขับชนเขาพามาส่งค่ะ”
“คนขับชนพามาส่งรู้จักกันรึก็เปล่า ทำไมไว้ใจขึ้นรถเขามาง่าย ๆ แบบนี้ล่ะน้องเอย มันอันตรายมากรู้ไหม” พัสวีเอ็ดน้องสาวเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง
“เขาไม่ได้อันตรายขนาดค่ะ เอยโตแล้วนะคะพี่เอื้อดูคนออกอยู่ค่ะอย่าทำเหมือนเอยเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ สิคะ”
“โตมากเลยนี่” พัสวีจิ้มแก้มน้องสาวเบา ๆ ไม่ว่าจะโตแค่ไหนพรธีราก็เหมือนเด็กสาวตัวน้อย ๆ ที่เขาคอยถักเปียให้ไปโรงเรียนอยู่ไม่เคยเปลี่ยน
“ว่าแต่งานเริ่มรึยังคะเนี่ย”
“เพิ่งจะเริ่มเองโน่นพิธีกรขึ้นเวทีแล้ว ไปเราไปหาโต๊ะนั่งกันดีกว่า”
“ค่ะ”
สองพี่น้องพากันเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้ให้ สักพักหนึ่งก็มีหญิงสาวแสนสวยมานั่งร่วมโต๊ะกับทั้งคู่ด้วย
“สวัสดีค่ะน้องเอย”
“สวัสดีค่ะพี่ฝ้าย” พรธีรายกมือขึ้นไหว้คนรักของพี่ชายอย่างเป็นกันเอง วันนี้กานต์สินีมาในชุดเดรสสีหวานสุดหรู รวบผมขึ้นสูงดูสวยสมวัย เหมาะสมกับพี่ชายของเธอเป็นอย่างมาก
“ขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยคนนะคะน้องเอย พี่มาตัวแทนคุณพ่อค่ะ” กานต์สินีบอกแล้วทรุดตัวลงนั่งด้านข้างกับคนรัก ซึ่งพัสวีเลื่อนเก้าอี้ออกรอเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“พี่ฝ้ายแต่งตัวสวยแบบนี้แปลว่ามีไปต่อกันหลังงานเลิกใช่ไหมคะ”
“รู้ทันนะคะน้องเอย”
สองสาวหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข โดยหารู้ไม่ว่ามีชายหนุ่มอีกคน กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่ตรงทางเข้างาน นวินสืบไม่ยากว่างานแบบไหนที่พรธีราจะมาที่โรงแรมแห่งนี้ เขาขับรถขึ้นมาจอดชั้นที่มีงานเลย แค่จะแวะมาดูว่าหญิงสาวทำงานเป็นไงบ้าง ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอภาพบาดตาบาดใจตรงหน้าเป็นของแถม
‘ไอ้เอื้อฝ้ายมีความสุขกันจริงนะ’
เขากัดฟันกรอดกำหมัดจนแน่น ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป ในใจพร้อมจะปะทุออกมาเป็นเสี่ยง ๆ จากความแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก