เมื่อกลับมาที่เรือนแล้ว เย่หลีก็ทิ้งกายลงนอนบนเตียง นับตั้งแต่แต่งกับฟ่านเฉินนางก็ไม่เคยได้กลับมานอนที่นอนอันแสนจะคุ้นเคยของนางมาร่วมสองปีเห็นจะได้ เมื่อได้กลับมาอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งอบอุ่นและสบายใจในเวลาเดียวกัน
คาดว่าอีกไม่นานท่านพ่อและพี่ชายใหญ่ก็คงจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว
เย่หลีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางรู้สึกเบื่อมากจริงๆ ในช่วงวัยอายุสิบหกปีนี้ของนางยังไม่มีสิ่งใดให้ทำมากนัก นางจำได้ว่ายามนี้ฟ่านหลิ่นก็ยังคงเป็นเพียงองค์ชายใหญ่ผู้หนึ่งยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคังอ๋อง บ้านเมืองก็ยังคงเงียบสงบดี นางไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ไม่รู้ว่าควรจะหาทางแก้ไขตรงจุดไหนก่อน และไม่อาจรู้ได้เลยว่าต้นตอของโศกนาฏกรรมในชาติก่อนมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยามใด
นางจำได้ว่าหลังจากที่ท่านพ่อและพี่ใหญ่กลับมา นางจะได้เข้าวังหลวงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองการกลับมาพร้อมชัยชนะของท่านพ่อกับพี่ชายและได้พบกับฟ่านเฉินรวมไปถึงองค์ชายคนอื่นๆ
เย่หลีคิดจนปวดหัวก็ยังคิดไม่ออกว่าจะหาทางบอกเล่าเรื่องที่นางเคยพบเจอมาให้ท่านพ่อฟังอย่างไรดี หญิงสาวลืมตามองเพดานห้องนอน ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ยามนี้ก็เย็นมากแล้ว นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน หลังจากกินมื้อเย็นแล้ว นางก็จะกลับมานอนหลับพักผ่อน เผื่อว่าจะคิดสิ่งใดออกบ้าง
คืนนั้นเย่หลีกลับฝันเห็นฟ่านเฉิน ในฝันมันเรือนรางไม่ชัดเจนจนนางจับใจความได้ไม่ถูก หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เหงื่อเม็ดโตผุดซึมขึ้นมาเต็มหน้าผากของนาง เย่หลีหายใจเหนื่อยหอบ ก่อนจะสบถออกมา
คนบัดซบ มาเข้าฝันนางทำไมกัน!
เช้าวันต่อมาอากาศค่อนข้างดีไม่น้อยเพราะเข้าสู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิแล้ว วันนี้หลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว นางก็ไปคำนับเย่ฮูหยินผู้เป็นมารดา ก่อนจะเดินกลับมาที่เรือนตน เย่หลีรู้สึกเบื่อไม่น้อย จึงบอกให้เถาเป่าไปเตรียมรถม้า นางจะออกไปดูบรรยากาศโดยรอบเสียหน่อย
เย่หลีก้าวเดินขึ้นรถม้า ตลอดทางนางเลิกผ้าม่านขึ้นมองดูบรยากาศโดยรอบ ที่เมืองหลวงก็เป็นเช่นเดิม มีผู้คนเดินกันพลุกพล่านไปหมด มีคนออกมาทำการค้า ทุกอย่างไม่ได้ต่างไปจากเดิมเท่าใดนัก เย่หลีมองสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งสายตาของนางสะดุดเข้ากับบางอย่าง
หอเซียนสุราเมามาย!
ป้ายหน้าร้านดึงดูดสายตาของเย่หลีไม่น้อย เพียงได้อ่านตัวอักษรตรงหน้านางกลับรู้สึกหายใจไม่ออก หญิงสาวรีบปิดผ้าม่านรถม้าลง และเอ่ยกับเถาเป่า
"เจ้าไปที่ร้านขนมหวานเหวินไหล สั่งขนมที่กำลังเป็นที่นิยมมาสักสามชุด ข้าจะรออยู่บนรถม้านี่แหละ"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
เถาเป่ารับคำก่อนจะรับไปทำตามที่เย่หลีสั่งทันที ในระหว่างที่นั่งรออยู่บนรถม้า เย่หลีก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกพูดคุยกัน
"นี่เจ้าได้ยินข่าวลือในวังหลวงหรือไม่ มีข่าวลือว่าองค์ชายรองอยู่ๆก็ล้มป่วยลงกระทันหัน หมอหลวงก็จนปัญญาจะรักษาแล้ว เกรงว่าเมืองหลวงของเราคงจะมีข่าวร้ายในเร็ววัน"
เย่หลีเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น องค์ชายรองที่คนเหล่านั้นเอ่ยถึงแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นฟ่านเฉิน
เขาป่วยหนักใกล้ตายเช่นนั้นหรือ?
เย่หลีพยายามครุ่นคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน นางจำได้ว่าไม่เคยมีข่าวลือออกมาว่าฟ่านเฉินป่วยหนักเลยสักครา
แล้วเหตุใดจึงเกิดข่าวเล่าลือเช่นนี้ขึ้นมาได้กันนะ
จะเป็นไปได้อย่างไร คนเช่นเขาย่อมไม่พบจุดจบที่อนาถเช่นนี้เป็น คนชั่วย่อมตายยาก!
นางลอบก่นด่าฟ่านเฉินอย่างไม่มีชิ้นดี แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้วเย่หลีก็ตระหนักได้ว่า ชาติก่อนนางเองก็ชั่วไม่ต่างจากเขา นางจะแช่งเขาเช่นนั้นไม่ได้ หากเขาตายเพราะคำสาปแช่งของนางจริงๆ เวรกรรมก็จะผูกกันไปไม่จบไม่สิ้นต้องพบกันทุกชาติเช่นนั้นนางคงอกแตกตายพอดี
เย่หลีคร้านจะสนใจอีก ไม่นานเถาเป่าก็กลับมาพร้อมกับขนมหวานสามชุดอย่างที่นางสั่ง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วเย่หลีก็เดินทางกลับจวนตระกูลเย่ทันที เมื่อกลับมาแล้วนางก็สั่งให้เถาเป่านำขนมไปมอบให้ท่านแม่และที่เรือนของอนุซ่งอย่างละหนึ่งชุด
อนุซ่งมองขนมที่เย่หลีมอบให้ด้วยแววตาที่วูบไหว นางยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่เพราะกลัวคนจะเห็นและจับสังเกตได้นางจึงรีบสงวนท่าที เพียงสั่งให้สาวใช้นำขนมแบ่งไปให้เย่หลิงชุดหนึ่ง
สิ่งที่นางทำลงไป แน่นอนว่านางมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้แผนการของนางเป็นแน่นอกจากสาวใช้ที่นางไว้ใจได้ เพื่อบุตรสาวที่นางรักอย่างเย่หลี นางจะต้องทำทุกทางให้เรื่องนี้เป็นความลับไปจนวันตาย ใครจะมองว่านางเห็นแก่ตัวนางก็ไม่สนใจ ขอเพียงเย่หลีอยู่อย่างสุขสบายนางก็พอใจมากแล้ว
บาปนี้นางจะเป็นคนแบกรับเอาไว้ทั้งหมดเอง!
สามวันต่อมาก็เป็นวันที่เย่หลีจะต้องไปที่สำนักศึกษาเหยาหลีเพื่อร่ำเรียน สำนักศึกษาเหยาหลีมีกฎระเบียบว่าหญิงสาวอายุตั้งแต่สิบสามปีจนถึงสิบเจ็ดสามารถเข้าเรียนได้ และจะแบ่งชั้นเรียนตามอายุและลำดับฐานะ บุตรของอนุจะเรียนอีกห้องเรียนหนึ่ง อาจารย์ที่สอนแม้จะไม่โดดเด่นเท่าอาจารย์ที่สอนบุตรของภรรยาเอก แต่ก็นับว่าดีกว่าอาจารย์ข้างนอกเป็นเท่าตัว
เย่หลีนั้นเข้าเรียนที่นี่มาตั้งแต่อายุสิบสามปี สิ่งที่อาจารย์สอนนางล้วนได้เรียนรู้และเห็นมาทั้งหมด วันนี้เป็นการเปิดเรียนวันแรกของนักเรียนเก่า และเป็นวันแรกที่เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนใหม่
เย่หลิงรีบลุกขึ้นมาแต่งกายแต่เช้า เพราะนางไม่ได้มีเสื้อผ้าที่สวยงามสวมใส่มากนัก เย่หลิงจึงแต่งกายเรียบง่ายไม่ได้โดดเด่นอันใด อนุซ่งมองเย่หลิงคราหนึ่ง เดิมทีนางไม่อยากจะให้เย่หลิงออกไปพบปะผู้คนภายนอกมากนัก นางเองก็เกรงว่าความลับที่นางปิดบังเอาไว้จะถูกเปิดเผย แต่ในเมื่อเรื่องนี้เย่หลีเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเอง อีกทั้งเย่ฮูหยินก็รับรู้นางจึงไม่อาจทัดทานได้
เย่หลีรออยู่ไม่นาน เย่หลิงก็มาถึง เมื่อเห็นว่าพี่สาวยืนรออยู่ที่หน้าประตูจวน เย่หลิงก็มีท่าทางประหม่าเล็กน้อย
"พี่สาว ข้ามาช้าไปขออภัยด้วย"
เย่หลีหันมามองเย่หลิง ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เย่หลิงแต่งกายเรียบง่าย เสื้อผ้าออกจะดูเก่าไปเสียหน่อย นางจำได้ว่าเป็นเพราะนาง ท่านแม่จึงไม่ได้ส่งคนตัดชุดใหม่ให้เย่หลิงอีกเลยเพราะกลัวนางจะอาละวาด เมื่อคิดได้เช่นนั้นเย่หลีก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นางเลวร้ายเกินไปจริงๆ เพียงแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็ยังไม่ยอมให้เย่หลิงมีของดีสวมใส่
แต่ยามนี้ไม่มีเวลาจะมาเปลี่ยนชุดแล้ว เพราะหากชักช้าคนอาจจะมาสมัครจนเต็มแล้ว นางพยักหน้าให้เย่หลิง ก่อนจะเอ่ย
"รีบไปกันเถอะ สายมากแล้ว"
"เจ้าค่ะพี่สาว"
เย่หลิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามเย่หลีขึ้นรถม้าไป ไม่นานก็มาถึงสำนักศึกษาเหยาหลี
วันนี้ผู้คนค่อนข้างคึกคักไม่น้อย สำนักศึกษาเหยาหลีเป็นสำนักศึกษาสำหรับสตรี ส่วนบุรุษนั้นจะอยู่อีกที่หนึ่ง เย่หลีพาเย่หลิงเดินเข้ามาสมัครเรียน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เย่หลิงก็แยกไปยังชั้นเรียนของตนเอง ส่วนเย่หลีก็เดินมาที่ชั้นเรียนของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก เมื่อนางก้าวเดินเข้ามาก็เหมือนได้กลับมาพบกับบรรยากาศเก่าก่อน สตรีน้อยหลายนางมองมาที่นางเป็นตาเดียว พวกนางล้วนเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกชนชั้นสูง
"หลีเอ๋อร์เจ้ามาแล้วหรือ ข้าคิดถึงเจ้าแทบแย่เลย"
เย่หลีหันไปมอง ก่อนจะพบกับฟางลี่ บุตรสาวของท่านเสนาบดีกรมพระคลัง ในอดีตฟางลี่เป็นสหายรักของนาง อีกทั้งยังสนับสนุนให้นางกลั่นแกล้งเย่หลิง นางเคยคิดว่าฟางลี่เป็นสหายที่ดีกับนางมาตลอด จนกระทั่งนางกลายเป็นบุตรสาวของอนุ นางจึงได้เห็นธาตุแท้ของคน
มีครั้งหนึ่ง นางได้พบกับฟางลี่ก่อนที่นางจะตาย ยามนั้นนางแอบออกมาจากจวนของฟ่านเฉินคิดจะหนีกลับจวนตระกูลเย่ คนของฟ่านเฉินก็ไล่ตามนางมา นางพบเจอฟางลี่จึงคิดจะขอความช่วยเหลือ
"ฟางลี่ ฟางลี่!"
"เย่หลีเจ้ากลับไปเสียเถอะ อย่ามาใกล้ข้านะ หากรู้ว่าเจ้าเป็นบุตรอนุชั้นต่ำ ข้าไม่มีทางคบหากับเจ้าให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเด็ดขาด ยามนี้ข้าแต่งงานแล้ว บ้านสามีข้าเมื่อรู้ว่าข้าเป็นสหายกับเจ้าก็ยื่นคำขาดให้ข้าเลิกคบหากับเจ้าเสีย ยามนี้พวกเรายืนอยู่กันคนละระดับแล้ว ไสหัวไปเสีย รีบไปสิ!"
เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเย่หลีก็ส่งเสียงเหอะออกมา สหายที่แสนดีเหล่านั้น เมื่อถึงคราวที่นางลงสู่จุดต่ำสุดกลับไม่มีผู้ใดเหลียวอลนางเลยแม้แต่คนเดียว
ช่างเถิด มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้
ฟางลี่เมื่อเห็นว่าเย่หลีไม่เอ่ยตอบ ซ้ำยังจ้องมองตนด้วยแววตาที่เย็นชาก็เริ่มประหม่าทันที แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่อยากจะคบหากับเย่หลีเท่าใดนัก หากไม่ใช่เพราะบิดานางเป็นเแม่ทัพใหญ่มีหน้ามีตา นางคงไม่เสียเวลามาคบหากับคนเช่นเย่หลีทุกอย่างก็เพียงเพราะผลประโยชน์เท่านั้น
"หลีเอ๋อร์ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้เล่า"
เย่หลีพลันได้สติกลับคืนมา นางยิ้มให้ฟางลี่ ก่อนจะเอ่ย
"ไม่มีอันใด รีบไปนั่งเถอะ อาจารย์ใกล้จะมาถึงแล้ว"
เอ่ยจบเย่หลีก็เดินผ่านฟางลี่ไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตน แม้แต่สหายร่วมเรียนคนอื่นๆนางก็ไม่สนใจ สตรีน้อยเหล่านั้นต่างสงสัย ทุกคราเมื่อเย่หลีมาเรียนก็มักจะอวดพวกเครื่องประดับไม่ก็เสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วยังเอ่ยวาจากระทบกระเทียบคนที่มีไม่เท่านาง แต่วันนี้เย่หลีกลับไม่สนใจใคร มันน่าเแปลกเกินไปหน่อยกระมัง
ไม่นานอาจารย์ที่ก็มาถึงและเริ่มทำการสอน เย่หลีนั่งเรียนอย่างเบื่อหน่าย จะไม่ให้นางเบื่อได้อย่างไร เรื่องพวกนี้นางล้วนเรียนมาหมดแล้ว ถึงแม้ชาติก่อนจะไม่ค่อยสนใจแต่อย่างไรมันก็เคยผ่านตานางมาหมดแล้ว
เวลาล่วงเลยไปไม่นานก็ถึงเวลาเลิกเรียน เย่หลีคิดว่าจะไปรับเย่หลิงและเดินไปที่รถม้าพร้อมกันกับนาง ระหว่างทางจะแวะร้านตัดอาภรณ์ พาเย่หลิงไปตัดชุดใหม่สักหลายชุดหน่อย
ในขณะที่นางเดินถือห่อตำราเรียนมานั้น ก็ได้ยินเสียงคนเอ่ยขึ้นมา
"พวกเจ้ารีบไปดูเร็วเข้า ได้ยินว่าเย่หลิง บุตรสาวอนุจวนตระกูลเย่ทำเสื้อผ้าของคุณหนูเซียวที่เป็นบุตรสาวภรรยาเอกจวนเสนาบดีกรมกลาโหมเลอะเทอะ จึงถูกนางทุบตีเข้าให้แล้ว"
"สมน้ำหน้า ได้ยินว่าเป็นเพียงบุตรอนุ แต่เสนอหน้าอยากมาเรียนร่วมกับพวกเรา เดิมทีสำนักศึกษาเหยาหลีไม่ควรเปิดรับลูกอนุเข้าเรียนด้วยซ้ำ พวกนางจะเรียนไปทำไมกัน อย่างไรก็ต้องแต่งไปเป็นอนุของผู้อื่นอยู่วันยังค่ำ"
"พวกเรารีบไปดูเรื่องสนุกกันดีกว่า"
"ช้าก่อน ได้ยินว่านางเป็นน้องสาวของเย่หลี"
"เย่หลีเคยสนใจนางเมื่อใดกัน วันนี้ที่พามาสมัครเรียนก็คงเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก"
"คิกคิก เช่นนั้นก็รีบไปดูเรื่องสนุกกันเถอะ"
เย่หลีเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย เกิดเรื่องกับเย่หลิงอย่างนั้นหรือ!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เย่หลีก็รีบวิ่งสุดชีวิต ตรงไปยังทิศทางที่สตรีสองนางนั้นเดินไปทันที เมื่อมาถึง ภาพตรงหน้าก็ทำให้เย่หลีโทสะพุ่งปะทุ!
เย่หลิงถูกดึงเสื้อผ้าจนขาด โชคดีที่ไม่ได้หลุดรุ่ยจนน่าเกลียด นางกำลังถูกสตรีน้อยอารมณ์ร้ายนางหนึ่งจับศีรษะกดลงไปในอ่างบัว
เย่หลีที่เห็นก็ไม่รอช้า นางโยนห่อตำราในมือทิ้งลงบนพื้น ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทันที
"ปล่อยน้องสาวข้า!"
เอ่ยจบนางก็พุ่งเข้าไปหาสตรีน้อยนางนั้น ก่อนจะยื่นมือไปกระชากผมนางอย่างแรง เย่หลีจำได้ว่าสตรีนางนี้มีนามว่าเซียวซิน ชอบทำตัวอวดดี รังแกคนที่อ่อนแอกว่านาง
เซียวซินถูกกระชากศีรษะจนร้องลั่น นางปล่อยเย่หลิงให้เป็นอิสระ ก่อนจะหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นเย่หลีเซียวซินก็เลือดขึ้นหน้า
"เย่หลี เจ้าบังอาจมากนะ คิดว่าบิดาเป็นแม่ทัพใหญ่แล้วข้าจะกลัวอย่างนั้นหรือ เจ้ากล้าดีอย่างไรมากระชากผมข้าเช่นนี้ น้องสาวตัวดีของเจ้าต่างหากที่ก่อเรื่องก่อน นางมาทำชุดของข้าเลอะ!"
เย่หลีส่งเสียงเหอะ ก่อนจะมองเซียวซินตั้งแต่หัวจรดเท้า และเอ่ย
"ข้าก็เห็นเสื้อผ้าของเจ้าปกติดี ไม่ได้รับความเสียหายใด แต่เจ้ากลับโทษนาง"
"หุบปาก นางเดินชนข้าจนชุดข้ายับ"
"แค่นั้นเองหรือ"
เย่หลีเอียงคอถาม เซียวซินมองท่าทางอวดดีของเย่หลีก็อดกลั้นโทสะไม่อยู่ คิดจะกระชากผมเย่หลีคืน แต่คนตรงหน้ากลับฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าของนางเต็มแรงจนนางมึนงง ไม่ทันได้ตั้งตัว เย่หลีก็มากระชากศีรษะนางซ้ำอีกหน พร้อมกับลากนางไปที่อ่างบัว และกดศีรษะนางลงในอ่างน้ำอย่างไม่ปรานีปราศัย จนนางร้องไห้โฮ เดิมทีคิดว่าเย่หลีคงสาแก่ใจแล้ว แต่ที่ไหนได้ กลับฉีกทึ้งเสื้อผ้าของนางจนขาดหลุดรุ่ยไปหมด เซียวซินร้องไห้สะอึกสะอื้นมองเย่หลีอย่างหวาดกลัว
เย่หลีเข้าไปประคองเย่หลิงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าใบหน้าของน้องสาวมีแต่รอยฝ่ามือ นางก็โมโหไม่หาย อยากจะฆ่าเซียวซินให้ตายคามือ นางถอดชุดคลุมกันลมมาสวมให้เย่หลิง ก่อนจะเอ่ย
"นางแกล้งเจ้า เจ้าก็สู้ไม่เป็นหรือ นางตบมาเจ้าก็ตบคืนสิ!"
เย่หลิงไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้ เย่หลีเมื่อเห็นว่าเย่หลิงยังตกใจอยู่จึงไม่เอ่ยดุน้องสาวอีก นางหันมามองเซียวซินอีกครา ก่อนจะเอ่ย
"จำใส่กะลาหัวของเจ้าเอาไว้ อย่าคิดรังแกน้องสาวของข้า ข้าจะทำเช่นไรกับนางในจวนนั่นเป็นเรื่องของข้า แต่พวกเจ้าคือข้อยกเว้น อย่ามารังแกน้องสาวของข้า ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะทำมากกว่ากดศีรษะเจ้าลงน้ำ หึ! ใครมันกล้าอีก เข้ามาให้ข้าตบระบายอารมณ์ได้เลย!"
ทุกคนที่ได้ยินต่างก้มหน้างุด ผู้ใดบ้างไม่รู้จักเย่หลี สตรีบ้าอำนาจป่าเถื่อนนางนี้ใครจะอยากมีเรื่องกับนาง
เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดแล้ว เย่หลีก็พาเย่หลิงเดินออกมาจากสำนักศึกษาเหยาหลี คิดว่าพรุ่งนี้หากอาจารย์ถามก็ค่อยมาอธิบายในภายหลัง ก่อนกลับนางยังหันไปเตะก้อนหินใส่หน้าผากของเซียวซินอีกครา จนคนถูกเตะร้องไห้โฮอีกรอบ
"องค์ชายใหญ่ท่านดูสิ นั่นคุณหนูใหญ่เย่ นางป่าเถื่อนอย่างที่คนเขาเล่าลือกันจริงๆ รังแกคนอีกแล้ว"
ฟ่านหลิ่นที่ได้ยินองค์รักษ์เอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นก็เพียงหัวเราะในลำคอคราหนึ่ง วันนี้เดิมทีเขามาตามคำสั่งของเสด็จพ่อให้มาดูว่าสำนักศึกษาเหยาหลีเป็นเช่นไรบ้าง การเรียนการสอนราบรื่นดีหรือไม่ อีกทั้งยังคิดจะไปพบกับท่านหมอเทวดาผู้หนึ่งที่นอกเมืองเพื่อตามเขากลับมารักษาน้องรองที่ป่วยลุกไม่ขึ้นอยู่ในวังหลวง แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้มาดูละครสนุกฉากหนึ่งในสำนักศึกษา
สตรีนางนั้นที่ชื่อเย่หลี ช่างน่าสนใจดีทีเดียว