เถาเป่าแม้จะมีความสงสัยอยู่ในทีแต่เพราะนางเป็นเพียงบ่าวจึงไม่อาจไปซักไซ่ไล่เรียงเอาความใดกับผู้เป็นนายได้
หลังจากเตรียมขนมเรียบร้อยแล้ว เย่หลีก็เดินตรงมาที่เรือนของอนุซ่ง เรือนแห่งนี้เป็นเรือนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเรือนใหญ่เท่าใดนัก บรรยากาศสงบร่มรื่น ในชาติที่แล้วเพราะมัวแต่หาเรื่องคน ทำให้นางคิดว่าสถานที่แห่งนี้โกโรโกโส มีแต่พวกชนชั้นต่ำน่ารังเกียจอาศัยอยู่ แต่เมื่อนางเปลี่ยนความคิด ไม่ได้มองที่นี่อย่างอคติ มันกลับทำให้นางพบว่าที่นี่เงียบสงบร่มรื่นและน่าอยู่เป็นอย่างมาก
นางพยายามทำความเคยชินกับที่นี่เอาไว้ เพราะว่าอีกไม่นานนางอาจจะได้มาอยู่ที่นี่กับมารดาแท้ๆของตนเอง
เย่หลีต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ก่อนหน้านี้นางยังได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกมาโดยตลอด การจะให้นางยอมรับอย่างสนิทใจย่อมต้องใช้เวลาไม่ใช่เพียงวันสองวันก็จะยอมรับอย่างสนิทใจได้
แม้จะยังมึนงงอยู่บ้างที่ตนเองอยู่ๆก็ย้อนเวลากลับมาเช่นนี้ แต่อย่างไรในเมื่อสวรรค์เมตตาแล้ว นางจะรั้งรอเวลาไม่ได้เด็ดขาด
คนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่อาจรู้ได้ อย่ารั้งรอเวลาที่จะทำความดี ทำในสิ่งที่ตนเองอยากจะทำให้มากที่สุด เพราะหากมัวแต่รั้งรอ เวลา อาจจะไม่มีวันต่อไปให้ได้ทำในสิ่งที่ตนปราถนาอีกแล้ว
นางไม่รู้ว่าการกลับมาของนางครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้มากน้อยเพียงใด แต่นางก็ยินดีจะทำอย่างสุดความสามารถ
หญิงสาวก้าวเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูเรือนของอนุซ่ง สาวใช้ที่เห็นว่านางเดินเข้ามาก็รีบก้มหน้างุดพร้อมกับมีท่าทางหวาดกลัว แต่ไหนแต่ไรนางมักเอาโทสะไปลงกับสาวใช้และบ่าวไพร่ในเรือน ไม่มีใครกล้าทัดทานนางเพราะท่านพ่อและท่านแม่ให้ท้ายนางจนเคยตัว
แต่นับจากวันนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก คนเราเมื่อถอดอาภรณ์สูงศักดิ์ออกก็คือคนเหมือนกัน ไม่มีอันใดแตกต่าง!
"มัวชักช้าอยู่ทำไม คุณหนูจะเข้าไปด้านใน ไปแจ้งเจ้านายของพวกเจ้าสิ!"
เถาเป่ารีบเอ่ยอย่างวางท่า เย่หลีปรายตามองสาวใช้ของตนคราหนึ่ง เถาเป่าเมื่อถูกมองก็รีบก้มหนางุดไม่กล้าเอ่ยวาจาใดอีก เย่หลีละสายตาจากเถาเป่า ก่อนจะหันมาเอ่ยกับสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
"ไปบอกอนุซ่งกับคุณหนูรองทีว่าข้าจะแวะมาดื่มชาที่นี่และมีเรื่องจะสนทนากับพวกเขา ข้าจะรออยู่ตรงศาลาใต้ต้นมู่ตาน"
"เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่"
เอ่ยจบเย่หลีก็เดินมานั่งรอที่ศาลารับลมใต้ต้นมู่ตาล ที่นี่อยู่ใกล้กับเรือนของอนุซ่ง บรรยากาศดีมีลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา รออยู่ไม่นานอนุซ่งและเย่หลิงก็มาถึง อนุซ่งมองเย่หลีด้วยแววตาที่วูบไหวคราหนึ่ง ส่วนเย่หลิงนั้นมองนางด้วยแววตาที่หวาดหวั่นไม่น้อยเลย เย่หลีเองเข้าใจดี นางร้ายกาจถือดีถึงเพียงนั้น ใครก็ไม่อยากจะเข้าใกล้นาง
"พวกท่านนั่งก่อนสิ เถาเป่ารินชาใส่ถ้วย"
เย่หลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย อนุซ่งมองเย่หลีเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและให้เย่หลิงนั่งลงตามนาง
เย่หลีมองไปที่เย่หลิง ปีนี้น้องสาวของนางก็อายุสิบหกเท่านางแล้ว แต่เพราะคลอดออกมาช้ากว่านางเพียงครึ่งเค่อจึงนับเป็นน้องสาว เย่หลิงใบหน้างดงาม น่ารักน่าชัง อ่อนหวาน แต่ก่อนนางชังใบหน้านี้ยิ่งนัก คิดว่าเพราะใบหน้านี้ที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบมากกว่านาง
แต่ยามนี้นางเข้าใจแล้ว เย่หลิงน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ จิตใจก็ดีงาม คนชอบนางมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เย่หลียื่นถ้วยชาส่งให้อนุซ่งและเย่หลิง อนุซ่งลอบมองเย่หลีหลายต่อหลายครา แต่เมื่อเย่หลีหันมาสบตากับนาง อนุซ่งก็แกล้งทำเป็นมองไปทางอื่น เย่หลีไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงครุ่นคิดในใจ
ชาตินี้ข้าจะหาทางเปลี่ยนจุดจบในชีวิตของท่าน อย่างไรข้าก็คงไม่อาจทนเห็นท่านตายเพราะข้าได้เช่นชาติที่แล้ว แม้ระหว่างเราอาจจะไม่ได้มีความผูกพันใดเลยก็ตาม แต่ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของข้า
เย่หลียังคงนับถือใจของอนุซ่งอยู่อย่างหนึ่ง เพราอนุซ่งไม่เคยทุบตีด่าทอเย่หลิง แม้จะดูเย็นชาไปบ้าง แต่เย่หลิงก็ไม่เคยได้รับความลำบากใจเท่าใดนัก
ก็นับว่ายังมีใจเมตตาอยู่บ้าง
ส่วนเย่หลิง นางสัญญาว่าจะคืนทุกสิ่งที่ให้เย่หลิงทั้งหมด เพียงแต่ว่านางขอเวลาอีกสักหน่อย
คนทั้งสามนั่งดื่มชากันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เย่หลีจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
"ได้ยินว่าอีกสามวันสำนักศึกษาเหยาหลีจะเปิดรับสมัครนักเรียนเข้าไปเล่าเรียน เย่หลิง ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้วสามารถเข้าเรียนได้สักที ที่ผ่านมาเอาแต่เรียนอยู่ที่จวน อาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับอาจารย์ในสำนักศึกษาด้วยซ้ำ เดิมทีเจ้าควรเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเหยาหลีตั้งนานแล้วแต่เพราะข้าเองที่มัวแต่ห่วงเรื่องไร้สาระจึงทำให้ถ่วงเวลาเล่าเรียนของเจ้า เช่นนั้นอีกสามวันเจ้าก็ไปพร้อมกันกับข้าเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสมัครเรียนเอง"
เย่หลิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองเย่หลี ก่อนจะเอ่ย
"พี่สาว ท่านพูดจริงหรือ ข้าจะได้เรียนที่สำนักศึกษาเหยาหลีจริงๆหรือเจ้าคะ"
เย่หลิงเอ่ยขึ้นมาด้วยความดีใจ แต่ไหนแต่ไรบุตรอนุมักจะไม่มีสิทธิ์ได้เรียนในที่ดีดี นอกเสียจากว่าบิดามารดาจะทุ่มเงินมากหน่อยเพื่อจ้างอาจารย์มาสอน และอาจารย์เหล่านั้นก็เทียบไม่ได้กับอาจารย์ในสำนักศึกษาเหยาหลี แต่หลายปีมานี้ท่านแม่บอกนางว่านางเป็นเพียงบุตรอนุ อย่าคิดทัดเทียมคุณหนูใหญ่และคุณหนูคนอื่นๆที่เกิดจากภรรยาเอก เพียงมีอาจารย์มาสอนตำราที่บ้านพออ่านออกเขียนได้ก็ดีมากพอแล้ว นางจึงไม่กล้าคิดเพ้อฝัน แต่วันนี้เมื่อพี่สาวเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้นางก็ดีใจไม่น้อย แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาตำหนิของผู้เป็นมารดา นางก็รีบก้มหน้างุด
การกระทำของอนุซ่งนั้นอยู่ในสายตาของเย่หลีทั้งหมด ในชาติที่แล้วเวลานี้สำนักศึกษาเหยาหลีใกล้จะเปิดรับนักเรียแล้วนางจำได้ดี ยามนั้นนางถึงกับอาละวาดไม่ยอมให้เย่หลิงเข้าเรียนกับนาง นางไม่อยากให้ใครเห็นว่าน้องสาวที่เกิดจากอนุงดงามกว่านาง
แต่ยามนี้มันถึงเวลาแล้ว เย่หลิงควรจะได้รับสิ่งที่ควรจะเป็นของนางกลับคืนไปทีละอย่าง
หญิงสาวยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยกับอนุซ่ง
"บุตรสาวได้เร่ียนในที่ดีดี ท่านเป็นมารดาควรจะดีใจกระมัง ทำอย่างกับว่านางไม่ใช่บุตรท่านเสียอย่างนั้น จึงไม่คิดจะส่งเสริมนาง"
เมื่อได้ยินเย่หลีเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น มือของอนุซ่งที่ถือถ้วยชาก็พลันสั่นเล็กน้อย นางแสร้งยิ้ม ก่อนจะเอ่ยตอบ
"เย่หลิงได้คุณหนูใหญ่ส่งเสริมย่อมเป็นวาสนาของนาง แต่ว่านางเป็นเพียงบุตรอนุ ข้าเกรงว่าจะทำให้คุณหนูใหญ่ขายหน้าได้"
"อนุซ่งท่านคิดมากเกินไปแล้ว ขายหน้าอันใดกัน เย่หลิงนางก็ไม่ได้มีตรงไหนไม่ดี ล้วนเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ มีสมองมีสองมือ สามารถเล่าเรียนหาความรู้ได้ เรื่องนี้ข้าจะให้ท่านพ่อท่านแม่จัดการให้เอง ท่านไม่ต้องคัดค้านก็พอ"
"เช่นนั้นแล้วแต่คุณหนูใหญ่เถิดเจ้าค่ะ"
อนุซ่งไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก ในใจของนางยามนี้เอาแต่ครุ่นคิดสงสัย
แต่ไหนแต่ไรเย่หลีตั้งแง่รังเกียจนางสองคนแม่ลูกอย่างกับอันใดดี แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว เย่หลีจึงคิดจะกลับเรือน ก่อนกลับนางมอบขนมทั้งหมดให้เย่หลิง เย่หลิงมองขนมด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเย่หลี แม้เย่ฮูหยินจะไม่เคยหวงของกินพวกนี้กับนาง แต่นางก็ไม่กล้ากินมากนัก เพราะท่านแม่ของนางมักจะบอกให้นางระวังตนทุกฝีก้าวอย่าได้ทำตัวน่าขายหน้าเป็นอันขาด
เย่หลีเดินลงมาจากศาลารับลม ก่อนจะคิดสิ่งใดได้ นางจึงหันกลับไปมองเย่หลิง
"หากเจ้าเบื่อก็สามารถไปคุยเล่นกับข้าที่เรือนใหญ่ได้ ที่นั่นมีของเล่นมากมายที่เจ้าชอบ"
"เจ้าค่ะพี่สาว"
เย่หลิงพยักหน้ารับด้วยความดีใจ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ๆพี่สาวก็มาทำดีกับนาง ทั้งที่แต่ก่อนตั้งท่ารังเกียจนางเสียเหลือเกิน แต่ก็ช่างเถิด หากพี่สาวดีกับนางเช่นนี้ไปได้ตลอด นางคงจะมีความสุขไม่น้อย
อนุซ่งมองตามเย่หลีไปจนลับสายตา นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากนัก เพียงบอกเย่หลีว่าให้นำขนมเข้าไปกินในเรือนและอย่าเที่ยวเดินไปทั่ว เย่หลิงพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย
“ท่านแม่ หากข้าเหงาข้าขอไปพี่สาวได้หรือไม่เจ้าคะ”
อนุซ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองเย่หลิงคราหนึ่ง เด็กสาวตรงหน้าแม้จะไม่ใช่บุตรสาวที่แท้จริงของนาง แต่นางก็มีความผูกพันที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ อนุซ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“อืม อยากไปก็ไปเถิด อย่าก่อเรื่องก็พอ”
“เจ้าค่ะท่านแม่”