เมื่อออกมาจากสำนักศึกษาเหยาหลีแล้ว เย่หลีก็ประคองเย่หลิงให้ขึ้นมานั่งบนรถม้าด้วยกัน ก่อนจะสำรวจดูร่างกายของน้องสาวด้วยความเป็นกังวล
"เจ้าถูกนางรังแกได้เช่นไรกัน"
เย่หลิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะตอบพี่สาว
"หลังจากเลิกเรียนแล้วข้ากำลังจะไปรอท่านที่รถม้า แต่กลับเดินชนนางเข้า ข้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดนางเลยนะพี่สาว ข้าไม่ได้ทำ!"
"ข้ารู้แล้ว เจ้าใจเย็นๆก่อนเถิด อย่างไรย่อมกลับจวนไปในสภาพนี้ไม่ได้ ข้าจะพาเจ้าไปหาชุดใหม่เปลี่ยนเสียก่อนแล้วค่อยไปที่โรงหมอตรวจอาการดูให้แน่ใจแล้วค่อยกลับจวน"
"พี่สาว ข้าไม่ได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ"
"เชื่อข้าเถอะน่า เถาเป่าบอกคนขับรถม้าให้รีบไปที่ร้านอาภรณ์ก่อน"
เย่หลีเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมาสำรวจดูตามร่างกายของเย่หลิงอีกครา นางรู้ดีกว่าผู้ใดว่าเย่หลิงมีนิสัยเช่นไร น้องสาวของนางอ่อนโยนและอ่อนต่อโลกมากเกินไป ย่อมไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน เมื่อคิดได้เช่นนั้นเย่หลีจึงเอ่ยกับน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง
"เย่หลิง ต่อไปหากผู้ใดกล้าหาเรื่องเจ้าอีก เจ้าต้องสู้กลับ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะกลายเป็นเหยื่อ อย่าใจอ่อนเกินไปเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่"
เย่หลิงพยักหน้ารับ นางไม่เข้าใจเท่าใดนัก เดิมทีนางไม่ชอบมีปัญหากับผู้ใด นางรักความสงบ แต่นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงต้องมาหาเรื่องนางเช่นนั้น
หรือเพียงเพราะแค่นางเป็นบุตรสาวของอนุเท่านั้นเองหรือ
ไม่นานรถม้าก็หยุดลงที่ร้านขายอาภรณ์ เย่หลีเลือกชุดที่ตัดสำเร็จพอดีตัวมาให้เย่หลิงใส่แก้ขัดไปก่อนชุดหนึ่ง อีกทั้งยังเลือกชุดที่ตัดสำเร็จเหมาะกับเย่หลิงมาอีกหลายชุดและสั่งให้เถ้าแก่ร้านนำไปส่งที่จวนตระกูลเย่ให้นางด้วย ก่อนจะตรงมาที่โรงหมอทันที เมื่อตรวจแล้วพบเพียงว่าบอบช้ำเล็กน้อย ท่านหมอจึงจัดยาเพียงไม่กี่เทียบให้เย่หลิงเท่านั้น เย่หลีรับยามาและจ่ายเงินให้ท่านพ่อ ในขณะที่นางและน้องสาวกำลังจะเดินออกมา ก็พบเข้ากับหญิงชราผู้หนึ่งที่เดินกระวีกระวาดเข้ามาในโรงหมอ
นางจำได้ว่าหญิงชราผู้นั้นคือหนึ่งในคนที่เอ่ยวาจาเหยียดหยันนางว่าเป็นเพียงบุตรอนุในชาติก่อน และพาคนมาเอ่ยวาจาดูแคลนนางที่หน้าจวนตระกูลเย่ด้วย
เย่หลีไม่ได้รู้สึกโกธรอันใด นางเพียงมองดูหญิงชราผู้นั้นอยู่เงียบๆ
“ท่านหมอ ท่านโปรดไปที่เรือนข้าทีเถิด ช่วยข้าที บุตรชายของข้าจะไม่รอดแล้ว ข้าไม่อาจพาเขามาได้เพราะไม่มีรถม้า เงินจะจ้างเกวียนลากก็ไม่มี เดิมทีพวกเราอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูก เงินทองก็มีไม่มาก ได้โปรดท่านหมอเมตตาด้วย!"
ท่านหมอมองหญิงชราพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
"ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ค่ายาคราวก่อนเจ้าก็ยังไม่ได้จ่ายให้ข้าเลย ครั้งนี้ข้าคงไม่อาจช่วยบุตรชายเจ้าได้ คนเราน่ะต้องหาเงินไว้กินไว้ใช้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้านะ"
"ฮือ ท่านหมอโปรดเมตตาด้วย ท่านหมอ"
หญิงชราร้องไห้ครำครวญอย่างหนัก เย่หลีเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงก้าวเดินเข้าไปหาท่านหมอ ก่อนจะเอ่ย
"ท่านหมอ ท่านช่วยไปรักษาคนก่อนเถิด เงินที่ท่านยายผู้นี้ติดค่ารักษาเอาไว้ข้าจะช่วยจ่ายให้ทั้งหมด และจะช่วยจ่ายค่ายาให้บุตรชายของนางด้วย ต่อไปหากพวกเขามาขอให้ทำการรักษาอีกท่านก็รักษาไป แล้วส่งคนไปเก็บเงินกับข้าที่จวนตระกูลเย่ ข้าจะรับผิดชอบค่ารักษาของพวกเขาเอง"
หญิงชราพลันหันขวับมามองเย่หลี ก่อนจะคุกเข่าคำนับไม่ยอมหยุด
"ขอบคุณคุณหนูท่านนี้มาก ท่านมีเมตตามากจริงๆ บุญคุณนี้ข้าไม่มีทางลืมแน่นอนเจ้าค่ะ"
เย่หลีเพียงยิ้มออกมาเล็กนอย ก่อนจะมองดูหญิงชราผู้นั้นเดินตามท่านหมอไป ในชาติก่อนนางเคยเจอท่านยายผู้นี้ ยามนั้นเย่หลีมาซื้อยาบำรุงที่ร้านท่านหมอให้เย่ฮูหยิน กลับพบหญิงชราตัวเหม็นผู้นี้เข้า นางจึงไล่ท่านยายออกไปจากโรงหมอ ซ้ำยังต่อว่าท่านหมอว่าไม่ควรให้คนชนชั้นต่ำเข้ามาในโรงหมอให้เป็นที่อับอาย ท่านยายน้องอ้อนวอนว่าให้ไปช่วยรักษาบุตรชายให้ทีแต่กลับไม่ได้รับความเมตตา นางรู้ข่าวอีกคราก็ได้ยินว่าบุตรชายของท่านยายตายไปเสียแล้วเพราะไม่ได้รับการรักษา นับแต่นั้นยามที่พบเจอนางท่านยายก็มักจะด่าทอนางด้วยความเกลียดชัง
เย่หลียิ้มขมขื่นพลางครุ่นคิดในใจ
ท่านยาย ท่านไม่ต้องตอบแทนข้าหรอก ขอเพียงวันหน้าที่ข้าถึงคราวตกต่ำ ท่านก็อย่าซ้ำเติมข้าก็พอ ข้าขอโทษจากใจจริงกับเรื่องราวในชาติก่อนนั้น
เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วนางและเย่หลิงจึงกลับมาที่จวน ก่อนแยกจากกันนางกำชับให้เย่หลิงกินยาและทายาให้ครบตามเทียบยาที่ท่านหมอจัดให้ เย่หลิงพยักหน้ารับคำ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เย่หลีและกระซิบเสียงแผ่ว
"พี่สาว ขนมที่ท่านมอบให้ข้าวันนั้นอร่อยมาก ข้าชอบมาก แต่ข้ากลัวท่านแม่จะตำหนิจึงไม่กล้าไปขอท่านกินอีก"
เย่หลีเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนจะเอ่ย
“เช่นนั้นเย็นนี้เจ้าก็มาที่เรือนของข้า ข้าจะทำขนมไว้รอเจ้า หากอนุซ่งจะต่อว่าเจ้า เจ้าก็อ้างชื่อข้า ดีหรือไม่"
"ดีเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าท่านแม่จะเชื่อท่านมากกว่าเชื่อข้าเสียอีก ข้าไปก่อนล่ะ แล้วจะไปพบท่านตามนัดของเรา"
"อืม"
เย่หลีมองเย่หลิงที่เดินจากไปก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย ด้านอนุซ่งเมื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับมาแล้วก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด แม้กระทั่งบาดแผลบนใบหน้านางก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงสาเหตุ เพราะคิดว่าเย่หลิงคงไปถูกใครรังแกมา นางเตือนแล้วเย่หลิงก็ไม่ฟังสำนักศึกษาเหยาหลีเป็นสถานที่เช่นไรเย่หลิงก็รู้ดี คุณหนูที่เข้าไปเรียนล้วนหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้ใดทั้งนั้น
อนุซ่งถอนหายใจออกมา ระยะนี้คล้ายว่าเย่หลีจะแปลกไปกว่าเดิม นางเข้ามาเกี่ยวพันกับเย่หลิงมากขึ้น อีกทั้งแววตาที่มองนางก็แปลกประหลาดจนนางคาดเดาไม่ออก
แววตาที่เหมือนรู้สึกผิดและแฝงเอาไว้ด้วยการไม่ยอมรับและดึงดันนั่นมันคือสิ่งใดกัน!
อยู่ๆนางก็รู้สึกหนาวสะท้านในใจอย่างบอกไม่ถูก
ยามเย็นของวันนั้นเย่หลิงก็มาหาเย่หลีที่เรือนใหญ่ตามนัดจริงๆ เย่หลีสั่งให้คนนำขนมที่เย่หลิงชอบมาให้นางกิน ด้านเย่ฮูหยินนั้นแม้จะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ บ้านสงบร่มเย็นย่อมเป็นเรื่องดีนั่นบ่งบอกว่านางที่เป็นฮูหยินใหญ่จัดการเรือนหลังได้อย่างราบรื่น
อีกอย่างเด็กสาวที่ชื่อเย่หลิงผู้นั้น นางก็รู้สึกถูกชะตาไม่น้อยเลย
ก่อนหน้านี้นางเคยถามเย่หลี ได้ความเพียงว่าเพราะฝันในครั้งนั้นเย่หลีกลัวว่าทุกคนจะตายจากนางไป จึงอยากทำดีกับคนในจวนบ้าง เพราะกลัวความฝันจะเกิดขึ้นจริง เย่หลีบอกว่านางโตแล้วจะทำนิสัยไม่ดีเช่นเดิมก็คงไม่ดีนัก
แม้จะเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก แต่ก็นับเป็นเรื่องดีที่เย่หลีไม่ก่อปัญหา
อีกไม่นานสามีและบุตรชายของนางก็จะกลับมาแล้ว
เย่หลิงอยู่พูดคุยกับเย่หลีไม่นานก็กลับไปพร้อมขนมกล่องใหญ่ เย่หลีเองก็เหนื่อยล้าไม่น้อย นางอาบน้ำเปลี่ยนชุดและไปร่วมกินมื้อเย็นกับเย่ฮูหยิน อีกทั้งยังสั่งให้คนนำอาหารแบ่งไปที่เรือนของอนุซ่งด้วย
กลางดึกคืนนั้นก็มีเสียงกลองดังขึ้นและมีข่าวร้ายจากในวังหลวงว่าองค์ชายรองฟ่านเฉินสวรรคตแล้ว เย่หลีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงนอน พร้อมกับย่นหัวคิ้ว
ฟ่านเฉินตายแล้วจริงหรือ!
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
เหตุใดเรื่องราวในชาตินี้จึงดำเนินไปไม่เหมือนในชาติก่อนเลยเล่า!