ข่าวลือเล่าอ้างยิ่งมากเพียงใด ผู้คนก็ยิ่งสนใจใคร่รู้กันมากเท่านั้น
ภายในจวนตระกูลเย่ยามนี้คล้ายมีคลื่นลมพัดโหมกระหน่ำ
ก่่อนหน้านี้ แม่ทัพเย่ได้รับอนุเพิ่มหนึ่งคน อนุนางนั้นมีนามว่าอนุหลัว ในอดีตนางเคยเคยเป็นสาวใช้ข้างกายของอนุซ่ง
แม้นางจะมีอายุเท่าๆกับอนุซ่งแต่กลับงดงามดูอ่อนเยาว์กว่า เขาถูกใจนางจึงรับนางเข้ามาเป็นอนุอีกคนหนึ่ง เมื่ออนุหลัวได้ก้าวขึ้นมาเป็นอนุก็มักใหญ่ใฝ่สูง นางชื่นชอบอำนาจและเมื่อได้มาอยู่ถึงจุดนี้แน่นอนว่านางไม่ต้องการให้สามีของตนไปแบ่งความรักให้สตรีนางอื่น
กับฮูหยินใหญ่นั้นก็ช่างเถิด นางคงไม่มีความสามารถไปต่อกรกับภรรยาเอกที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ได้ แต่กับอนุซ่งนางสามารถทำได้
อนุหลัวรู้ความลับหนึ่งของอนุซ่ง นางจึงจัดการใช้ความลับนั้นมาเป็นอาวุธทำลายอนุซ่ง
หลายสิบปีก่อน อนุซ่งและฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดบุตรสาวพร้อมกัน เพราะฮูหยินใหญ่ร่างกายอ่อนแอจึงเป็นลมไปและเกิดการตกเลือด แม่นมและหมอต่างเป็นห่วง จึงรีบทำการรักษาและแยกคุณหนูบุตรสาวของฮูหยินใหญ่มาไว้ที่ห้องอุ่น โดยมีสาวใช้คอยดูแล อยู่ๆ สาวใช้นางนั้นก็รู้สึกปวดเบา จึงไปปลดทุกข์ที่ด้านนอกห้องอุ่น นางคิดว่าในจวนแม่ทัพมีการคุ้มกันแน่นหนาย่อมไม่อาจเกิดเรื่องใดได้
อนุซ่งติดสินบนหมอและสาวใช้ ลอบสลับสับเปลี่ยนตัวบุตรสาวของตนกับภรรยาเอก ส่งบุตรที่เกิดจากอนุมาสวมรอยเป็นบุตรของฮูหยินใหญ่ และเอาบุตรสาวของฮูหยินใหญ่มาเลี้ยงในฐานะบุตรอนุสวมรอยเป็นบุตรสาวของตน หลังจากนั้นก็ใช้เงินปิดปากคนพวกนั้น บางคนที่ไม่น่าไว้ใจอนุซ่งก็ส่งคนไปสังหารทิ้งทั้งหมด
เรื่องนี้นางรับรู้ทุกอย่าง จึงลงมือกับอนุซ่งทันที
อนุหลัวบอกกับแม่ทัพใหญ่เย่และเย่ฮูหยินว่า อนุซ่งข่มขู่นางหากนางแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปจะฆ่านางเสีย นางทนเก็บงำมาเป็นเวลานาน ทนโดนอนุซ่งดุด่าทุบตีอยู่ตลอดเพราะกลัวตาย ทั้งอนุซ่งยังขู่นางอีกว่าจะสังหารคนที่บ้านนางจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมา
จนกระทั่งได้รับความเมตตาจากแม่ทัพใหญ่เย่ให้นางได้เป็นอนุ นางจึงตัดสินใจสารภาพและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
แม่ทัพเย่ได้ฟังก็โมโหมากถึงกับสั่งให้โบยตีอนุซ่งอย่างไม่ปรานี แต่ว่านางกลับมีใบหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ก่อนจะทอดสายตามองไปที่อนุหลัวคราหนึ่ง
นังอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่อง!
ด้านเย่ฮูหยินก็เป็นลมไปหลายต่อหลายครั้ง บุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมาราวกับไข่ในหิน รักดั่งแก้วตาดวงใจอย่างเย่หลี แท้จริงแล้วคือบุตรสาวที่เกิดจากอนุซ่ง
ส่วนเย่หลิง เด็กสาวที่นางคิดมาตลอดว่าหน้าตาน่าเอ็นดู นางเคยไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงเอ็นดูบุตรสาวที่เกิดจากอนุซ่งมากถึงเพียงนี้ เพราะแท้จริงแล้วเย่หลิงคือบุตรสาวที่แท้จริงของนาง คือเลือดเนื้อเชื้อไขที่นางคลอดออกมาเอง
เมื่อหมดหนทางแก้ต่างให้ตนเอง อนุซ่งจึงยอมรับสารภาพเรื่องทั้งหมดโดยไม่แม้แต่จะแก้ตัวเลยสักประโยคเดียว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วนางจะแก้ตัวไปก็คงไร้ประโยชน์ มีแต่จะทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากไปกว่าเดิม
เดิมทีหากเป็นเรื่องภายในจวนย่อมหาทางแก้ไขได้ แต่ว่ายามนี้เรื่องราวแพร่สะพัดไปถึงนอกจวนแล้ว เย่ฮูหยินคาดโทษอนุหลัว บอกว่าเพราะนางไม่ยอมบอกให้เร็วกว่านี้เรื่องราวจึงเกินจะแก้ไข อย่างไรก็มีความผิดที่ร่วมปกปิดสมควรถูกรับโทษ อนุหลัวลนลานร้องขอความเป็นธรรม นางถูกจับขังไม่ต่างจากอนุซ่ง
ฟ่านเฉินเมื่อได้ยินเรื่องนี้เขาเองก็ตกใจไม่น้อย เย่หลีไม่ใช่บุตรที่เกิดจากภรรยาเอกแต่คือบุตรของอนุ!
เขายังไม่ทันได้จัดการตัดสินใจจะทำสิ่งใดก็ถูกฮ่องเต้เรียกเข้าวังหลวงเป็นการด่วน เสด็จพ่อให้เขาปลดเย่หลีจากตำแหน่งพระชายาเอก ให้เป็นพระชายารอง อีกทั้งยังให้เขาแต่งกับไป๋ซูฮวา บุตรสาวของจวนราชครูเข้ามาเป็นพระชายาเอกแทน
ฟ่านเฉินไม่อาจทำสิ่งใดได้ เขาจำต้องทำตามรับสั่งของเสด็จพ่อโดยการปลดเย่หลีออกจากตำแหน่งพระชายาเอกเป็นเพียงพระชายารอง ยามนี้อำนาจในมือเขายังมีไม่มากและแผนการก็ยังต้องดำเนินต่อไป หากคิดขัดขืนหรือดึงดันอาจจะเสียแผนการใหญ่ที่วางเอาไว้ได้ เขาจำต้องทำตามไปก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเหตุการณ์เป็นไปในทิศทางนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องคืนสิ่งที่ควรจะเป็นให้กับเจ้าของเดิมเย่หลิงได้ตำแหน่งบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกกลับคืนมา ส่วนเย่หลีก็ต้องกลายเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุเพียงเท่านั้น
ในวันที่เย่หลีกำลังนั่งเหม่อมองหิมะที่ตกโปรยปรายนอกหน้าต่างก็เป็นวันที่มีราชโองการปลดนางออกจากตำแหน่งพระชายาเอกให้เป็นเพียงพระชายารองแทน และอีกไม่นานฟ่านเฉินก็จะแต่งพระชายาเอกคนใหม่เข้าจวน
เรื่องนี้เย่หลีไม่ได้รู้สึกอันใดเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะออกมา รู้สึกว่าโชคชะตาช่างเล่นตลกเสียยิ่งนัก สุดท้ายสิ่งที่นางพยายามมาทั้งหมดกลับสูญเปล่า ไม่เหลืออะไรเลย
นางไม่อยากคาดหวังสิ่งใดแล้วนับตั้งแต่วันนั้นที่นางสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่เหลือหนทางแล้วจริงๆ
มีเพียงเรื่องเดียวที่นางต้องการรู้ นั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลเย่
เย่หลีคิดจะกลับจวนไปสอบถามความจริง เช้าวันต่อมานางจึงไปพบกับฟ่านเฉินที่ห้องหนังสือ เมื่อมาถึงก็พบกับชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ภายในห้อง นางมองเขาด้วยแววตาที่เรียบเฉย หลายวันมานี้นางไม่อยากคาดหวังสิ่งใดจากบุรุษผู้นี้อีกแล้ว
ฟ่านเฉินเงยหน้าขึ้นมามองเย่หลี ก่อนจะถามขึ้นว่า
"มาทำไม"
เย่หลีเค้นเสียงเย็นพลางพูดน้ำเสียงไม่แยแส
"ข้าจะกลับไปที่จวนตระกูลเย่ ท่านอนุญาตด้วย"
ฟ่านเฉินรู้ดีว่าเหตุผลที่นางอยากกลับไปที่จวนตระกูลเย่นั้นเพราะเหตุใด ในส่วนลึกของจิตใจเขาเองก็สงสารนางไม่น้อย จากบุตรสาวภรรยาเอกผู้สูงส่งและงดงามเพรียบพร้อม เพียงชั่วข้ามคืนกลับกลายเป็นเพียงบุตรสาวของอนุและยังถูกปลดออกจากตำแหน่งพระชายาเอก
"เจ้าไปเถิด ข้าจะให้องค์รักษ์ตามเจ้าไปด้วย"
เย่หลีมีสีหน้าไม่พอใจถามเขาอย่างเย็นชา
"ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า ข้าแต่งงานมาเป็นนักโทษ"
ฟ่านเฉินมองนางด้วยแววตาที่วูบไหว แล้วกล่าวตักเตือน
"จำเอาไว้ว่า อย่าเอ่ยเรื่องของข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงรู้ผลที่ตามมาเป็นอย่างดี องค์รักษ์ที่ข้าให้ติดตามเจ้าไป สามารถปลิดชีพพวกเจ้าได้ทุกเวลา"
เย่หลีไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เพียงมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาเฉยเมย ใจของนางบีบรัด นางไม่ต้องการให้ท่านพ่อท่านแม่และทุกคนต้องพบกับจุดจบเช่นนั้น
นางจะทำเช่นไรดี!
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า
“ข้าจะไม่พูด แต่ว่าฟ่านเฉิน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องท่าน”
ฟ่านเฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองนางด้วยแววตาที่เรียบเฉย
“ว่ามา”
“ข้าไม่รู้ว่าท่านคิดจะทำสิ่งใดอยู่ตอนนี้ แต่ว่า ข้าขอใช้ชีวิตของข้าทั้งหมด ติดอยู่ที่นี่ ยอมเป็นวัวเป็นม้า เป็นทาสรับใช้ท่าน แลกกับการที่ท่าน ปล่อยคนในตระกูลข้าไป จะเนรเทศพวกเขาก็ได้ ขอเพียงอย่าสังหารก็พอ ข้าเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว ไม่มีสิ่งใดไปสู้ท่านได้ ขอองค์ชายรองโปรดเมตตาด้วย”
ฟ่านเฉินชะงักไปชั่วขณะ ทว่าไม่ได้พูดสิ่งใดออกไป แน่นอนว่าเย่หลีก็ไม่ได้รั้งรอให้เขาตอบ นางหมุนกายคิดจะเดินออกไป แต่ฟ่านเฉินกลับเอ่ยรั้งนางเอาไว้เสียก่อน
"ช้าก่อน อีกสามวันข้าจะแต่งพระชายาเอกเข้าจวน ยังไม่ได้บอกเจ้าให้รู้"
"เรื่องของท่าน"
เย่หลีไม่ได้หันกลับไปมองฟ่านเฉินเลยด้วยซ้ำ เอ่ยจบนางก็เดินจากไปทันที ฟ่านเฉินมองตามแผ่นหลังของนางไปอย่างไม่คลาดสายตา
เรื่องของท่านอย่างนั้นหรือ!
ฟ่านเฉินส่งเสียงหัวเราะออกมา ในน้ำเสียงนั้นมีทั้งความเยาะหยัน ขมฝาดและไม่มีความสุข
เขาจะให้นางได้เห็น นางจะต้องยอมรับเขา!
เมื่อเย่หลีกลับมาถึงจวนตระกูลเย่ก็ได้ทราบเรื่องทุกอย่าง เย่หลิงได้เข้ามาอยู่ที่เรือนใหญ่แทนนาง ท่านแม่ดูแลเย่หลิงเป็นอย่างดี ส่วนอนุซ่งและอนุหลัวตัวปัญหายามนี้ถูกขังเอาไว้
เย่ฮูหยินเมื่อเห็นว่านางกลับมา นอกจากจะไม่ต่อว่าหรือรังเกียจนางแล้วยังดูแลนางเช่นเดิม นางชอบกินสิ่งใด ชอบทำสิ่งใด ล้วนหามาให้นางทั้งสิ้น เย่หลิงเองก็ไม่ได้เหยียดหยามต่อว่านาง อีกทั้งยังบอกนางด้วยว่า เป็นพี่น้องกันต้องรักกัน นางไม่ถือสาที่เย่หลีเคยทำสิ่งใดเอาไว้ ท่านแม่บอกว่า ควรให้อภัยพี่สาวและดูแลซึ่งกันและกัน
เย่หลีได้ฟังแล้ว นางสมเพชตนเองยิ่งนัก ที่ผ่านมานางวางตนสูงส่งไม่เห็นหัวผู้ใด แต่ทุกอย่างไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนและเป็นความจริง ทุกสิ่งที่นางเคยมีเคยได้เป็นเพียงภาพลวงตาให้นางได้เสพสุขเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็เท่านั้น
ส่วนท่านพ่อและพี่ใหญ่ยามนี้ยังไม่กลับจวน เพราะฝึกทหารอยู่ที่ค่าย เย่หลีหันไปมององค์รักษ์ที่ยืนอยู่ เขามองนางด้วยแววตาที่เย็นเยียบ นางไม่อาจเอ่ยวาจาใดไปมากกว่านี้เพราะเกรงว่าเขาอาจจะลงมือได้ทุกเมื่อ
ทำได้เพียงหาทางส่งจดหมายให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ได้ระวังตัวเอาไว้ นางจะต้องหาทางส่งจดหมายไว้ที่จวนตระกูลเย่ให้ได้
ก่อนกลับนางได้ไปพบกับอนุซ่ง สตรีที่นางเกลียดชังนักหนา แต่แท้จริงแล้วคือมารดาของนาง เย่หลีเอ่ยวาจาใดไม่ออก ระหว่างนางและอนุซ่งเหมือนมีเส้นบางๆกั้นอยู่ นางอยากจะหัวเราะให้กับชะตาชีวิตของตนเองยิ่งนัก นางมองอนุซ่งคราหนึ่ง สตรีวัยกลางคนตรงหน้ายิ้มให้นางอย่างขมขื่น เย่หลีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนั้นและมุ่งหน้ามาที่หน้าประตูจวนตระกูลเย่ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู กลับพบผู้คนที่เดินผ่านไปมามองนางอย่างสมเพช สายตาของคนเหล่านั้นแฝงเอาไว้ด้วยความเหยาะหยันและสมน้ำหน้าดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง บัดนี้เมื่อนางตกต่ำพวกเขากลับมารอซ้ำเติมนาง
“ดูสิ แต่ก่อนนางวางตัวสูงส่งไม่เห็นหัวผู้ใด สุดท้ายเป็นเช่นไรเล่า เป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุ”
“ได้ยินว่ามารดานางปีนเตียงเจ้านาย ทั้งที่ภรรยาเอกช่วยนางมาจากความยากลำบากแท้ๆ เหอะ มารดาเป็นเช่นไรบุตรย่อมเป็นเช่นนั้น!”
“คุณหนูเย่หลิงงดงามเพียบพร้อมจิตใจดี ข้าว่าแล้วเชียวนางน่ะมีสง่าราศี”
“ได้ยินว่านางถูกปลดเป็นชายารอง สมน้ำหน้ายิ่งนัก สุดท้ายก็เดินตามรอยมารดาตนเป็นเมียน้อยผู้อื่น”
คำพูดเหล่านั้นนางได้ยินอย่างชัดเจน เย่หลียิ้มเยาะหยันตนเอง นางน่ารังเกียจสำหรับทุกคนถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางไม่มีแรงจะไปต่อปากต่อคำกับผู้ใดทั้งสิ้น นางเหนื่อยเหลือเกิน
คุณหนูผู้งดงามสูงศักดิ์ที่กดหัวคนอื่น สุดท้ายแล้วเมื่อถอดอาภรณ์สูงศักดิ์ออกก็ไม่นับเป็นอันใด
ก่อนจากกัน อนุซ่งได้เอ่ยกับนางประโยคหนึ่ง
"หลีเอ๋อร์ แม่ขอโทษ แม่เพียงไม่อยากให้เจ้าเป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุ แม่ไม่อยากให้เจ้าเดินเส้นทางเดียวกับแม่ แม่ไม่เสียใจสักวันที่ทำเช่นนี้ ขอเพียงได้เห็นเจ้ามีความสุข มีอำนาจในมือ มีแต่ผู้คนเฝ้าพะเน้าพะนอเอาใจ แม่ก็ยินดีทำทุกอย่างไม่ว่าจะชั่วหรือดี สิ่งที่แม่อยากจะบอกเจ้าอีกอย่างก็คือ อย่าเกลียดชังเย่ฮูหยิน แม่รู้ว่านางรักเจ้าจากใจจริง เย่หลิงเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่คนไม่ดี บุตรสาวที่น่ารักของแม่ เจ้าอย่ามีชีวิตอยู่บนความเกลียดชังและแก่งแย่งอีกเลยนะ หลีเอ๋อร์ แม่ไม่อาจปกป้องเจ้าได้แล้ว หากเลือกได้ แม่ก็คิดว่า แม่ควรจะเลี้ยงเจ้าเอง หากแม่เลี้ยงเจ้าเอง เราสองคนแม่ลูกใช้ชีวิตเช่นนี้ไปก็ไม่ได้ผิดอันใด เจ้าอาจจะไม่กลายเป็นคนที่มีแต่ความริษยาในใจเช่นนี้ใช่หรือไม่ ฮือ แม่ขอโทษ เป็นแม่ที่ทำร้ายเจ้าเอง ฮือ แม่เอง แม่ไม่น่าสลับตัวพวกเจ้าในวันนั้นเลย"
เย่หลีไม่รู้ว่ายามนี้นางรู้สึกต่ออนุซ่งเช่นไร จะเกลียดก็ไม่เท่าแต่ก่อน แต่หากจะให้นางรักเคารพอย่างซาบซึ้งนางก็ยังไม่อาจทำได้ขนาดนั้น หญิงสาวก้าวขาไม่ออก นางยืนให้คนเหล่านั้นดูแคลนด้วยแววตาที่ว่างเปล่า เย่ฮูหยินที่รีบตามออกมาเพราเป็นห่วงบุตรสาวเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้ จะชั่วจะดีเย่หลีก็คือบุตรที่นางเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ เย่หลีเจ็บนางเจ็บยิ่งกว่า เย่ฮูหยินรีบเข้าประคองเย่หลีมากอดเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย
"หลีเอ๋อร์ของแม่ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ เจ้าไม่ต้องกลัว ส่วนพวกเจ้าน่ะช่างบังอาจนักนะ กล้าดีอย่างไรมาต่อว่าบุตรสาวข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่กันแล้วหรือ!"
เย่หลีหันมานางมองเย่ฮูหยินอีกครา ดวงตาคู่สวยมองไปที่เย่หลิงที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาและมองนางด้วยความห่วงใยก็ยิ่งรู้สึกสมเพชตนเองมากขึ้นไปอีก
“ท่านแม่ พวกท่านช่างดีต่อข้ายิ่งนัก ดีเสียจนข้าละอายใจ”
“ไม่ เจ้าอย่าเอ่ยเช่นนี้ รีบเข้าจวนก่อน!”
“ข้าต้องกลับแล้ว ท่านแม่ท่านต้องรักษาตัวด้วย ต้องรักษาตัวนะเจ้าคะ”
เย่หลีส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางอยากเอ่ยมากกว่านี้แต่เมื่อเห็นสายตาที่เย็นเยียบขององค์รักษ์ก็ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากแน่น เย่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น นางรู้สึกว่ามือที่เย่หลีจับนางคล้ายออกแรงมากกว่าปกติ
บุตรสาวต้องการบอกสิ่งใดกับนางหรือไม่!
เย่หลียิ้มให้เย่ฮูหยินอีกครา ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปตามทาง ไม่ยอมนั่งรถม้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า แล้วจึงหันไปมองรอบๆกาย แววตาของนางว่างเปล่าราวกับไร้ชีวิต
ชีวิตของคนเราไม่มีความแน่นอนจริงๆ ก่อนหน้านี้นางยังสูงส่ง มีผู้คนเข้าหาห้อมล้อม เอาใจ แต่ยามนี้ที่นางตกต่ำ ผู้คนที่เคยสรรเสริญเยินยอ นางกลับไม่เห็นแม้แต่เงา
สิ่งที่นางพบเจอในยามนี้มันคือการตอบแทนให้กับการอวดดีของนางใช่หรือไม่
นางไม่หลงเหลือความยินดียินร้ายใดๆอยู่ในใจอีกแล้ว นางไม่หลงเหลือความอยากได้หลงใหลในอำนาจ นางไม่หลงเหลือแม้กระทั่งความกระหายอยากในสิ่งที่เคยอยากได้อยากมีอีกแล้ว
เย่หลีหัวเราะขมขื่นให้กับชีวิตของตนเอง นางมองไปไม่ไกลนักและเห็นผีเสื้อหลายสิบตัวที่กำลังบินผ่านนางไป มันช่างงดงามยิ่งนัก นางพยายามยื่นมือคว้าจับแต่ทว่าพวกมันกลับบินหนีไปไกลจากนาง แต่เมื่อนางหยุดพวกมันกลับบินวนเข้ามาใกล้ๆรอบตัวนาง เย่หลียิ้มออกมาอย่างสิ้นหวังก่อนจะครุ่นคิด
อำนาจ ความสูงส่ง สิ่งที่นางปราถนาทุกอย่างก็เปรียบเสมือนผีเสื้อเหล่านั้น ยิ่งนางวิ่งไล่ตามไขว่คว้ามันมากเพียงใด สุดท้ายพวกมันก็จะยิ่งบินหนีห่างไกลไปจากนางมากขึ้นเรื่อยๆ
บินออกไปไกลแสนไกลจนสุดสายตาจะมองเห็น
สุดท้ายแล้วนางก็ไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
เย่หลียิ้มอย่างอ่อนแรงก่อนจะล้มพับลงไปที่พื้น แต่ทว่าศีรษะของนางยังไม่ทันได้กระแทกพื้นก็มีใครบางคนพุ่งเข้ามารับตัวนางเอาไว้เสียก่อน
ฟ่านเฉินประคองเย่หลีที่ยามนี้หมดสติไปแล้วเอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะปรายตามองเหล่าองค์รักษ์ของตนคราหนึ่ง
"พวกเจ้าดูแลนางเช่นนี้หรือ ข้าฆ่าพวกเจ้าทิ้งดีหรือไม่!"