ตั้งแต่ได้พบกับฟ่านเฉินในวันนั้น เย่หลีก็เฝ้ารอการตอบกลับจากเขาอย่างใจจดใจจ่อ นางรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังไม่น้อยเลย
สามวันต่อมา กลางดึกคืนหนึ่ง ฟ่านเฉินก็ส่งคนนำจดหมายลับมามอบให้กับนาง ในจดหมายบอกแผนการทุกอย่างเอาไว้เสร็จสรรพ รวมถึงสถานที่ที่เขาเตรียมการเอาไว้ก็ค่อนข้างรอบคอบไม่น้อย นางอ่านเนื้อหาในจดหมายโดยละเอียดดวงตาก็ทอประกายความพึงพอใจอย่างเด่นชัด
นับว่านางร่วมมือไม่ผิดคน
เขาทั้งฉลาดและจัดแจงแผนการได้อย่างรอบคอบรัดกุมไม่น้อยเลย
ยิ่งแผนการสำเร็จลุล่วงเท่าใดนางก็ต้องเตรียมรับมือ คนเช่นฟ่านเฉินหากปล่อยเอาไว้ย่อมจะส่งผลร้ายต่อนางในอนาคต เมื่อทุกอย่างลุล่วงนางจะต้องจัดการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม
ฆ่าทิ้งเสีย!
นับแต่ได้รับจดหมายฉบับนั้นมาจากฟ่านเฉิน เย่หลีก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร อีกทั้งยังอารมณ์ดียิ่ง นางใช้ชีวิตปกติ และไม่ได้กลั่นแกล้งเย่หลีเท่าแต่ก่อนอีก
จะเสียเวลาคิดแผนกลั่นแกล้งไปไย อีกไม่นานนางก็จะได้ทุกอย่างดั่งที่ใจของตนเองปรารถนาแล้ว
นางคิดถูกที่ชิงร่วมมือกับฟ่านเฉินก่อน
เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงค่อนข้างจะอบอ้าวขึ้นมาเล็กน้อย วันนี้เย่หลีอารมณ์ดี นางจึงสั่งให้คนไปตามเย่จิ้นอันและเย่หลิงมาร่วมจิบชาชมดอกมู่ตานด้วยกัน เย่จิ้นอันนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ไหนแต่ไรนิสัยของเย่หลีก็เป็นเช่นนี้ นางชื่นชอบความสำราญ ทว่าเย่หลิงนั้นค่อนข้างแปลกใจอยู่ไม่น้อย ร้อยวันพันปีพี่สาวต่างมารดาของนางผู้นี้ไม่เคยอยากจะเห็นหน้านาง แต่วันนี้กลับชวนนางไปนั่งจิบชาชมสวนด้วยกัน
เมื่อคนทั้งสองมาถึงก็พบว่าเย่หลีวันนี้ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษถึงกับให้สาวใช้ทำขนมมาหลายอย่าง
"น้องสาว วันนี้เจ้าไปพบเรื่องเบิกบานใจมาหรือ จึงชวนพวกเรามาร่วมดื่มชาด้วย"
เย่จิ้นอันสอบถามด้วยความสงสัย เย่หลีเงยหน้ามาส่งยิ้มหวานให้ผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะตอบ
"ย่อมมีเรื่องดีแน่นอนเจ้าค่ะ แต่เรื่องดีนี้เป็นความลับของข้าคนเดียว ข้ายังไม่อาจบอกพี่ใหญ่ได้"
เย่หลีเอ่ยไปพร้อมกับยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเหลือบตามองเย่หลิงปราดหนึ่ง เห็นเพียงนางยามนี้กำลังนั่งก้มหน้างุดไม่เอ่ยวาจาใดแม้เพียงครึ่งคำ เย่หลียื่นมือไปหยิบกาชามาเทใส่ถ้วย ก่อนจะส่งให้เย่หลิง เย่หลิงจ้องมองชาในถ้วยนั้นด้วยแววตาที่วูบไหว เย่หลีที่เห็นเช่นนั้นก็เพียงยิ้มก่อนจะกล่าว
"ทำไม คิดว่าข้าจะวางยาเจ้าหรือ เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ได้สนใจแล้วว่าคังอ๋องจะแต่งกับผู้ใด เจ้าอยากได้ก็เอาไปเถิด ในใต้หล้านี้บุรุษที่พึงใจในตัวข้าย่อมมีอีกมาก อีกอย่างข้ากับพี่ใหญ่ก็ดื่มชาในกานี้เช่นเดียวกับเจ้า เจ้าจะกลัวไปไย รีบรับไปสิ"
เย่หลิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มออกมาอย่างฝาดเฝื่อน ก่อนจะรับชาถ้วยนั้นมาดื่ม พบว่ารสชาติดีกว่าชาที่เรือนของนางเสียอีก เย่หลียิ้มอย่างพึงพอใจ ตลอดเวลานางไม่ได้พูดวาจาเหน็บแนมหรือหาเรื่องเย่หลิงเลยแม้แต่น้อย
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามบ่ายแก่ๆ เย่หลิงจึงขอตัวกลับเรือน เพราะมีหมัวมัวในวังหลวงมาสอนเรื่องมรรยาทก่อนจะแต่งงาน เรื่องนี้ฟ่านหลิ่นเป็นคนจัดการให้นาง เขาบอกว่าอยากให้นางเรียนรู้เอาไว้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อวันนั้นมาถึงจะได้ไม่ตื่นเต้น อีกทั้งนางยังต้องเตรียมชุดสำหรับเอาไว้ใช้เข้าพิธีแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้อีกด้วย เย่หลีเพียงพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าแววตาไม่ได้แสดงท่าทางทุกข์ร้อนหรือโมโหโทโสใดใดทั้งสิ้น
เมื่อเย่หลิงจากไปแล้ว เย่จิ้นอันก็ช้อนสายตาขึ้นมามองเย่หลีคราหนึ่ง ก่อนจะยกมือสั่งให้สาวใช้ทั้งหมดออกไป เย่หลีจ้องมองพี่ชายของตนพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วจึงถามขึ้นมาว่า
"พี่ใหญ่ ท่านมีเรื่องสำคัญอะไรหรือ จึงต้องไล่สาวใช้พวกนั้นออกไป"
เย่จิ้นอันจ้องมองน้องสาวของตนที่ยามนี้กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ย
"หลายวันก่อนข้าได้ยินว่าเจ้าพบกับองค์ชายรองที่หอเซียนสุราเมามายหรือ"
เย่หลีที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่มพลันชะงักไปชั่วอึดใจ นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะตอบคำถามผู้เป็นพี่ชาย
"หูตาของพี่ใหญ่นี่ช่างกว้างไกลเสียจริง"
"เจ้าคิดจะทำสิ่งใด"
"ทำสิ่งใดในที่นี้หมายความว่าอย่างไรหรือ ข้าไม่เข้าใจที่พี่ใหญ่พูด"
เย่หลีทำท่าทางไร้เดียงสาเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เย่จิ้นอันถามออกมา เย่จิ้นอันมองน้องสาวด้วยแววตาที่ล้ำลึก มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าเย่หลีหลายวันมานี้มีท่าทางแปลกไป ไม่โวยวาย ไม่เอะอะทุบตีเย่หลิง อีกทั้งยังอารมณ์ดีผิดปกติ ย่อมต้องมีเรื่องที่ทำให้นางเปลี่ยนไปเช่นนี้เป็นแน่
และเรื่องนั้นอาจจะเกี่ยวพันกับองค์ชายรองฟ่านเฉิน
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา แล้วจึงพูดอย่างใจเย็น
"หลีเอ๋อร์ หากเจ้าพบกับเขาโดยบังเอิญและไม่ได้มีเรื่องอื่นต่อจากนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่หากว่ามันไม่ได้จบลงเพียงแค่การพบกันที่หอเซียนสุราเมามายเฉยๆ ข้าก็จะขอเตือนเจ้าสักประโยค องค์ชายรองเป็นบุตรชายของสวีกุ้ยเฟย แต่ไหนแต่ไรสวีกุ้ยเฟยและหนิงฮองเฮาไม่ค่อยจะลงรอยกัน สวีกุ้ยเฟยผู้นี้มักใหญ่ใฝ่สูงเจ้าเล่ห์มากกล บุตรชายของนางก็ย่อมไม่ต่างกัน หากเกิดสิ่งใดขึ้นมาไม่ใช่เพียงแค่เจ้าที่จะเดือดร้อน แต่อาจจะนำพาตระกูลเย่ของเราให้พินาศทั้งตระกูลเจ้าเองรู้ดีแก่ใจว่าที่ท่านพ่อนั้น ไม่เคยเข้าฝักใฝ่ฝ่ายใด ก็เพื่อให้ฝ่าบาททรงสบายพระทัย"
"พอสักที!"
เย่หลียกมือตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยกับเย่จิ้นอันอย่างไม่พอใจ
"ข้ารู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ พี่ใหญ่อย่าสอดมือเข้ามายุ่ง แสร้งทำเป็นว่ารักและห่วงข้า ทุกคนในบ้านนี้ก็เอาใจแต่นังเย่หลิงกันทั้งนั้น แม้แต่คังอ๋องและคนอื่นๆก็ยังเห็นนางเป็นดั่งหยกในฝ่ามือ แล้วข้าเล่า ข้าทำสิ่งใดพวกท่านก็เอาแต่จับผิดข้า ทำไม ข้าจะหาความสุขให้ตนเองเล็กน้อยจะเป็นอันใดไป!"
"หลีเอ๋อร์!"
"เงียบสักที! ต่อไปไม่ต้องมาสนทนากับข้า เชิญท่านไปสนทนากับน้องสาวสุดรักของท่านอย่างนังเย่หลิงเถิด"
กล่าวจบเย่หลีก็เดินกระฟัดกระเฟียดจากไปทันที เย่จิ้นอันถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย เย่หลีถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจนเสียนิสัยจนยากจะแก้ไขเสียแล้ว แรกเริ่มเขาคิดจะส่งคนไปจับตาดูเย่หลีเอาไว้ แต่ในเมื่อนางรู้ทันความคิดนี้ของเขาแล้วย่อมไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก หากเขายังวุ่นวายเรื่องของนางไม่เลิก อาจจะทำให้นางอาละวาดหนักขึ้น
หวังว่านางจะไม่ทำสิ่งใดที่เป็นภัยมาสู่ตระกูลเย่!
วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่จวนคังอ๋องจัดงานเลี้ยงวันประสูติครบรอบอายุยี่สิบเอ็ดปี ฟ่านหลิ่นสั่งให้คนเตรียมสุราอาหารอย่างดีมาให้ทุกคนได้ดื่มกิน ครั้งนี้ฮ่องเต้และหนิงฮองเฮาให้คนนำของมีค่ามากมายส่งมาที่จวนคังอ๋องของเขา
งานเลี้ยงในครั้งนี้จัดขึ้นในยามเย็นเพราะอากาศกำลังดีและไม่ร้อนอบอ้าว ไม่นานก็มีคนเดินทางมาร่วมงานมากมาย ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้คนนำจดหมายไปมอบให้เย่หลิง และนางเองก็ได้ปักถุงหอมที่งดงามประณีตมาให้เขาชิ้นหนึ่ง ข้างในยังใส่เครื่องหอมที่มีกลิ่นหอมสบายมาให้เขาอีกด้วย นางบอกว่านางไม่มีของมีค่าใดจะมอบให้เขา นางมีเพียงถุงหอมและหัวใจที่มั่นคง เขาดีใจยิ่งนัก เขาไม่สนใจว่านางจะมอบสิ่งใดให้ ขอเพียงเป็นของของนางเขาล้วนชื่นชอบทั้งหมด
ฟ่านเฉินมาร่วมงานพร้อมฟ่านจิ้ง ยามนี้น้องชายตัวดีของเขานั้นได้ดื่มสุราจนเมามายไปเสียแล้ว เขาเองไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก แต่ไหนแต่ไรฟ่านจิ้งก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ชายหนุ่มเดินตรงไปหาฟ่านเฉิน ก่อนจะมอบของขวัญให้พี่ชายของตน
"ขอให้เสด็จพี่มีความสุขไร้กังวล นี่เป็นของที่เสด็จแม่ให้ข้านำมามอบให้ท่าน"
ฟ่านหลิ่นมองดูของขวัญในมือของฟ่านเฉิน ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย และยื่นมือมารับของไปเก็บเอาไว้ เขามองน้องชายตรงหน้าด้วยแววตาที่เอื้อเอ็นดูและไม่ได้เคลือบแฝงด้วยความไม่ชอบใจเลยแม้แต่น้อย เขาจำได้ว่าวัยเยาว์ฟ่านเฉินชอบเขามาก มักจะมาเล่นที่ตำหนักของเขา เพราะที่ตำหนักของเขามีตำรามากมาย ฟ่านเฉินชอบอ่านตำรา อีกทั้งยังตัวติดกับเขาเป็นอย่างยิ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นฟ่านเฉินอายุสิบขวบ และฟ่านจิ้งที่อายุแปดปี ได้เดินซุกซนเข้าไปในห้องเก็บตำราเก่าๆท้ายวังหลวง แล้วเผลอทำเชิงเทียนหล่นจนเกิดเพลิงไหม้ ฟ่านเฉินหมดสติอยู่ในกองไฟ เขาเป็นคนช่วยน้องรองและน้องสามออกมา และเพราะครั้งนั้น ทำให้ที่แขนซ้ายของเขามีรอยแผลที่เกิดจากการถูกไฟคลอกเพราะช่วยน้องชายทั้งสอง
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นับจากวันนั้นฟ่านเฉินก็ไม่มาหาเขาอีก เมื่อเริ่มโตขึ้น ฟ่านเฉินกลับหมางเมินเขา อีกทั้งยังมองเขาเป็นศัตรู อีกทั้งยังบอกว่า คนที่ช่วยตนจากไฟไหม้ก็คือน้องสาม ไม่ใช่เขา เขาต่างหากที่ต้องการให้ฟ่านเฉินตายในกองไฟ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเรื่องราวมันจึงกลายเป็นเช่นนี้ เขาเสียใจมากและไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นไร เพราะฟ่านเฉินเองก็ไม่เคยมาหาเขาอีก
แม้จะไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่เขาก็รักพี่น้องทุกคน ไม่เคยคิดจะสังหารหรือทำร้ายเลยแต่น้อย
“เสด็จพี่ท่านมัวเหม่อมองสิ่งใดอยู่หรือ”
เสียงของฟ่านเฉินทำให้ฟ่านหลิ่นได้สติ เขามองน้องชายตนและยิ้มอย่างอ่อนโยน
"ขอบคุณน้องรองมาก"
"ไม่รบกวนให้คังอ๋องผู้สูงส่งลดตัวมาขอบคุณหรอกพ่ะย่ะค่ะ"
ฟ่านเฉินเอ่ยวาจาเหน็บแนมฟ่านหลิ่นพร้อมกับยิ้มอย่างดูแคลน แต่ฟ่านหลิ่นกลับไม่โกรธ ยิ่งฟ่านหลิ่นไม่แสดงท่าทีโกธรเคืองฟ่านเฉินก็ยิ่งเกลียดชังท่าทางเช่นนี้ของเขามากขึ้นไปอีก
วางท่าเป็นคนดีไปเถิด!
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องสนทนากันต่อแล้ว ฟ่านเฉินจึงกลับมานั่งที่ข้างกายฟ่านจิ้งที่ยามนี้เมามายไปเสียแล้ว เขารักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ฟ่านจิ้งไร้เดียงสา ทั้งยังจิตใจดี เขาจะต้องปกป้องน้องชายเอาไว้ให้ได้
ชายหนุ่มมองไปโดยรอบอย่างเบื่อหน่าย ไม่นานนักก็เห็นว่าคนคุ้นเคยมาถึงแล้ว
เย่หลี!