ฝ่ายคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคร้ายเวลานี้เพิ่งโทร.ติดต่อ เพื่อนรักอย่างทัศนัยได้ เพราะอีกฝ่ายเมาแฮงก์อยู่ที่คอนโดฯ สุดหรูใจกลางกรุงฯ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนพามา
“ขนาดว่ากูกลับคอนโดฯ มาได้ยังไงไม่รู้ มึงคิดเหรอว่าคืนนั้นกูจะจำอะไรได้” ทัศนัยตอบคำถามเพื่อน หลังอีกฝ่ายตั้งคำถามว่าคืนนั้นเขาจำอะไรได้บ้างไหม
“เออว่ะ”
“ว่าแต่มึงมีอะไรหรือเปล่า ทำเป๋าตังค์หาย?”
“ทำเป๋าตังค์หายมึงคิดว่ากูเดือดร้อนเหรอไอ้นัย แค่โทร.อายัติบัตรเครดิตทั้งหมดกับทำใบขับขี่และบัตรประชาชนใหม่ แต่ที่ทำกูเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่รู้ว่ากูข่มขืนใครน่ะสิ”
“เหี้ยแล้วไง เด็กป่าววะ” อุทานจบก็ไม่วายตั้งสมมติฐาน
“จับเต็มไม้เต็มมือกูซะขนาดนั้น แถมยังใช้น้ำหอมราคาแพง ไม่น่าจะใช่เด็กว่ะ”
“อย่าประมาทเด็กสมัยนี้ แม่งโตไว เผลอๆ รวยกว่ามึงกับกูเสียอีก”
“คือจะให้กูเข้าคุกให้ได้ว่างั้น” เอ่ยเสียงเครียด แต่ทัศนัยกลับหัวเราะร่วน “ยังจะมาหัวเราะอีก ว่าแต่มึงทำอะไรอยู่”
“ว่าจะถอน มามั้ยวะ ถ้ามึงไม่โทร.มาก่อนกูว่าจะโทร.หามึงพอดี เพราะโทร.หาไอ้อิชย์กับไอ้สิงห์แล้ว แต่พวกมันมาไม่ได้ คนหนึ่งอยู่ฮ่องกงอีกสองวันกลับ อีกคนกำลังตามสืบเรื่องอะไรสักอย่างอยู่แถวแนวตะเข็บชายแดน” ทัศนัยหมายถึงอิชย์กับสิงหนาทเพื่อนสมัยประถมทั้งของเขาและเตชน์ ที่ยังคบหากันจนถึงปัจจุบันนี้
“มึงคิดว่ากูยังมีอารมณ์ดื่มอีกเหรอวะ คืนนั้นยังไม่รู้เลยว่านอนกับสาวที่ไหน อีกอย่างพรุ่งนี้กูต้องไปกินข้าวกับที่บ้านด้วย เกิดเมาปลิ้นเหมือนคืนนั้น ขี้เกียจฟังน้ารัญบ่น ว่าแต่มึงไปกับกูมั้ยวะ” พอถูกชวนทัศนัยก็ส่ายหน้าหวือ ทั้งที่เตชน์เองก็ไม่เห็น ก่อนจะให้คำตอบกับเพื่อน
“โนๆ กูไม่คิดจะไปเฉียดบ้านมึงโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด ถ้าไม่รู้จักกันมานานก็นึกว่าพี่มึงแต่ละคนเป็นศัตรูคู่แค้นกับมึงมาตั้งแต่ชาติปางก่อน กูเห็นแล้วคันมือคันปาก จะทะเลาะกันเปล่าๆ”
“เออกูเข้าใจ ว่าแต่มึงไอ้นัย เอาเวลากินเหล้าไปตามง้อคุณนุชไม่ดีกว่าเหรอ บางทีอะไรๆ ที่มึงเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้”
คำพูดของเตชน์ทำให้ทัศนัยฉุกคิดอะไรขึ้นได้
“งั้นแค่นี้ก่อน กูจะโทร.หาไอ้สิงห์ให้มันสืบเรื่องนี้ให้ ถ้ารู้ว่าไอ้หน้าอ่อนคนนั้นไม่ใช่ผู้ชายคนใหม่ของนุช กูจะยอมไปง้อหล่อน”
เมื่อหาสาระอะไรจากทัศนัยไม่ได้ หลังวางสายเตชน์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะนั่งนึกลำดับเหตุการณ์ของคืนนั้นอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้เห็นภาพอะไรในหัว เสียงโทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้น พอเห็นว่าปลายสายเป็นใครเตชน์ก็กดรับทันที
“สวัสดีครับคุณแม่”
“เตชน์พรุ่งนี้อย่าลืมมาทานข้าวที่บ้านนะลูก” คุณหญิงพิมประภาโทร.มากำชับบุตรชาย แต่เตชน์รู้ดีว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้วคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รัญญานั่นเอง
“ผมไปแน่นอนครับ ไม่เจอคุณแม่มาเกือบเดือนแล้ว คิดถึง”
“ทำปากดีไป ถ้าคิดถึงก็ต้องมาหาแม่บ่อยๆ สิ”
“ที่ผมไม่เข้าไป คุณแม่ก็ทราบดีนี่ครับว่าเป็นเพราะอะไร” พอได้ยินเสียงถอนหายใจของคุณหญิงพิมประภา เตชน์ก็อดสงสารท่านไม่ได้ จึงรับปากออกไป ทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ “เอาเป็นว่าผมจะเข้าไปบ่อยๆ ผมเองก็คิดถึงพี่ต่อเหมือนกัน เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
วันต่อมาเตชน์มาถึงคฤหาสน์ตันติวัฒน์ช้ากว่าเวลาอาหารไปร่วมครึ่งชั่วโมง เนื่องจากมีมอเตอร์ไซค์ขับมาชนท้ายรถของเขา โชคดีว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่สภาพรถของเขามีรอยบุบและรอยถลอก จำเป็นต้องโทร.เรียกประกัน กว่าจะเคลียร์ตรงนั้นเสร็จก็สายอย่างที่เห็น
“สวัสดีครับทุกคน” พนมมือไหว้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ต่อเติมพี่ชายที่พิการทางสมองเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงดีใจที่เห็นเขาเป็นคนแรก ก่อนจะเดินมานั่งที่ประจำของตัวเอง เป็นเก้าอี้ที่จัดไว้ข้างๆ เก้าอี้ของรัญญา
“ไม่รู้จักบริหารเวลา แกจะเป็นผู้บริหารที่ดีได้ยังไงฮึ”
คำทักทายแรกเป็นของใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ของ เติมศักดิ์ ตันติวัฒน์ ผู้เป็นประมุขของบ้าน แต่คนที่หน้าเจื่อนกลับไม่ใช่บุตรชายคนสุดท้องของบ้านอย่างเตชน์ แต่เป็นคนเลี้ยงดูเขาอย่างรัญญา
“ขอโทษคุณพ่อสิเตชน์” รัญญากระซิบบอก เพื่อไม่ให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียด เขาจึงทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ในจังหวะที่หันหน้าไปหาคนที่นั่งหัวโต๊ะ กลับประสานสายตากับไตรทศลูกเมียรองอย่างวารุณี และมีศักดิ์เป็นพี่ชายคนละแม่กับเขา ครั้นเหลือบไปมองคนนั่งข้างๆ อย่างตรีเทพน้องชายของไตรทศกลับเห็นภาพเดียวกัน
ปกติสองคนนี้คอยซ้ำเติมเขาทุกครั้งที่ถูกพ่อดุ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป มุมปากของคนทั้งคู่ยกยิ้มบางๆ ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงไม่เห็น แต่เผอิญว่าเขาเป็นคนช่างสังเกต โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว
นั่นทำให้เขาเปลี่ยนความคิด จากแค่จะกล่าวคำขอโทษกับคนเป็นพ่อ จึงเปลี่ยนเป็นบอกเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมาให้ทุกคนรับรู้
“พอดีว่าระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย มีมอเตอร์ไซค์ขับมาชนท้ายรถผม กว่าจะเคลียร์ตรงนั้นเสร็จผมก็มาสายอย่างที่ทุกคนเห็น”
“ว้าย! แล้วเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าฮึตาเตชน์” เป็นเสียงร้องของคนนั่งข้างๆ ความดังเกือบทำให้แก้วหูเขาแตก
“แน่นหน้าอกครับ” ไม่พูดเปล่า ยังยกมือขึ้นมากุมหน้าอกตำแหน่งเดียวกับหัวใจ
“แล้วทำไมแกไม่ไปโรงพยาบาลก่อนฮึ ตรงมาที่บ้านทำไม” คราวนี้เป็นเสียงของประมุขของบ้าน น้ำเสียงตำหนิแต่กลับเจือความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด นั่นทำให้ใครอีกหลายๆ คนนั่งไม่ติดเก้าอี้
“เตชน์ไปโรงพยาบาลเถอะลูก ไปเช็กให้ละเอียด เดี๋ยวแม่ให้คนขับรถไปส่ง” ตามด้วยเสียงของคุณหญิงพิมประภา ทำให้หลายๆ คนที่นั่งไม่ติดเปลี่ยนมาขมุบขมิบปาก บ้างว่าเตชน์สำออย บ้างว่าเรียกร้องความสนใจจากเติมศักดิ์ เพราะต่างรู้ว่าเตชน์ทำงานไม่ได้ครึ่งของคนอื่น เจ้าสำราญที่หนึ่ง กำลังออดอ้อนขอสมบัติทางอ้อม
ซึ่งในบรรดาพี่น้องต่างไม่มีใครเห็นด้วยที่เตชน์จะหยิบชิ้นปลามันอย่างโฮมไอเดียไป ยกเว้นพี่สาวอย่างต้องตา ใครจะได้อะไรก็ไม่มีผลกับตัวเอง เพราะสมบัติทางบ้านสามีก็แทบไม่มีเวลาบริหารแล้ว
“รัญพาไปเองค่ะคุณหญิง” รัญญาบอกกับคุณหญิงพิมประภา พลางกระวีกระวาดลุกขึ้นก่อนจะฉุดเตชน์ให้ลุกขึ้นตาม แต่ไม่ทันที่คนทั้งคู่จะก้าวเท้าออกไปพ้นโต๊ะอาหาร เสียงของคนนั่งอีกฝั่งก็ดังขึ้น
“แกโตแล้วนะเตชน์ แต่ทำตัวเป็นเด็กไปได้ แทนที่จะโทร.มาบอกที่บ้านแล้วตรงไปโรงพยาบาลก่อน กลับทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ใหญ่เป็นกังวล เป็นแบบนี้แกจะบริหารบริษัทใหญ่ๆ อย่างโฮมไอเดียได้ยังไงฮะ”
“ที่ผมบริหารมาสามปี พี่ไตรเห็นว่ารายได้ลดลงมั้ยล่ะครับ” เตชน์ถามยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ส่งไปถึงดวงตา
“ไม่ลด แต่ก็ไม่เพิ่ม แค่นี้ก็บอกศักยภาพของแกได้ไม่ใช่เหรอ” ตรีเทพเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง ทำให้คนที่เหลืออย่างลูกๆ ของกนกวรรณเมียคนที่สามประกอบไปด้วยเตชิน ติณห์และตวงรัตน์ต่างก็คล้อยตาม พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“ไม่เคยได้ยินเหรอครับว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว พวกพี่ก็ให้เวลาผมหน่อยสิ” น้องคนสุดท้องที่มีอายุห่างจากบรรดาพี่ๆ ไม่ต่ำกว่าสิบปีโต้กลับไปอย่างไม่ยอม
“หยุดเถียงกันได้แล้ว ใครจะได้อะไรไปอยู่ที่ฉันเป็นคนพิจารณา ส่วนแกก็รีบไปโรงพยาบาล ไปตรวจให้ละเอียด”
คำสั่งของผู้เป็นประมุขถือว่าเด็ดขาด จากนั้นเตชน์และรัญญาก็พากันออกจากบ้านตันติวัฒน์ ทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง แต่ไม่ทันจะถึงโรงพยาบาล เตชน์ก็บอกให้รัญญาหยุดรถ
“หยุดรถก่อนครับน้ารัญ”
“จะ เจ็บเหรอ อีกนิดเดียวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว ทนหน่อยนะตาเตชน์”
“เปล่าครับ ไม่ได้เจ็บอะไรทั้งนั้นแหละ แล้วก็ขอบคุณนะครับที่ออกมาส่งผม” พูดจบก็เปิดประตูรถของตัวเองที่รัญญาเป็นคนขับ แต่ไม่ทันจะพาตัวออกไป กลับถูกมือบางของคนนั่งหลังพวงมาลัยจับหมับเข้าที่หัวไหล่บึกบึน
“นี่อย่าบอกนะว่าหลอกทุกคนว่าเจ็บ”
“ถ้าไม่หลอก ผมจะได้ออกมาเหรอ” พูดพร้อมกับสะบัดไหล่ เตชน์ไม่รอให้รัญญาคว้าตัวเขาได้อีก รีบเปิดประตูรถลงไป ประจวบเหมาะว่าแท็กซี่ขับผ่านมาพอดีก็รีบโบกและบอกให้โชเฟอร์ขับออกไปทันที ปล่อยให้รัญญานั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในรถหรูตามลำพัง
“เตชน์นะเตชน์ เจ้าเล่ห์เหมือนใครเนี่ย”