ตอนที่ 20

3358 คำ
มารดาของปยุดาดูกังวลกับภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งลูกสาวปิด บังโดยไม่คิดจะมารายงานหรือบอกเล่าอะไร ผู้ชายคนนั้นเป็นใครทำไมถึงไม่แจ้งความให้ตำรวจมาจัดการ จะมีสักกี่ครั้งที่ปยุดาจะโชคดีรอดผ่านมาได้หากเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นมาอีก “ทำไมถึงยังปล่อยไว้” มารดาพูดเสียงเข้ม “มันเรื่องเข้าใจผิดกันค่ะ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” ปยุดาบอก “มีอะไรอีกไหมที่แม่ควรจะรู้” มารดาถาม “ยุ่งขอเวลาหน่อยค่ะ จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลย” ปยุดาบอก “เอาคนของเราไปไหนมาไหนด้วย ตามห่างๆ” มารดาพูดเสียงเข้มและทำท่าจะดุ เพราะท่าทางนิ่งๆ ของลูกสาว “ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งคะ” ปยุดาบอก “ไม่อย่างนั้น แม่จะให้เจตน์คอยดูแลนะ” มารดาพูดจบไม่ยอมฟังอะไรอีก ไม่ให้โอกาสได้เลือกกลับไปที่คนของมารดา “แม่อะ” ปยุดาบ่นพึมพำ ตุลย์ไปช่วยงานกลุ่มนักศึกษา ซึ่งอันที่จริงหวังว่า จะได้พบกรวิกา แต่เมื่อไม่พบ หากจะกลับเลยคงดูไม่ดีนัก จึงเลือกที่จะช่วยเป็นลูกมือให้กับนักศึกษาที่ทำงานกันอยู่ “เอารถไปจอดแอบที่อื่นก่อน” ภูดิทบอกกรวิกา ซึ่งไม่อยากหลีกเลี่ยงอยากจัดการให้เรียบร้อย ไม่อยากให้ตุลย์ไปวุ่นวายกับปยุดาอีก “กร ขอไปคุยก่อนนะ เรื่องอื่นๆ ไว้ค่อยว่ากัน เขตวัดคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” กรวิกาบอก “นางกร แกจะบ้าหรือไง” ภูดิทพูดต่อว่า แต่กรวิกาไม่ยอมฟังเดินตรงเข้าไปบริเวณอุโบสถ เมื่อตุลย์เห็นเข้าจึงเดินยิ้มออกมาหา “นึกว่าไม่เจอเสียแล้ว” ตุลย์พูดคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มีอะไรคะ” กรวิกาถาม ตุลย์จึงหยิบกล่องแหวนออกมา “พี่ขอโทษที่ทำไม่ดีและพูดจาไม่ดีออกไป อยากให้ กร ยกโทษให้” “พี่ตุลย์ทำอะไรเอาไว้มากกว่าที่ กร เห็น หรือเปล่าคะ มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าที่ กร ยังไม่รู้” กรวิกาถามตุลย์ที่แสร้งทำท่าคิด “ไม่มีนะ มีใครปากมากไปเล่าเรื่องโกหกอะไรให้ กร ฟังล่ะ” “ตกลง ตัวตนจริงๆ ของพี่ตุลย์เป็นแบบไหน กร อยากรู้” กรวิกาไม่อยากจะเชื่อว่า จะได้ยินตุลย์พูดออกมาด้วยการโยนความผิดให้กับคนอื่น “กร นั่นแหละเป็นแบบไหน หวงเนื้อ หวงตัว แล้วจริงๆ น่ะ ไปนอนกับใครมาบ้าง หญิงก็ได้ ชายก็ดีอย่างนั้นหรือเปล่า” ตุลย์พูดคล้ายกระซิบและดึงตัวกรวิกาออกมาทางท่าน้ำ ภูดิทตามมาดูอยู่ห่างๆ “รู้อย่างนั้นแล้วทำไมถึงยังตามมาคะ” กรวิกาพูดเสียงเข้ม “จะว่าไป อยู่กันสามคนก็ดีนะ อยู่รวมกันเพลินๆ ดี” ตุลย์สะแหยะยิ้มได้กวนโมโห แต่ที่ทำให้กรวิกาโมโหก็คือ การพูดพาดพึงไป ถึงปยุดา “คุยเรื่องของเราค่ะ อย่าพาดพิงคนอื่น” “ไม่ใช่คนอื่นแล้วมั้ง พี่ก็นัวเนียในห้องเดียวกันกับ กร นั่นแหละ หรือแม่คนนั้นไม่ได้เล่าให้ฟัง” ตุลย์คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า จึงเริ่มพูดแพร่งพรายออกมา เพราะคิดว่า ปยุดาไม่กล้าเล่าให้กรวิกาฟัง “เรื่องแย่ๆ มันปิดไม่ค่อยมิดจริงๆ” กรวิกาพูดต่อว่า “พี่เจ็บ กรก็จะเจ็บด้วย เพราะถ้าคนที่กรรักเจ็บ มันจะเจ็บกว่าที่พี่เจ็บเยอะ รู้เอาไว้ด้วยนะ” ตุลย์เริ่มแสดงอารมณ์โกรธออกมา “ได้ค่ะ ถ้าท้ารบขนาดนี้ แม่พี่ตุลย์ควรรับทราบเอาไว้ก่อน เผื่อลูกชายเป็นอะไรไปจะมาโทษ กร ไม่ได้” กรวิการู้สึกว่า ยิ่งนาน วัน ความเป็นตัวตนของตุลย์ยิ่งค่อยๆ เผยออกมา ยิ่งโมโห ยิ่งแสดงความร้ายกาจออกมาให้เห็นชัด ทั้งๆ ที่เคยรู้จากมารดาของตุลย์ว่า ลูกชายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง กรวิกาไม่คิดว่า จะมากมายถึงขนาดที่จะไม่สนใจใคร ถึงกับเลือกที่จะทำร้ายร่างกายผู้หญิง รวมถึงตัวเธอที่ตุลย์บอกว่ารักต่อหน้าครอบครัวต่อหน้ามารดาของตัวเอง “อย่ามาขู่ อย่างไรแม่ก็ฟังสิ่งที่พี่พูดอยู่แล้ว ว่าที่ลูกสะใภ้เป็นชู้กับผู้หญิง กรคิดว่า แม่จะเชื่ออย่างนั้นหรือ” ตุลย์สาธยายแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ “ได้ค่ะ วงจรปิดที่สตูดิโอชัดพอที่จะให้แม่พี่ตุลย์เข้าใจลูกชายค่ะ” “ได้ ถ้าอยากจะงัดข้อกันขนาดนี้ เห็นยายยุ่งวุ่นวายนั่นดีกว่าพี่ล่ะก็อย่าได้หวังว่า จะได้มีความสุขด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ พี่ไม่มี ความสุขผู้หญิงอย่างเธอก็ไม่ควรจะมี” ตุลย์ขยับเข้ามาใกล้ๆ ภูดิทรีบวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้ “กรสู้ไม่ได้ แต่ ภู กับเด็กพวกนั้นพร้อมสู้นะ” ภูดิทบอกทำให้ตุลย์หันไปมองกลุ่มนักศึกษาและปกป้อง ซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลัง “ภู ขอคุยอีกสักครู่ ไม่มีอะไรหรอก” “บ้าหรือไง คุยกับหมาบ้าน่ะนะ” ภูดิทพูดเสียงเข้มไม่สนใจตุลย์ที่ทำท่าจะเดินเข้าหา แต่ปกป้องเข้ามาขวางเอาไว้ “ถ้าแตะ พี่กร แม้เพียงปลายเล็บ นายโดนแน่” ปกป้องบอกกับตุลย์ทำเอากรวิกากับภูดิทหันมามองสบตากัน ตุลย์เองยังแปลก ใจ เพราะปกป้องไม่เคยมีความร้ายกาจอะไรให้เห็นมาก่อนเลย “ขอบใจป้อง เดี๋ยวพี่จัดการเอง” กรวิกาเดินมาตบไหล่ปกป้องซึ่งเดินไปยืนอยู่ไม่ไกลนัก “องครักษ์เยอะนะ” ตุลย์เอามือกอดอกยืนยิ้ม แถมยังหันไปยิ้มทางด้านหลัง ซึ่งมีหนุ่มๆ หลายคนยืนดูอยู่ “ต้องทำอย่างไร เรื่องวุ่นวายทั้งหมดถึงจะจบลง โดยไม่มีใครเจ็บตัวหรือต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนกับการกระทำของพี่อีก” กรวิกา ถาม เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้สิ่งที่ตุลย์ต้องการ คือ อะไรกันแน่ “เลิกยุ่งกับยายคนนั้นซะ” ตุลย์บอก “พี่ตุลย์จะเลิกไปวุ่นวายกับ ยุ่ง หรือเปล่า” กรวิกาถามและไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด “ยังไม่จบ กรต้องแต่งงานกับพี่ ใครจะทิ้งธนาคารส่วนตัวไปได้ล่ะ เราน่ะเขียนภาพๆ เดียว คนบางคนหาทั้งชีวิตยังไม่ได้เลย” ตุลย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รู้สึกมีชัย เมื่อกรวิกานิ่งไป “อยากได้เท่าไร” กรวิกาถามตามตรง “เสียเวลามาหลายปี ก็ต้องตักตวงกันหน่อยไหม หรือจะให้กลับไปวอแวป่วนๆ ให้แม่กิ๊กเจ้าของร้านเครื่องประดับปวดหัว ไม่สบายใจ ก็ได้นะ” ตุลย์ยิ้มเยาะ กรวิกาส่ายหน้าสุดท้ายความเป็นตัวตนของตุลย์ก็เผยออกมาให้เห็น เพราะถ้าขืนใครมาบอก กรวิกาคงไม่ปักใจเชื่อเหมือนตอนนี้แน่ “เท่าไหร่” กรวิกาถาม “แต่งงาน จดทะเบียน อันนั้นตัวเลขจะมากมาย จนน่าพอใจมาก กว่านะ” ตุลย์ทำเป็นพูดกระซิบกระซาบเหมือนกลัวว่าจะมีใคร ได้ยิน “จะมีอะไรมาพิสูจน์ได้ล่ะว่า ไม่ได้พูดพล่อยๆ น่ะ” “ด้วยเกียรติ์ของลูกผู้ชายเลยนะ” ตุลย์ยิ้ม รู้สึกมีชัยเมื่อสิ่งที่ตัวเองพูดต่อรองดูเหมือนกรวิกาจะยินยอมแต่โดยดี “ได้ค่ะ ยังพอมีเวลาที่ กร จะไปเรียนป้องกันตัวกับซ้อมยิงปืน” “ไม่น่าจะทันนะ ให้เวลาไม่เกินสามเดือน ฤกษ์แต่งงานพร้อมแล้ว” ตุลย์บอกทำเอากรวิกาถอนใจไม่คิดว่า ตุลย์จะมีแผนการเตรียมไว้ขนาดนี้ คนเราทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองมุ่งหวังสินะ ทำไมกรวิกาไม่เคยมองออกเลยว่า ผู้ชายคนนี้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ หากไม่มีเรื่องของปยุดาเข้ามาจะมีโอกาสเห็นตัวตนของผู้ชายที่กรวิกาคิดว่า น่าจะแต่งงานด้วยได้และใช้ชีวิตรว่มกันอย่างมี ความสุข “ได้ค่ะ แจ้งวันให้ทราบด้วย กร จะได้เตรียมตัว” กรวิกาบอก “ถ้าไปคุยแล้ว ไม่ยอมเลิกยุ่งล่ะก็ แบ่งปันกันได้นะ มีเมียสองคนคุ้มจะตายไป” ตุลย์กระซิบกระซาบอีกครั้ง กรวิกาเงื้อมมือทำ ท่าจะชกแต่ยั้งใจเอาไว้ได้ “เป็นผู้ชายหรือเปล่าว๊ะ” กรวิกาสบถ ตุลย์ยิ้มยักไหล่ด้วยทาทีกวนๆ ก่อนที่จะขึ้นรถแล้วขับออกไป “ไม่อยากจะเชื่อเลย” ปกป้องรำพึงออกมาเบาๆ กลุ่มนักศึกษาผู้ชายส่ายหน้าก่อนที่จะกลับเข้าไปทำงานกันต่อ “ตกลงว่าไง ได้ยินไม่ชัด” ภูดิทถาม กรวิกาจึงเปิดโทรศัพท์ซึ่งอัด เสียงเอาไว้ทั้งหมด ตุลย์กับปกป้องได้ยินเข้าถึงกับพึมพำ “รู้งี้ ซ้อมให้น่วมดีกว่า” ภูดิทบอก “ผมไม่เข้าใจ ไม่เห็นต้องไปแต่งงานเลยครับ ถ้าพี่กรไม่อยากแต่ง อยู่กับผมกับแม่ ผมดูแลพี่กรได้ อีกอย่างแถวนี้มีอาสาสมัคร ผลัดเปลี่ยนเวรยามดูแลกันและกันอยู่แล้ว รับรองได้ว่า นายนั่นน่ะ ทำอะไรพี่กรไม่ได้แน่” กรวิกายิ้มให้ปกป้องนึกขอบคุณในความ ห่วงใยที่มีให้ “ขอบใจ บางเรื่องคนเราก็ต้องรับผิดชอบนะ เขาอยากได้เงินทองไม่ได้อยากได้ตัวเรา แล้วไอ้เงินทองน่ะ แต่งงานไปก็ไม่มีสินสมรสให้เพราะทุกบาททุกสตางค์เป็นชื่อแม่ทั้งหมด เสนอเงินให้ดีๆ ไม่เอาก็ไม่ต้องได้อะไร” กรวิกาบอกทำเอาทั้งปกป้องกับภูดิทอึ้งไปกันใหญ่ “แต่ต้องแต่งงาน เสี่ยงไปนะ” ภูดิทพูดขึ้น “กร ไม่อยากให้ ยุ่ง ต้องมาวุ่นวาย เพราะ กร เป็นสาเหตุ ถ้าไม่รู้จักยุ่ง พี่ตุลย์คงไม่ไปวุ่นวายอะไรด้วย” กรวิกาบอกกับภูดิทกับ ปกป้องซึ่งไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไรนัก “วิธีอื่นมีถมไป มีเพื่อน มีน้องไว้ทำไม ใช่ไหมนายป้อง” ภูดิทบอก “ครับ เราหาทางช่วยกันได้ครับ เพื่อนผมนอนที่บ้านหลายคนไม่ต้องห่วงครับ พี่กรอยู่ที่บ้านเช่าได้สบายมาก” ปกป้องบอก กรวิ กามีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ยิ่งมีความห่วงใยจากคนรอบตัวมากเท่าไร กลับทำให้รู้สึกว่า ตัวเองเป็นตัวนำพาปัญหาและความกังวลใจมาสู่ คนที่รักและหวังดีมากเท่านั้น “คงไม่มีอะไรหรอก เพราะคุยกันรู้เรื่องแล้ว” กรวิกาอยากให้ทุกคนไม่ต้องกังวลใจมากนัก “อย่าคิดมาก หล่อนไม่ใช่ปัญหา คนสร้างปัญหาคือผู้ชายคนนั้น” “แต่ กร พาผู้ชายคนนั้นเข้ามาในชีวิตนะ ภู” “แม่เคยบอกว่า คนบางคนมีเปลือกห่อหุ้มเอาไว้หนามากครับ ไม่มีทางดูออก จนกว่าเขาจะเผยตัวตนออกมา เขาเป็นคนดีมา ตลอดหลายปี พี่กรไม่ได้ผิดอะไรหรอกครับ ผมคิดว่าโชคดีเสียอีกที่ได้รู้ว่าเขาเป็นอย่างนี้ เกิดแต่งงานไปแล้วเพิ่งมารู้ทีหลัง อาจจะ ทำให้พี่กรไม่สบายใจมากกว่านี้” “ขอบใจ ป้องดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากนะ รู้ตัวไหม” กรวิกาตบบ่าปกป้องเบาๆ และยิ้มให้ภูดิท “ไป พาฉันไปดูงานของลูกค้าของฉันได้แล้วค่ะ จะได้รายงานเพราะตกลงเซ็นสัญญาเรื่องงานกับฉันแล้ว สบายใจ ต้องมากดดัน หล่อนแล้วล่ะ” ภูดิทชวนเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “มาดูงาน หรือจะไปขอข้าวแม่ป้องกินกันแน่” กรวิกาพูดแหย่ “สองอย่างเลย ซื้อเสื้อกับผ้านุ่งสวยๆ มาฝากแม่ป้องด้วย” “มีของกำนัล หมั่นไส้” กรวิกาหัวเราะ “ผมพายเรือไปส่งให้ครับ” ปกป้องบอก สองสามวันที่ไม่ได้พบหรือพูดคุยกัน เพราะกรวิกาไม่รับสายแม้จะมีข้อความส่งไปบ้าง ปยุดาจึงถามไถ่เอาจากภูดิทซึ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนที่ตุลย์ไปรอพบที่วัดขอคืนดีท่าทางของกรวิกาอาจจะใจอ่อน ปยุดายิ้มจางลงหลังจากพูดคุยกับภูดิท ถึงแม้ตุลย์จะร้ายกาจ แต่ช่วงเวลาที่ได้รู้จักและคบหากันมานานหลายปีคงทำให้เกิดความผูกพันกัน “เหนื่อยหรือ เบื่อ ดูทำหน้าเข้าสิ” เจตน์ถาม “รวมๆ กันค่ะ” ปยุดายิ้มจางๆ “คิดถึงก็ไปหาสิคะ พี่ขับตามไปส่ง อยากเห็นบรรยากาศอยู่เหมือน กันไปนอนค้างสักคืนสองคืน แม่คงไม่ว่าอะไร อีกอย่างแม่ น่ะเอ็นดู กร จะตายไป” เจตน์บอกทำให้ปยุดามีรอยยิ้มชัดเจนมากขึ้น “แต่แม่รู้ว่า คุณตุลย์ เป็นแฟน กร น่ะสิคะ” “ไม่เกี่ยวกันนะ กร คงเลิกคบแล้วมั้งป่านนี้” เจตน์หัวเราะ “ไม่นี่นา เท่าที่รู้เหมือนจะดีกันแล้ว” ปยุดาบอกเสียงอ่อยๆ “เวลาเขาอยู่ด้วยกัน เขาอาจจะดีต่อกันก็ได้ เราไม่รู้หรอกนะว่าแต่ละคนชีวิตเขาเป็นอย่างไร ถึงแม้เป็นเพื่อนสนิทกันก็ตาม” เจตน์เปลี่ยนแปลงไปมากดูเข้าใจผู้คนมากขึ้น ผิดกับตอนที่คบหาเป็นคนรักกัน ซึ่งมีเรื่องให้พูดจาไม่เข้าหูกันอยู่ตลอด คงเป็นเพราะ ความเป็นคุณหนูด้วยกันทั้งคู่ จึงทำให้ไม่มีใครยอมใคร แต่เมื่อเวลาผ่านไปคงทำให้คนเราโตขึ้น เข้าใจผู้คนและโลกมากขึ้น “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ” “ตกลงอย่างไร เป็นห่วงก็ไปถามข่าวคราวด้วยตัวเอง กรท่าทางจะติสท์นะ โทรศัพท์ไปไม่รับ แถมไม่โทรฯ กลับด้วย” เจตน์ หัวเราะ เมื่อเห็น ปยุดาทำหน้ายุ่งอยู่ “เคยได้ยินเรื่องโลกส่วนตัวสูง ยุ่งว่า ยุ่งเองก็โคตรสูง รายนั้นน่ะสู๊ง สูงมากมายก่ายกอง” ปยุดายิ้มๆ ไม่รู้ว่าที่พูดบ่นไป จะไป แว่วเข้าหูเจ้าตัวบ้างหรือไม่ อยากให้ได้ยินจริงๆ “แค่พูดถึงยังยิ้มได้เลย ไปเลยไหมล่ะ โทรฯ ไปบอกคุณแม่ไว้ก่อนเลย” เจตน์หัวเราะ เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของปยุดา ซึ่งคล้ายเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่บอกจะพาไปเที่ยวอย่างไรอย่างนั้น “พี่เจตน์กลับมาคราวนี้ เหมือนคนละคนเลยนะ” ปยุดาหันมายิ้มให้กับเจตน์ที่แกล้งทำเป็นขยิบตาให้ “ใจอ่อนยังล่ะ จะได้เป็นแฟนกันอีกครั้ง” เจตน์หัวเราะ ปยุดายิ้มอายๆ ไม่น่าพูดชมไปเลย คำถามเลยวกกลับมาเข้าตัว “ยังใจแข็งค่ะ” ปยุดายิ้มและรีบโทรศัพท์ไปแจ้งกับมารดาที่อนุญาตโดยไม่ได้ถามอะไรมากมายนัก อาจจะเพราะผ่านมาหลาย วันไม่ได้มีปัญหาหรือความวุ่นวายอะไรและยังมีเจตน์คอยช่วยดูแล ท่านคงสบายใจขึ้น เพราะตามปกติไม่ค่อยได้ตามติดหรือจู้จี้กับลูก สาวมากนัก “ฝากบอก ยายกร ด้วยนะ ว่าแม่เป็นห่วง” มารดาฝากความห่วงใยไปกับลูกสาวที่มีรอยยิ้มกว้างเสียจนเจตน์อดที่จะขำไม่ได้ “ขอมาเป็นลูกอีกคนเลยไหมล่ะคะ จะบอกให้” “ดีเหมือนกันนะ ฉันจะได้เป็นแม่ของเศรษฐีเลยล่ะ ไม่อยากจะคิด” มารดาหัวเราะ “โอ้โห ออกนอกหน้ามาก เอาไว้จะชวนไปเยี่ยมแม่ที่บ้านนะคะ” “ไว้ฉันชวนไปงานแสดงภาพเขียนดีกว่า ฝากบอกด้วยแล้วกัน มีกรไปด้วยรับรองได้ว่า แม่คงสนุกและมีความสุข ถึงจะวาดรูปไม่ได้แต่ก็ใจรัก” ปยุดาดีใจที่มารดายังคงเอ็นดูกรวิกา ถึงแม้คนรักของกรวิกาจะมาวุ่นวายจนเกิดเรื่องเกิดราว มารดาบอกว่า ไม่เกี่ยวกัน ต้องแยกจากกันเพราะเป็นคนละคน บ่นว่าเสียดายหากกรวิกาจะแต่งงานไปกับตุลย์จริงๆ ท่านยังออกปากเลยว่า จะหาหนุ่มมาดูตัวกรวิ กา ซึ่งไม่น่าจะหายาก ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเสียมากกว่า “คนเอ็นดูเยอะแยะไปหมดนะ น่าหมั่นไส้” ปยุดายิ้มๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับก่อนกรวิกา และข้อความที่ส่งเข้ามาในโทรศัพท์ทำให้ ปยุดายิ่งรู้สึกได้ว่า ความคิดถึงมีมากมายเป็นทวีคูณ “น่ารักใช่ไหม ถึงได้หมั่นไส้” กรวิกาส่งข้อความทั้งๆ ที่เงียบหายไปหลายวัน เพราะเสียงแว่วๆ ที่ได้ยิน ไม่รู้คิดบ้าบออะไร บางทีอาจจะเป็นเพียงความคิดถึงจึงทำให้ได้ยินเสียงของปยุดาก็ได้ “นินทาตั้งเยอะ ได้ยินนิดเดียว คิดถึงมากแค่ไหนรู้ตัวบ้างไหม งอน” ปยุดาพิมพข้อความค่อนข้างยาวและเห็นด้วยว่า กรวิกาอ่าน เฝ้ารอข้อความตอบกลับ แต่เงียบหายไป ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะอีกสักพักจะได้เจอกัน “หุบได้แล้วยิ้มน่ะ เออพี่ไปนอนค้างด้วยได้หรือเปล่า ควรชวนนายภูด้วยไหม” เจตน์ถาม เพราะถ้ามีชายหนุ่มไปด้วยคงจะดีกว่า “ได้ค่ะ บ้านกรมีสองห้องนอน” ปยุดาแอบมีแววตาวิบวับ แต่เจตน์ไม่ทันสังเกต “ถ้าอย่างนั้นโทรศัพท์ไปชวน นายภู ด้วยดีกว่า” เจตน์บอกปยุดาที่พยักหน้าเห็นด้วย ภูดิทรีบตอบรับในทันที แถมยังนัดหมายกันซื้อของสำหรับเตรียมไปรับประทานคล้ายดั่งจะไปเที่ยวกันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่สถาน ที่นั้นอยู่ติดกับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรมาก เจตน์ยิ้มๆ กับความน่ารักและความมีน้ำใจของปยุดา เพราะของมากมายที่ช่วยกันซื้อมา ส่วนใหญ่เป็นของที่นำมาฝากมารดาของปกป้องทั้ง นั้นแอบได้ยินมาว่า มารดาของปกป้องทำอาหารได้หลายอย่าง และอร่อยมากเสียด้วย เบียร์เย็นๆ กับอาหารพื้นบ้าน ทั่วไป แค่คิดก็ทำให้เจตน์ยิ้มกว้างมากขึ้น แถมยังมีมิตรที่ร่วมวงด้วยอีก “ว่าแต่ ยุ่ง ยิ้มกว้าง พี่เจตน์เองก็เหอะ ยิ้มจนปากจะฉีกแล้ว” ปยุดาบอกกับเจตน์ที่หัวเราะออกมา “นายภูสิ เล่าเรื่องฝีมือทำอาหารของแม่ป้องให้ฟัง พี่เลยมโนไปถึงอาหารอร่อยกับเบียร์เย็นๆ ชานบ้านลมพัดเย็นสบาย นี่แค่ ฟังเล่ามานะ ยิ้มยังกว้างไปถึงไหน ถึงไหนแล้ว” เจตน์หัวเราะ “คิดเสียว่า เยี่ยมบ้านศิลปินก็แล้วกันค่ะ ดีจริง ยุ่ง การันตีอีกคน” “คืนนี้คงครื้นเครง มีเด็กๆ เพื่อนนายป้องอีกโขยง นายภูโทรศัพท์ไปบอกเอาไว้ให้เลิกงานกันเร็วหน่อย” เจตน์หันมายิ้มให้ปยุ ดา “นึกว่ายังติดบรรยากาศหรูๆ ท่ามกลางผู้คนไฮโซ ยามค่ำคืนบนตึกระฟ้าเสียอีกนะคะ” ปยุดาพูดแหย่ “แก่แล้วมั้งคะ ความเรียบง่ายกับมิตรภาพดีๆ บางทีมีค่ามากมายเสียกว่าแก้วแหวนเงินทองอีกนะ ยุ่งคงรู้ว่าคุณหนูอย่างพวกเรา หามิตรภาพที่จริงใจค่อนข้างยาก แต่ก็นะ นักธุรกิจกันทั้งนั้น” เจตน์บอก “เอ๊า ยุ่ง ก็ไม่ใช่มิตรที่ดีสิ” “ดีมาก ดีจนทำให้พี่รู้สึกผิดที่เคยทำให้ ยุ่ง เสียใจ” “ตอนนั้นเรายังเด็กกันอยู่เลยค่ะ ดีใจนะที่พี่เจตน์กลับมา” ปยุดาบอกเจตน์หันมาเอามือทาบทับไปที่ศีรษะของปยุดา หลังจากจอดรถยนต์อยู่ไม่ไกลจากท่าน้ำของบริเวณวัดมากนัก กรวิกายิ้มน้อยๆ มองดูสองหนุ่มสาว ที่ยังคงหยอกล้อกันอยู่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม