“มานี่มา” ปยุดาเข้าสวมกอดคนที่นั่งเงียบมาตลอดทางตั้งแต่สตูดิโอจนกระทั่งมาถึงคอนโดมีเนียม
“กรไม่ได้เป็นอะไรนะ” กรวิกาพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนักด้วยความที่ไม่อยากให้ปยุดาไม่สบายใจไปด้วย จึงเลือกที่จะบอกตัวเองและบอกคนอื่นๆ ว่าไม่ได้เป็นอะไร
“เค้าไม่ได้ปลอบตัว แต่อยากให้ตัวปลอบเค้า ให้ไวอย่ายึกยัก”
“เข้าใจผิดสิเนี่ย นึกว่าเป็นห่วง” กรวิกาส่ายหน้าและสวมกอดปยุดาเอาไว้
“ห่วงสิ ห่วงมาก นอกจากแม่แล้ว ไม่เคยห่วงใครเท่าตัวมาก่อนเลยนะ ทำไมไม่รู้เหมือนกัน แต่เค้าดีใจนะที่สามารถปกป้องตัว
ได้”
“มันตรายไปนะ” กรวิกาบอกคลายอ้อมกอดออกจ้องมองแววตาที่มีความมุ่งมั่นและยังคงสดใสอย่างเห็นได้ชัด
“ปืนมันไม่มีลูก คนของพี่เจตน์เอาลูกปืนออกให้หมดแล้ว”
“ทำไม ไม่ให้คนของพี่เจตน์เข้ามาล่ะ” กรวิกาถาม
“เอาจริงนะ เค้าไม่อยากให้ใครเจ็บตัว คิดหรือว่าคนของพี่เจตน์จะทำอย่างที่เค้าทำน่ะ ป่านนี้ไม่ใครก็ใครได้เข้าโรงพยาบาลไปแล้วล่ะ” ปยุดาบอกและจูบเล็กๆ พร้อมกับรอยยิ้มกวนๆ เพราะอยากให้คนที่ผ่านเหตุการณ์ที่น่าตกใจมาสบายใจขึ้นบ้าง
“ไม่คิดหรือว่า กรห่วงยุ่งขนาดไหน”
“รู้ว่าเป็นห่วงมาก”
“ยังจะมาทำยิ้มทะเล้นอีกนะ” กรวิกาพูดดุ แล้วแอบถอนใจเพราะตลอดทางแอบคิดว่า ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีก หากตุลย์ไม่ยอมที่
จะหยุดสร้างเรื่อง หากคนที่ต้องเจอเหตุการณ์ไม่ใช่ตัวเธอกลายเป็นปยุดาไปจะทำอย่างไร
“ร้องไห้ ไม่ค่อยเป็น” ปยุดาอมยิ้ม
“ไม่ตลกนะ ยุ่งต้องระวังตัวให้มากกว่าที่เป็น เข้าใจใช่ไหม กลางคืนน่ะไม่ต้องไปไหนจะดีมาก” กรวิกาพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ แต่ปยุ
ดากลับยิ้มเพราะสัมผัสได้ถึงความห่วงใยถึงกับออกปากห้ามไม่ให้ไปไหน
“ตัวก็เหมือนกัน นายคนนั้นน่ะ” ปยุดาพูดเพียงเท่านั้น ยังไม่อยากไปเพิ่มความไม่สบายใจด้วยการบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แถมคำขู่ที่ตุลย์มีเป้าหมายที่จะทำให้ปยุดาเสียใจ โดยหันไปสร้างปัญหาให้กรวิกาแทน
“พี่ตุลย์ไปทำไม่ดีกับยุ่งมาก่อนแล้ว ใช่ไหม”
“หยุดเชียวนะ หยุดที่คิดไว้เดี๋ยวนี้เลย ห้ามไปไหน ห้ามจริงนะ”
“ไปไหน” กรวิกาแค่เพียงคิดไว้กับการถอยห่างออกมาจากปยุดาแต่ทำไมคนที่ยืนจ้องมองอยู่ด้วยแววตาอ่อนโยน ถึงรู้ได้ จริง
สินะไม่มีอะไรปก ปิดได้ ปยุดาไม่ได้ตอบแต่ขยับตัวเข้าใกล้และพรมจูบกรวิกาไม่ให้ตั้งตัว แต่เหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า ผู้หญิงที่ดูร่าเริงสดใสคนนี้มีความห่วงใยให้มากมายและตัวกรวิกาเองยิ่งรู้ตัวมากขึ้นว่า รู้สึกดีกับปยุดามากขนาดไหนไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือ แต่เป็นความกังวลใจและความห่วงใยในความปลอดภัยของปยุดา
“เดี๋ยว รู้ตัวใช่ไหมว่าทำอะไรอยู่” กรวิกาถอนใจเมื่อปยุดาเริ่มสัมผัสไปที่เนินอกและเริ่มพรมจูบคลอเคลียอีกครั้ง
“จะยั่วให้ไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้นเลย คิดว่ารู้ตัวไหมล่ะ” ปยุดายิ้มกับคนที่ส่ายหน้าเล็กน้อย เมื่อเสื้อตัวนอกของปยุดาถูกถอดออก
และกลับมาคลอเคลียรุกเร้ากรวิกาให้มากขึ้น โดนจูบจนแทบอยากจะลืมหายใจเพราะอยากให้คนที่ออดอ้อนคลอเคลียอยู่ได้รู้ว่า ตัวกรวิการู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่เมื่อตะขอเสื้อตัวในของปยุดาถูกปลดออก จนเจ้าตัวถอนใจเล็กน้อยแต่ยังคงมีรอยยิ้ม
“ซนเหมือนกันนะ” ปยุดากระซิบบอกและขบเบาๆ ไปที่หูของคนที่ร่างกายสั่นสะทานไปกับสัมผัสเล็กๆ นั้น รวมถึงมืออันนุ่มนวลที่ค่อยๆ เคลื่อนไปลูบไล้ภายใต้อาภรณ์
“ชอบยั่ว ก็ต้องมีซุกซนกันบ้าง” กรวิกาพูดขึ้น ปยุดารู้สึกได้ว่าเป็นการท้าทาย จึงช่วยถอดเสื้อยืดตัวนอกออก
“หันหลังหน่อย”
“ไม่หัน” กรวิกายิ้มน้อยๆ ให้คนที่ทำหน้างอเล็กน้อย
“หันมาขอดูแผลหน่อย จะได้มั่นใจ” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนตามด้วยจูบอ้อนวอนจนกรวิกาใจอ่อน
“มั่นใจเรื่องอะไร”
“ไว้ค่อยบอก ถ้าไม่หันจะจูบจนใจอ่อนนะ” ปยุดายิ้มทะเล้น กรวิกามองแววตาอันแสนน่ารักของคนช่างยั่วและยอมทำตามแต่โดยดี
ปยุดายิ้มและถอนใจขณะกำลังปลดตะขอเสื้อตัวในของกรวิการวมถึงอาภรณ์ชิ้นอื่นๆ มือที่สัมผัสถูกบนเรือนร่าง ทำให้ร่างกายของกรวิกาสั่นสะท้านและรู้สึกหายใจติดขัด เมื่อร่างกายไม่มีอาภรณ์ชิ้นใดติดเรือนร่างเลยสักชิ้น จูบที่ทาบทับไปที่บริเวณแผลเป็นเหนือสะโพกยิ่งทำให้หัวใจสั่นไหวมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อจูบที่ทาบทับบริเวณแผลเป็นเริ่มร้อนแรงและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ปยุดาขยับตัวขึ้นมาเคล้าคลออยู่ที่บริเวณลำคอและไหล่
“กร อยากเห็นยุ่งบ้าง” กรวิกาบอกเบี่ยงหน้าเล็กน้อยรับสัมผัสอันแสนหวาน จมูกโด่งที่ซุกซนซอกซอนทิ่มแทงไปบริเวณลำคอได้ทำให้ร่างกายแทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่ไหว
“เค้าเคยอยู่กับตัวแบบนี้มาก่อน รู้สึกหรือเปล่า” ปยุดาถาม กรวิกาหันมายิ้มจางๆ และพยักหน้าแทนคำตอบ
“ใช่ช่างยั่วเย้า แบบนี้แหละ” กรวิกายิ้มน้อยๆ และจูบปยุดาที่ตอบรับสัมผัสอย่างร้อนแรง เพราะชัดเจนแล้วว่า คนในฝัน คือ คน
ที่เรือนร่างกำลังเบียดชิดอยู่จริงๆ
“เค้าเป็นของตัวนะ ไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รู้เอาไว้ด้วยนะ ทั้งตัวและหัวใจเค้าจะเป็นของตัวตลอดไป” ปยุดาบอกและเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา เรือนร่างเปลือยเปล่าเริ่มทาบทับไปบนเตียงนอนแสนนุ่ม ความอบอุ่นจากอีกเรือนร่างซึ่ง
ทาบทับมาบนตัว ทำให้หัวใจที่เคยคิดว่าแข็งแกร่งอ่อนยวบยาบ จูบอันอ่อนโยนและร้อนแรงคล้ายตัวโน๊ตของดนตรีทำให้หัวใจเคลิ้มไหว ขยับเรือนร่างแนบชิดกับจูบที่พรมไปจนทั่ว ปยุดายิ้มน้อยๆ เพราะภาพในความฝันกลับมาในความคิดเมื่อได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของกรวิกา รวมถึงส่วนเว้าส่วนโค้งที่ได้รูปอันหมดจดงดงามเหมือนในความฝัน แต่ความอบอุ่นที่ได้รับชัดเจนกว่าทำให้หัวใจฟู มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เห็นเรือนร่างของคนๆ หนึ่ง แถมยังชัดเจนมากเหมือนดั่งที่ได้คลอเคลียอยู่ ณ เวลานี้
“ตื่นขึ้นมาแล้ว จะไม่หายไปใช่ไหม” กรวิกากระซิบบอก
ปยุดาเริ่มจูบที่ริมฝีปาก ไล่เรื่อยและคลอเคลียออดอ้อนอยู่ที่บริเวณลำคอ หยอกล้ออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมาหลงใหลอยู่บริเวณอกอันนุ่มนวลเนินนูนถึงกับถอนใจ เพราะไม่เคยได้ใกล้ชิดแบบนี้มาก่อน ช่างเชื้อเชิญชวนให้หลงใหลเป็นที่สุด เคลื่อนเรือนร่างขึ้นมายิ้มทะเล้นให้คนที่ยิ้มอายๆ เอามือปิดหน้าปิดตา ปยุดาดึงมือทั้งสองข้างออกและนำไปวางไว้ที่บริเวณเนินอกของตัวเอง ซึ่งกรวิกายิ้มน้อยๆ ค่อยๆ บรรจงจูบริมฝีปากอันแสนหวานและคลึงเคล้าเนินอกที่ดูเหมือนว่า ช่างยั่วเหมือนคนที่แอบยิ้มในบ้างครั้งที่เมื่อเป็นฝ่ายรุกเร้า จนกระทั่งเริ่มรู้สึกได้ว่า ถูกรุกล้ำทำให้ต้องหยุดจูบและขยับตัวเล็กน้อย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายมีมนต์ทำให้กรวิกาย่ามใจ เมื่อร่างกายเริ่มสั่นสะท้านกับการแทรกผ่านเข้าไปในเรือนร่าง ทำให้จูบที่อ่อนหวานกลับมารุกเร้าร้อนแรง ภายในร่างกายคล้ายมีไฟที่กำลังถูกเชื้อเพลิงสาดใส่และเชื่อว่าปยุดาน่าจะรับรู้ความรู้สึกได้เช่นเดียวกัน เพราะเริ่มหายใจแรงขึ้นและมีเสียงอยู่เป็นระยะ ร่างกายที่ขยับเคลื่อนไหวเป็นจังหวะนั้นได้นำพาให้เข้าใกล้และแนบชิดกันมากขึ้น กอดที่จะแนบแน่นคล้ายการบอกบางสิ่งบางอย่างกับความรู้สึกที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย กรวิกาจูบไปที่ไหล่อันเปลือยเปล่าของปยุดาอย่างอ่อนโยน ปยุดาจูบกลับคืนพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“พูดให้เค้าได้ยิน อย่าอยู่แค่ในใจ” ปยุดาบอก เมื่อได้ยินคำบอกรักที่ดังก้องอยู่ไม่ใช่จากการพูด แต่เป็นเสียงแว่วๆ ในความรู้สึก
“รู้ไปถึงก้นบึ้งหัวใจเลยหรือไง กรได้ยินข้างในนี้บอกเหมือนกัน”
“มั่วแล้ว ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” ปยุดายิ้มอายๆ
“รัก รักมาก รักตั้งแต่แรกเห็น รักตั้งแต่ก่อนเห็นมากกว่า” กรวิกาบอกทำเอาคนที่ได้ยินนั้น ทำอะไรไม่ถูก ได้ยินคำว่า รัก ดังก้อง
แต่คำขยายความที่กรวิกาพูดมา ช่างทำให้รู้สึกและสัมผัสได้มากมายกับคำว่า รัก ที่ใครๆ มักให้นิยามเอาไว้มากมาย แต่คำที่ขยายความออกมาทำให้หัวใจที่ฟูๆ อยู่พองจนจะแตกเสียให้ได้
“เค้าไม่เคยรู้จัก ความรักจริงๆ แบบคนรัก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้คิดว่าอาจจะเคยพบ เคยรู้จักมาบ้าง แต่พอมาเจอตัวถึงได้เห็นความ
รักชัดเจนขึ้น เค้าไม่เคยใกล้ชิดกับใครแบบนี้มาก่อน เค้าอยากให้ความใกล้ชิดกับตัวถึง แม้จะแปลกไปหน่อยสำหรับการเป็นผู้หญิงด้วยกัน ใช่เค้ารักไม่ใช่แค่เสียงที่ตัวได้ยินผ่านความรู้สึก เค้าอยากให้ตัวได้ยินออกมาจากปากเค้าเลย เค้ารักตัว รักมาก รักทุกอย่างที่เป็น แววตา เรือนร่าง หัวใจ ริมฝีปากที่ช่างหยอกเย้า ทุกอย่างที่ผ่านไปเมื่อสักครู่ คือ ความรักของเรา” ปยุดายิ้มทั้งน้ำตากรวิกาเองก็เช่นกัน สองสาวกอดกระชับกันเอาไว้แนบแน่น น้ำตาที่ไหลรินเป็นความปลื้มปิติที่ได้รู้จักความรักของกันและกัน
“ยาวเหยียดเชียวนะ ความรักของสาวช่างยั่วน่ะ” กรวิกาหัวเราะ
“เดี๋ยวกัดให้จมเขี้ยวเลย ตัวน่ะ ไม่ยั่วเลยนะ หมั่นไส้แล้ว คนบ้าอะไรไม่รู้ สวยไปทุกอณูเลย” ปยุดาจูบเบาๆ ไปที่แก้มของกรวิกา
“ครั้งเดียวเห็นทุกอณูจริงหรือ” กรวิกาพูดยิ้มๆ
“ให้ตรวจตราอีกรอบไหมล่ะ จะได้เห็นทุกๆ อณูเลยทีนี้” ปยุดาพูดแล้วหัวเราะคิกคักกับคนที่ยิ้มอายๆ ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้
“ลวนลามด้วยคำพูดอยู่นะ”
“ลวนลามไม่ค่อยสุภาพ ยั่วด้วยคำพูดดีกว่า เป็นไรไม่รู้ชอยยั่วตัว” ปยุดาหัวเราะ
“ชอบถูกยั่วเสียด้วยสิ”
“เดี๋ยวนี้ร้ายกาจ แต่เดี๋ยว รักตั้งแต่ก่อนเห็นหมายความว่าอย่างไร” ปยุดาแอบคิดเรื่องฝันของตัวเอง แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้หากกรวิกาจะเคยฝันประหลาดๆ เหมือนกัน
“เอาไว้ค่อยเล่าได้ไหม ไปอาบน้ำนอนเถอะ โดดดูดพลังจนไม่รู้จะยืนไหวหรือเปล่าเนี่ย” กรวิกาหัวเราะ
“ไอ้บ้า พูดจา ทะลึ่งนักนะ ฟอกสบูให้เค้าด้วย”
“จ้ะ จะล้างตัว เช็ดตัว ทาครีม ห่มผ้าให้ด้วย” กรวิกาตั้งใจข้ามเรื่องเสื้อผ้าหรือชุดนอนไป
“เขาว่ากันว่า นอนแบบไร้อาภรณ์ จะทำให้สุขภาพดี” สองสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกัน และรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำไปทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมใส่อะไรเลยสักชิ้น
สองสาวคลอเคลียกันอยู่ในสระว่ายน้ำ ตั้งแต่แสงยามเช้ายังไม่ออก มาแสดงตัว กรวิกาเริ่มเล่าเรื่องราวความฝันครั้งแรกให้กับสาวช่างยั่วที่กำลังหัวเราะคิกคักกับสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะได้พบเจอกัน
“อย่ามาทำสายตาวิบวับใส่เค้านะ” ปยุดาพูดแหย่คนที่ยิ้มอายๆ ดันตัวขึ้นมาพาดอยู่ที่ขอบสระข้างๆ กัน
“รู้ไหม มั่นใจมากว่า โดนสาวยั่ว อยู่แหละ” กรวิกาหัวเราะเพราะปยุดาเอื้อมมาหยิกเข้าให้ที่แขน
“จะว่าไป ตอนเจอกันครั้งแรกน่ะ หลงรักแววตาตัวก็ว่าได้นะ ไม่ค่อยกล้ามองตรงๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วเค้าไม่ค่อยจะหลบสายตาใครหรอกนะ”
“หยิ่งเนอะ”
“หยิ่งอะไรล่ะ อ่อนปวกเปียกเลยเมื่อคืน” ปยุดายิ้มอายกับสายตาวาววับของกรวิกา ซึ่งมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แกล้งมองมาที่เนินอกเนินนูน ซึ่งมีหยดน้ำเกาะพร่างพราวอยู่
“เคยอิจฉาหยดน้ำด้วยนะ เป็นเอามาก” กรวิกาหัวเราะ
“ฝันครั้งเดียวหรือ” ปยุดาถาม
“หลังจากนั้น มีอีกครั้ง ไปเคาะประตูที่ห้องนอน กรเปิดประตูให้ ยุ่งเข้าไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก แล้วก็ยั่วจน” กรวิกาอมยิ้ม
“โห เห็นหมดเลยดิ เหมือนเมื่อคืนปะ” ปยุถามยิ้มๆ แอบแลบลิ้นล้อกรวิกาที่หัวเราะเล็กๆ กับคนชอบทำหน้าทะเล้นให้
“เมื่อคืนไม่ค่อยชัด ไว้วันหน้าค่อยบอกเนอะ”
“หื่นนะ เรานะ แปลกเนอะ ฝันว่ามีอะไรกับผู้หญิง ฝันคล้ายกันแถมยังมารู้สึกดี จนเป็นเรื่องเมื่อคืน โลกมันกลมหรือพรหมลิขิตบังเกิดขึ้นกันแน่นะ” ปยุดาพูดจบพาตัวไปลอยคลออยู่กลางสระว่ายน้ำอีกครั้ง
“อะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ ยุ่ง ต้องวุ่นวายใจ” กรวิกายิ้มน้อยและว่ายน้ำไปคลอเคลียกับปยุดาที่ชอบแกล้งว่ายหนีบ้าง จับกดน้ำบ้าง และหัวเราะชอบใจเวลากรวิกาทำหน้าดุ
ภูดิทอดรนทนไม่ไหว ไม่อยากพูดคุยทางโทรศัพท์เลยนัดหมายทั้งสองสาวเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เพราะพอจะทราบจากเจตน์เล็กน้อยซึ่งรายนั้นแสดงท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจอยู่มาก หลังจากได้รับรายงานของคนที่ส่งไปคอยดูแลกรวิกา
“เป็นอย่างที่เล่านี่แหละ” กรวิกาบอกแล้วหันไปยิ้มให้ปยุดา
“ว๊ายตายๆ อกฉันจะแตกตาย มีปืนผาหน้าไม้ด้วย” ภูดิทออกอาการสะดีดสะดิ้งตกใจจนลืมเก็บอาการ จนกระทั่งเห็นปยุดาจ้องมองแปลกๆ จึงพูดให้ดูเป็นปกติ
“ตามสบายจ๊ะ เราเพื่อนกันไม่ต้องเขินอาย” ปยุดาอมยิ้ม
“เผลอไปหน่อย ไม่ค่อยเป็นขนาดนี้ แอบตกใจไม่คิดว่า พี่ตุลย์จะเป็นเอามาขนาดนี้น่ะสิ ว่าแต่เอ หึงหวงคนไหนล่ะ” ภูดิทมอ
งสบตากับสองสาวสลับกันไปมา
“มีอีกที่ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง ดูคลิปได้ไหม ยุ่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่งเข้ามือถือให้ บอกให้ปิดปากให้เงียบไว้ แต่สำรองข้อมูลเก็บไว้เหมือนกัน เผื่อเกิดเรื่องไม่ดี แต่กลัว กร จะว่าเอาเลยไม่ได้เอาให้ดูก่อนหน้านี้” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ ภูดิททำเป็นเฉยๆ ไม่ได้ตกใจเหมือนเมื่อสักครู่
“ภู รู้แล้วสิท่า ใจร้ายกับ กร มากนะ ทั้งสองคนเลย” กรวิกาพูดดุทำเอาทั้งภูดิทและปยุดาจ๋อยไปทั้งคู่
กรวิกาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น ถึงแม้จะไม่มีเสียง แต่ท่าทางที่ตุลย์ทำกับปยุดาถือได้ว่า ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย คงเกิดจากความหึงหวง เพราะปยุดาบอกว่า ตุลย์ไปเห็นตอนที่ตัวเธออยู่กับปยุดาในห้องนั้น กรวิกาหน้าซีดรู้สึกผิดกับการกระทำของตุลย์หันมามองดูคนที่จ้องมองอยู่ การที่ปยุดาไม่ได้บอกก่อนหน้านี้ เพราะคิดว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น กับกรวิกาทำให้เลือกที่จะเงียบ หรือตุลย์พูดข่มขู่อะไร แต่สุดท้ายความเจ้าเล่ห์แสนกลของผู้หญิงฉลาดอย่างปยุดา สามารถจัดการได้กับผู้ชายที่มีแรงมากกว่ามหาศาลนัก จนทำให้เกิดเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ปยุดาคงพอ จะคาดเดาได้ว่า อาจจะมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้น จึงขับรถตามมาและคงต้องขอบคุณเจตน์ที่เป็นห่วงเป็นใยส่งคนตามมาดูแล ไม่อย่างนั้นนึกไม่ออกเหมือนกันว่า ตัวเองจะเป็นอย่างไรบ้าง ปยุดาคิด
“คงต้องระวังให้มากขึ้นแล้วล่ะ ฟาดหัว ฟาดหางไปทั่ว” ภูดิทบอก
“ภูเองก็ต้องระวังไว้เหมือนกันนะ” กรวิกายิ้มจางๆ ให้
“อยากจะตั้นหน้าด้วยมือตัวเองเลย” ภูดิทเผลอพูดออกไป ปยุดาทำหน้าดุใส่แล้วพยักพเยิดมาทางกรวิกา
“ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่เกี่ยวกับ กร สักหน่อย คนเราจะโกรธหรือหึงหวงอย่างไร ควรจะต้องมีสติบ้างสิ ยิ่งกับ กร บอกว่ารัก สวมแหวนให้แล้วไงล่ะ จะทำร้ายร่างกายกัน หากวันหนึ่งแต่งงานไป มิแย่หรือ” ภูดิทพูดด้วยความห่วงและเริ่มกังวลใจ ถึงแม้ว่า จะคืนแหวนไปแล้ว แต่คนใจดีและขี้สงสารจะทนแรงอ้อนหรือกลอุบายของผู้ชายอย่างตุลย์ได้หรือเปล่า เพราะเกิดมาง้อขอคืนดีขึ้นมา อาจจะยอมใจอ่อนก็ได้
“กร แย่คนเดียว ดีกว่าแย่กันหลายคนนะ” กรวิกาบอก
“คิดอย่างงั้นได้อย่างไร ทำไมต้องแย่ด้วยล่ะ โตๆ กันแล้วน่าจะพูดกันรู้เรื่องได้” ปยุดาไม่อยากให้กรวิกาคิดว่า เรื่องที่เกิดนั้นตัวเองเป็นต้นเหตุ
“จริงๆ อีพี่ตุลย์น่ะ คนโน้นก็อยากได้ คนนี้ก็อยากได้ พอจะเสียทางหนึ่งก็ฟาดงวงฟาดงาใส่ นึกว่า จะไม่มีการโต้ตอบแล้วยอมง่ายๆ เมื่อคืนไม่ให้คนของพี่เจตน์จัดการสั่งสอนซะบ้าง” ภูดิทรู้สึกโกรธแทนทั้งสองสาว
“ภู” ปยุดาพูดปราม
ปยุดามองดูโทรศัพท์ ซึ่งสั่นเตือนว่ามีคนโทรฯ เข้ามาเห็นว่าเป็นมารดาจึงรับสาย เพราะกลัวท่านจะเป็นกังวล คิดว่าคงจะโทรฯ มาถามไถ่เหมือนปกติทั่วไป หากบอกว่าอยู่กับกรวิกาคงไม่มีอะไร
“อยู่ไหน เกิดเรื่อง เกิดราว คิดจะบอกแม่เมื่อไรกัน” มารดาเสียงเข้มมาเชียวทำเอาปยุดาหน้าตาไม่ค่อยดีนัก กรวิกามองดู ภูดิทก็เช่นกัน
“เรื่องอะไรคะ แม่” ปยุดาถามเสียงอ่อยๆ
“แม่อยู่ที่สำนักงาน ร้านเครื่องประดับ แล้วจะยังมีเรื่องอะไรอีก มีมากกว่าเรื่องที่ไอ้ผู้ชายหน้าตัวเมียมันบุกมาทำร้ายถึงห้องทำ
งานอีกหรือ”
“เข้าใจผิดกันนิดหน่อยเองค่ะ” ปยุดาบอก
“อย่ามาทำพูดดี กลับบ้านเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น แม่จะส่งคนตามล่าไอ้หมอนั้นมาขอโทษเรานะ” มารดาพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริง
เอาจัง ปยุดาคิดว่าคงต้องกลับไปพูดคุยและอธิบาย ไม่อยากให้มารดาทำอะไรรุนแรงกับตุลย์ เพราะจะยิ่งสร้างปัญหารวมถึงความไม่
สบายใจให้กับกรวิกามากขึ้น
“เดี๋ยว ยุ่ง กลับไปคุยกับแม่ที่บ้านนะคะ” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“เดี๋ยวนี้นะ แม่จะกลับไปรอที่บ้าน”
“ได้ค่ะ” ปยุดาพูดเสียงแผ่วๆ ทำให้ทั้งกรวิกาและภูดิทสงสัย
“ไม่ไปทำงาน โดนเอ็ดหรือไง” ภูดิทถาม
“มีเรื่องนิดหน่อย ยุ่งต้องกลับบ้านแล้ว” ปยุดาบอก
“ไปเถอะ” กรวิกาบอก เพราะท่าทางปยุดาดูกังวลใจ
“แล้ว กร ล่ะ” ปยุดาถามด้วยความเป็นห่วง
“กร จะไปนอนที่บ้านเช่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เพราะพี่ตุลย์ไม่รู้จัก”
“ฉันเห็นด้วยนะ น่าจะปลอดภัยกว่า สตูดิโอ เดี๋ยวภูจะขับตามไปส่งให้ถึงที่บ้านเลย ไม่ต้องห่วงนะ ยุ่ง” ภูดิทยิ้มให้ปยุดา สายตา
แปลกๆ ของสองสาวที่มองกันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ภูดิทไม่แปลกใจนักที่ทำไมตุลย์ถึงได้แสดงอาการออกมาอย่างนั้น เพราะคงรู้ดีว่า อาจจะต้องสูญเสียไปทั้งสองทาง
“ขอบใจจ้ะ คุยกับแม่แล้ว จะโทรฯ หานะ” ปยุดาบอกและรีบไปทันที ไม่อยากให้มารดาโมโหมากกว่าที่เป็นอยู่ และไม่อยากให้
ส่งคนไปทำร้ายตุลย์ด้วย
“หล่อนกับยุ่ง คือ สาเหตุทำให้พี่ตุลย์คลั่ง ใช่ไหม” ภูดิทถามคนที่นั่งเงียบมองสบตากับเพื่อนคล้ายกำลังคิดหาคำตอบ