ปกป้องสังเกตได้ว่า กรวิกาดูแปลกไป เงียบๆ ไม่พูดจาหยอกล้อเหมือนปกติ แปลกไปตั้งแต่วันที่สวมแหวนหมั้น ปยุดาเองก็หายไปหลายวัน แต่ปกป้องคิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องงาน หรือไม่ก็คงเรื่องของชายหนุ่มที่เป็นคนรักทำให้สาวๆ รุ่นพี่ที่เคารพนับถือนั้น มีเวลาน้อยลง จะว่าไปสำหรับ ปยุดางานส่วนของตัวเองนั้นถือว่าได้เสร็จสิ้นแล้ว
“แม่บอกพี่กรดูซึมๆ ไปนะครับ” ปกป้องบอกกับกรวิกาที่มีรอยยิ้มให้เห็นเมื่อได้ยินถึงความห่วงใย
“พี่ก็ปกตินะ”
“หรือไม่มีคนชวนต่อล้อต่อเถียง” ปกป้องยิ้ม เมื่อเห็นกรวิกาเงื้อม มือทำท่าจะตี
“ไปติดจากพี่ยุ่งมาหรือไงเรา ช่างพูดนักนะ” กรวิกาแกล้งพูดดุ
“ติดมาบ้างก็ดีนะครับ น่ารักดีออก ผมว่าพี่ยุ่งดูน่าเอ็นดูดี”
“เดี๋ยวนี้มีแอบชมสาวๆ นะ ชักจะยังไงๆ” กรวิกาพูดแหย่
“ชมแทนพี่กรไง หรือพี่กรว่า พี่ยุ่งไม่น่ารัก”
“นินทาคนในวัด บาปนะ” เสียงนั้นทำให้ปกป้องกับกรวิกาหันมามองสบตากัน เพราะไม่คิดว่าคนที่กำลังพูดถึงอยู่จะโผล่มา
“อุ๊ย ผมไปทำงานต่อดีกว่า” ปกป้องรีบลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินหนี
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย มาให้หยิกก่อน พี่เชื้อไม่อยู่นินทาหรือ”
“ชมต่างหากครับ” ปกป้องพูดเสียงอ่อยๆ มองสบตากับกรวิกานึกว่าจะออกตัวช่วยพูดว่าไม่ได้นินทา แต่กลับเงียบ
“ไปขนของมา เบาะหลังมีกาแฟมาฝากเพื่อนครบทุกคนเลยนะ”
“กราบขอบพระคุณครับ ไปเลยนะครับ ไม่หยิกผมนะ” ปกป้องยิ้ม ปยุดาส่ายหน้ากับความช่างพูดช่างคุยมากขึ้น เมื่อได้พบเจอ
กันบ่อยๆ
“อ๊ะ กาแฟของตัว” ปยุดายื่นกาแฟไปตรงหน้าของกรวิกาที่ทำเป็นนิ่งเฉย ปยุดาจึงขยับหลอดเข้าไปจนใกล้ปากแล้วยิ้มทะเล้นให้
“ไม่อยากกินกาแฟ” กรวิกาบอก
“เพราะเค้าเป็นคนซื้อมาใช่ไหมล่ะ” ปยุดาพูดคล้ายชวนทะเลาะ
“เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ชั่วครู่ ชั่วยาม ปรับตัวตามไม่ทัน กรชอบความมั่นคงนะ ถ้าไม่ใช่ ถ้าไม่แน่ใจ อยู่ห่างๆ กันก็ดีแล้วล่ะ” กรวิ
กาบอกและทำท่าจะลุกหนี
“อะไรที่ทำให้คิดว่า ไม่มั่นคง ไม่แน่ใจ”
“บอกสิว่า อะไรทำให้ยุ่งเป็นแบบนี้ กลัวใครรู้หรือไงว่า จูบผู้หญิงด้วยกัน” กรวิกาถาม
“ไว้ค่อยไปคุยกันที่คอนโด”
“ไม่ กร จะนอนที่นี่” กรวิกาตอบกลับทันที
“เค้าจะไปรอ แล้วแต่ตัวว่าอยากไปไหม” ปยุดาบอกและจับมือให้กรวิการับแก้วกาแฟเอาไว้
“นั่งลงเดี๋ยวนี้ ยังไม่ให้กลับ” กรวิกาพูดเสียงเข้ม ปยุดาทำหน้ามุ่ยโดนจับมือและดึงรั้งเอาไว้
“คุยก็ไม่อยากคุยด้วยดีๆ ยังจะบังคับให้นั่งอีก” ปยุดาบนพึมพำ
“อยากอยู่ใกล้ๆ นี่” กรวิกาบอกแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เริ่มดื่มกาแฟที่ ปยุดานำมาฝาก
“วัยทองปะ ตัวนั่นแหละ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย” ปยุดาอมยิ้มเมื่อเห็นว่ากรวิกายังสวมแหวนรูปปลาดาวเอาไว้
“รอสิ จะได้ขับรถตามกันกลับ” กรวิกาพูดขึ้นลอยๆ
“โธ่เอ๊ย ทำมาขี้เก๊ก หมั่นไส้” ความอบอุ่นจากมือที่ยังเกาะกุมอยู่นั้นบอกความรู้สึกเข้าไปถึงหัวใจ ปยุดาเข้าใจว่า ชีวิตคนเรานั้นแวดล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ซึ่งบางคนเราต้องเอาใจใส่ห่วงใย เอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่บางทีแอบอยากเห็นแก่ตัว อยากให้โลกใบนี้มีเพียงตัวเธอกับกรวิกาหรือเพียงแค่บางช่วงบางเวลาระหว่างวัน แบบที่ถูกกุมมืออยู่เหมือนตอนนี้ก็พอแล้ว
ปกป้องยืนยิ้มแอบมองมาจากหน้าต่างของอุโบสถ ตัวเขาเชื่ออยู่เสมอว่า ความรักนั้นไม่ได้แบ่งเพศเพียงแค่ชายหญิง เพราะมี
เพื่อนหลายคนที่ดูแลกันและกันได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันหรือผู้ชายด้วย กันก็ตาม ห่วงหาอาทรดูแลเอาใจใส่พากันเดินไปในทางทีดี ปกป้องส่ายหน้ากับความคิดของตัวเองที่มองเห็นความรักจากผู้หญิงสองคน ซึ่งคนหนึ่งนั้นได้รับการหมั้นหมายด้วยท่าทางแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยจะมีความสุขนัก ส่วนอีกคนอาจจะไม่มีการผูกมัดแต่อย่างใด กลับทำให้ปกป้องคิดว่า มัดใจสำคัญกว่าการผูกมัดอย่างอื่น ไม่ว่าจะเครื่องประดับราคาแพงหรือพิธีรีตองและเชื่อว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ถึงแม้ทั้งสองคนที่เห็นอยู่นั้นจะไม่ได้รักกันแบบคนรัก แต่ความรักจะเหนียวแน่นและผูกพันกันในแบบอื่นๆ ซึ่งจะคงอยู่นานแสนนาน ปกป้องอมยิ้มมองดูกรวิกาที่จับมือปยุดาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ปยุดาทั้งอ้อนทั้งงอแงใส่กรวิกา จนยอมที่จะมารับประทานอาหารพร้อมกับเจตน์เพราะปยุดามีนัดหมายกับเจตน์เอาไว้ และอยากให้คนที่ทำหน้ามุ่ยอยู่นั้นสบายใจ
“เท้ากาจะเพิ่มมากขึ้นนะ ยิ้มให้เค้าหน่อยดิ” ปยุดาพูดแหย่กรวิกาซึ่งนั่งหน้านิ่ง จนมาถึงร้านอาหารที่มีการนัดหมายกับเจตน์เอาไว้
“ไว้ไปยิ้มตอนเจอคุณเจตน์สิ” กรวิกาพูดงึมงำ
“ไม่เอาอะ ยิ้มให้เค้าก่อน ไม่งั้นหอมแก้มนะ” ปยุดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคนที่หันหน้ามาจ้องมองทันที
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”
“แน่ะ อยากให้เค้าหอมล่ะสิ ถึงไม่ยอมยิ้มให้น่ะ” ปยุดาอมยิ้ม
“ร้ายกาจจริงๆ” กรวิกาส่ายหน้า แต่มีรอยยิ้มสดใสมากขึ้น กับคนช่างยั่วช่างเย้าได้ตลอด
“ยิ้มไม่กว้าง งั้นต้องโดนหอมแก้ม” ปยุดาหัวเราะและหอมแก้มไปเสียงดังฟอดใหญ่ทำเอากรวิกาตกใจ เพราะมีคนเดินไปเดินมาค่อนข้างมาก อีกอย่างถ้าเจตน์มาเห็นเข้าอาจจะเป็นเรื่องได้
“เดี๋ยวคุณเจตน์มาเห็นเข้าหรอก”
“เห็นแล้วไง ไม่สนนี่” ปยุดาบอกและเปิดประตูรถลงไปก่อน
“งั้นไปหอมต่อหน้าเลยไหม” กรวิกาแกล้งพูดแหย่บ้าง
“อย่ามาท้าคนบ้านะ เค้าน่ะ บ้ากว่าที่ตัวคิดไว้เยอะ”
“รู้ว่าบ้า” กรวิกาหัวเราะ เมื่อปยุดาคว้าตัวเอาไว้แล้วเดินคล้องแขนเข้าไปในร้าน ซึ่งเจตน์มาถึงก่อนแล้ว
เจตน์เป็นผู้ชายที่สุภาพพูดจาดีและดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงเป็นอย่างดี ตั้งแต่พบกันที่สตูดิโอแล้ว ไม่น่าแปลกใจนักที่สามารถทำให้ปยุดาตกหลุมรักได้และผู้ใหญ่คงเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะมารดาของปยุดายังคงไปไหนมาไหนกับเจตน์ในบางครั้ง
“รอบหน้าพี่ขอไปดูภาพเขียนที่สตูดิโออีกรอบนะครับ มีที่อยากได้อยู่ แต่วันก่อนช่วยคุณแม่เลือกเลยไม่ได้ของตัวเอง” เจตน์
ยิ้มๆ ให้กรวิกา
“ยินดีค่ะ”
“แม่ให้ราคาซะ ไม่น่าเชื่อ ขนาดเจ้าของผลงานไม่เอ่ยปากสักคำ”
“แต่กว่าจะมาได้ขนาดนี้ คงฝึกมาเยอะนะ ไม่คิดถึงตอนที่เขียนแล้วขายไม่ได้บ้างหรือไง เรา” เจตน์พูดปรามปยุดาที่หันมายิ้มๆ
กับกรวิกา
“เข้าข้างนะ พี่เจตน์” ปยุดาออกอาการงอแง ก่อนที่จะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
“กร ไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่เป็นไร นั่งคุยกับพี่เจตน์เถอะ” ปยุดาบอก
“แฟน กร ท่าทางไม่ค่อยชอบยุ่งนะครับ” เจตน์ชวนพูดคุย เพราะคิดว่า ปยุดาคงไปเล่าเรื่องตุลย์ให้กรวิกาฟังแล้ว
“ยุ่งบอกหรือคะ” กรวิกาถาม
“ครั้งก่อนเจอกัน ก่อนวันที่พบกันที่วัดน่ะ มายืนทุบรถยุ่งอยู่ที่หน้าร้าน พูดดีๆ ไม่ฟังเลยต้องทำร้ายร่างกายไปนิดหน่อย แผลที่หน้านั่นแหละ” เจตน์พูดเสียงอ่อยๆ
“ใจร้อนน่ะคะ” กรวิกาถอนใจ เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ถามเจ้าตัวบอกเพียงว่า ไปมีเรื่องมา แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไร
“คงต้องคอยระวังไม่ให้ดื่มมากนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ พี่เจตน์” กรวิกามองดูคนที่เดินยิ้มแป้นเข้ามาหา
“คุยอะไรกันคะ ท่าทางเครียดเชียว” ปยุดาถาม
“ไม่มีอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” กรวิกายิ้มให้เจตน์และพอจะเดาเจตนาดีได้ ซึ่งคงเกรงว่า วันหนึ่งอาจจะมาทำร้ายตัวเธอเข้าเลยเตือน
ให้ระวังเอาไว้ จะว่าไป เจตน์คงดูแลปยุดาได้ดี ก่อนหน้าที่มีปัญหากันผ่านมานานหลายปีคงเป็นเพราะช่วงวัยที่ต่างไม่ยอมกัน ปยุดาเองลักษณะท่าทางไม่ค่อยจะยอมใครนัก แม้แต่กับมารดา นึกแล้วไม่น่าจะตามมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเลย
“รบกวนขอยืมตัวแฟนสักครู่นะครับ” เสียงของตุลย์ทำให้ทุกคนรีบหันไปมอง เจตน์มองสบตากับทั้งปยุดาและกรวิกา แต่ดูจาก
น้ำเสียงและท่าทางแล้ว ไม่น่าจะเหมือนเมื่อคืนก่อน
“นั่งด้วยกัน ก็ได้นะครับ” เจตน์บอกและยิ้มให้กับตุลย์ ซึ่งจ้องมอง ปยุดาก่อนที่จะยักไหล่แสดงท่าทางแปลกๆ กรวิกาสังเกตเห็นได้
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับ ปะ กร” กรวิกาบอกขอตัวกับเจตน์เพราะเป็นผู้ใหญ่กว่า หันมายิ้มให้กรวิกาเล็กน้อย
ตุลย์พากรวิกาไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งปยุดามองมาบ้างบางครั้งเขาจึงโอบไหล่กรวิกาที่ยิ้มจางๆ อยู่ เจตน์จึงย้ายมานั่งข้างๆ
ปยุดาและมองไปทางสองหนุ่มสาวที่เพิ่งลุกออกไป เพราะออกจะเป็นห่วงกรวิกาอยู่เหมือน กัน ถึงแม้จะรู้มาว่า ตุลย์เป็นคนรักและสวม
แหวนให้กันแล้วก็ตาม
“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้ากรกลับกับเขา พี่จะให้คนของพี่ตามไป ช่วยกันระวัง แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง” ปยุดาถอนใจไม่รู้จะบอกหรืออธิบายกับเจตน์อย่างไร ภาวนาขออย่าให้ตุลย์โมโหและแสดงความโกรธเหมือนเมื่อคืนก่อน
“ขอบคุณค่ะ คงไม่มีอะไร แต่ให้คนตามไปดูหน่อยน่าจะดีกว่าจะได้สบายใจว่า กร ไม่เป็นอะไร” ปยุดาบอก
“ถ้าอย่างนั้น เรารอให้สองคนนั้นกลับก่อน เราค่อยกลับดีกว่านะ”
“ยุ่งก็คิดแบบนั้นค่ะ”
ภูดิทยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าร้าน ปยุดาเห็นเข้าจึงลุกขึ้นยืนโบกไม้โบกมือให้ออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด พยักพเยิดเล็กน้อยไป
ทางกรวิกาซึ่งนั่ง อยู่อีกมุมหนึ่ง ภูดิทมองตามและพยักหน้าให้ปยุดา ก่อนจะไปทักทายตุลย์และกรวิกา รวมถึงดึงตัวเพื่อนรักกลับมาที่โต๊ะของปยุดากับเจตน์อย่างแนบ เนียนทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งๆ ที่อยากจะกระโดดต่อยหน้านัก
“มาเป็นผู้ช่วยนางเอกเลยนะเนี่ย” ปยุดากระซิบบอกภูดิทที่ทำเป็นหัวเราะคิกคัก แต่ทำเป็นนิ่งเมื่อเห็นตุลย์มองมาจากสายตาพอจะดูออกว่า ไม่ค่อยพอใจนักที่ขอพาตัวกรวิกากลับมาอีกครั้ง
“ไม่สนุกทำไมไม่บอกพี่ตุลย์ จะได้กลับมานั่งกับยุ่ง ไอ้โต๊ะนั้นก็นะ เครื่องดื่มยังไม่คิดจะสั่งให้” ภูดิทพูดต่อว่า ปยุดาแอบหยิกเข้าที่แขนเพราะคนที่พูดถึงอยู่เป็นคนรักของกรวิกา
“สั่งตามสบายนะ ภู พี่เลี้ยงเอง” เจตน์ยิ้มๆ ให้ภูดิทที่รีบพนมมือไหว้บอกขอบคุณในทันที กรวิกายิ้มจางๆ เห็นเจตน์ดูแลเอาใจใส่ภูดิทแล้วอดคิดถึงตุลย์ไม่ได้กับภูดิทซึ่งเป็นคนเข้ากับคนได้ง่าย แต่ไม่เคยที่จะไปสนิทสนมด้วยกับตุลย์สักเท่าไร ต่างกับเจตน์พบเจอกันไม่กี่ครั้ง ภูดิทพูดคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง ตามลักษณะท่าทางของคนที่เข้ากับคนง่าย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ปยุดาถามกรวิกา
“เปล่า พี่เจตน์น่ารักดีนะ เข้ากับคนง่ายดี คุยกับภูยังกับรู้จักกันมานานแล้วอย่างนั้น” กรวิกาบอก ปยุดาพอจะเข้าใจความคิดของกรวิกา
“นักธุรกิจก็แบบนี้แหละ” ปยุดาพูดเป็นกลางๆ
“แต่พี่เจตน์ปกป้อง ยุ่ง ได้” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ เพราะถ้าคิดถึงต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดน่าจะเป็นตัวเธอเองที่เป็นคนทำให้
เกิดปัญหาขึ้น
“เค้าปกป้องตัวได้เหมือนกันและรู้ด้วยว่าตัวก็ปกป้องเค้าได้” ปยุดากระซิบบอกและจับมือกรวิกาเอาไว้ การสนทนากระซิบกระซาบกันของสองสาวเป็นเป้าสายตาของตุลย์อยู่ตลอดเวลา กรวิกายิ้มจางๆ ให้มองไปทางตุลย์ทำให้ถึงกับถอนใจ
กรวิกาจำใจต้องกลับกับตุลย์ เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้ใครโดย เฉพาะปยุดา แม้เจตน์จะบอกว่า ส่งคนตามไปดูให้แล้ว แต่ปยุดาอยากไปด้วยตัวเอง อยากทำอย่างที่รับปากเอาไว้ซึ่งก็คือ การดูแลกรวิกาให้กลับถึงสตูดิโออย่างปลอดภัย ปยุดาขอตัวออกมาก่อนปล่อยให้ภูดิทกับเจตน์อยู่ดื่มกันต่อ ปยุดาจอดรถรออยู่ไม่ไกลจากสตูดิโอของกรวิกานักเปลี่ยนรองเท้าส้นสูงเป็นรองเท้าที่พอจะเดินได้สะดวกมากขึ้น มีมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ ไม่ห่างจากด้านหน้าของสตูดิโอมากนัก ซึ่งปยุดาพอจะดูออกว่าน่า จะเป็นคนของเจตน์และคงกำลังโทรศัพท์ไปรายงานว่า กรวิกาถึงเรียบร้อย รอจนเจตน์กับกรวิกาหายเข้าไปด้านใน ไม่นานนักเสียงเอะอะคล้ายคนทะเลาะกันเริ่มดังแว่วๆ มา ปยุดาเดินไปหาคนที่ยังคงด้อมๆ มองๆ ไถ่ถามจนได้รู้ว่าเป็นคนของเจตน์ จึงบอกให้รออยู่ด้านนอก ถ้าภายในสิบห้านาทีเธอยังไม่ออกมาค่อยตามเข้าไป ปยุดาภาวนาให้ประตูด้านหน้าเปิดทิ้งไว้ และเป็นอย่างที่คิดจริงๆ หรือกรวิกาตั้งใจ เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ออกมาได้อย่างสะดวก เสียงพูดคุยดังลั่น เมื่อเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ประตูด้านหน้า ปยุดายังคงรั้งรอด้วยการยืนฟังการสนทนาระหว่างตุลย์กับกรวิกา
“คนที่พี่ตุลย์หึงหรือหวงอยู่ เป็นใครกันแน่ กร หรือ ยุ่ง” กรวิกาถามเสียงเข้มทำเอาตุลย์นิ่งไปชั่วขณะ แต่ด้วยความที่ไม่เคยยอมใครและไม่ยอมที่จะสูญเสียอะไรไปง่ายๆ เพราะถ้าปล่อยไปจะทำให้ตัวเขาเสียหน้า แม่สาวไฮโซที่คุยและท้าพนันเอาไว้กับเพื่อน แถมยังคนรักที่คบหามายังจะต้องยกให้กับผู้หญิงอีก คิดแล้วไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“อย่ามาขึ้นเสียงนะ ไปนอนกันมาเท่าไรแล้วล่ะ ถึงได้เถียงแทนเสียง แข็งขนาดนี้น่ะ” ตุลย์พูดเสียงดั่งลั่น
“ทำไมพูดจาแบบนี้ล่ะ ทีพี่ตุลย์ไปนอนกับคนโน้นคนนี้ กรยังไม่เคยไปซักถามอะไรเลย แล้ว กร กับ ยุ่ง ไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย” กรวิกาบอก
“ในห้องทำงานยังนัวขนาดนั้น ในที่ลับตามิถอดเสื้อผ้าให้มันเชยชมหรอกหรือ” ตุลย์พูดเสียงดัง เมื่อพูดไม่ดีถึงปยุดาทำให้กรวิกาพาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของตุลย์เสียงดังฉาดใหญ่ ทำเอาคนที่แอบฟังอยู่ ถึงกับตกใจไม่คิดว่า กรวิกาจะกล้าทำถึงขนาดนั้น
“ตบเหรอ คิดว่าตบเป็นคนเดียวหรือไง” ตุลย์ขยับเข้าหา กรวิกาถอยร่นจนหลังพิงผนัง ตุลย์เงื้อมมือทำท่าจะทำร้ายกรวิกา แต่มีบางสิ่งถูกดันเข้าที่เอวทางด้านหลัง ตุลย์ชะงักงันทันที เพราะรู้ถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้หากมีการเหนี่ยวไกและยังเสียงที่เยือกเย็นที่ได้ยินนั่นอีก
“จะออกไปดีๆ หรืออยากมีรอยพรุน” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าวิตก แถมยังปลายกระบอกปืนซึ่งขยับเข้าที่หลังนั่นอีก
“นึกว่ากลัวหรือ ยิงเลย จะได้ไปอยู่ในคุก” ตุลย์ยังคงพูดจาเหมือนตัวเองไม่ได้ยี่หระ
“อย่าลืมนะ ว่าอยู่กับผู้หญิงสองคน ใครกันแน่ที่จะติดคุก ให้เวลาคิดนิดหนึ่ง อ้อไม่ได้มาคนเดียวด้วยมีคนรออยู่ข้างนอกอีก พยานพร้อมที่เห็นนายกำลังจะทำร้ายผู้หญิง” ปยุดาพูดเสียงเข้ม ตุลย์มองออกไปทางด้าน หน้าสตูดิโอเห็นผู้ชายใส่ชุดหนังสีดำหยุดยืนมองเข้ามาทำให้รู้ว่า สิ่งที่ปยุดาบอกไม่ใช่แค่พูดขู่เท่านั้น
“ของเหลือใช้ แบ่งๆ กันใช้ก็ได้นะ กร แต่งงานแล้ว ก็แบ่งๆ ให้พี่บ้างจะได้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่รู้เหมือนกันว่า ชอบของเหลือ” คำพูดของตุลย์ทำเอากรวิกาอดรนทนไม่ไหว จึงถอดแหวนเขวี้ยงใส่แถมด้วยหมัดเข้าที่ตา เจ้าตัวทำท่ายึกยักคล้ายจะโต้ตอบ แต่ปลายกระบอกปืนที่ขยับจนทำให้หลังเจ็บนั้นทำให้ต้องถอยร่นไปก่อน
“ไปได้แล้ว ถ้าอีกคำเดียว ทะลุจากหลังไปที่ท้องแน่ๆ” คำพูดของ ปยุดาทำให้ตุลย์กลับออกไป ปยุดาพยักหน้าบอกกับคนของเจตน์ให้ตามดูตุลย์ที่เพิ่งขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะวกกลับมาหาเรื่องอีก
“เกิดบ้า อะไรกันเนี่ย” กรวิกาถอนใจและเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง ปยุดาจึงเข้าสวมกอดเอาไว้แน่น
“ไปกับเค้านะ แล้วค่อยคุยกัน” ปยุดาบอก
“มันอันตราย ยุ่งตามมาทำไม”
“มาดูแลตัวไง เห็นไหมเค้าทำได้” ปยุดายิ้มน้อยๆ และจูบอย่างอ่อนหวานอยากปลอบโยนให้คลายกังวลลงได้บ้าง
“ถ้าพี่ตุลย์มีปืน ยุ่งจะเป็นอันตรายนะ” กรวิกาพูดดุ
“ไม่รู้ล่ะ เค้าไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรตัวหรอกนะ ไอ้นั่นน่ะก็แค่พาลไปทั่ว ดีแต่ปากนั่นแหละ” ปยุดาเผลอพูดออกไปทำให้รอยยิ้มจางลง
“กร ไม่เคยคิดเลยว่า จะเห็นพี่ตุลย์ในสถานการณ์แบบนี้ ยุ่งด้วยเหมือนกัน ดุเหมือนกันนะเนี่ย” กรวิกาบอกและพยายามเช็ดน้ำตาและควบ คุมความรู้สึกตกใจให้ดีขึ้น
“ดีใจนะ ที่ตัดสินใจตามตัวมา ดีที่ไม่พาพี่เจตน์กับภูมาด้วย ไม่ อย่างนั้นล่ะก็ ไอ้คนพาลนั่นคงได้เข้าคุกแน่” ปยุดาแอบถอนใจ
“ยุ่งจะเล่าให้ กรฟังใช่ไหม เรื่องพี่ตุลย์ไปทำไม่ดีกับ ยุ่งด้วย” กรวิกาถามและจ้องมองคนที่ทำหน้าจ๋อยๆ
“ภูกับพี่เจตน์บอกว่า ให้เล่าให้ กร ฟัง แต่เค้ากลัวตัวไม่เชื่อ” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“นอกจากเรื่องที่พี่เจตน์เล่า ยังมีอีกใช่ไหม” กรวิกาถามเสียงเข้ม
“โห อย่าทำเสียงดุดิ เล่าให้ฟังหมดเลยก็ได้ แต่กลับคอนโดไปพัก ก่อนไหม เค้าจะค่อยๆ เล่าให้ตัวฟัง เวลาดุก็จริงจังไป กลัว
เหมือนนะเว๊ย” ปยุดาบ่นพึมพำ แต่ทำเป็นยิ้มอยากให้คนที่จ้องหน้าเขม็งอยู่สบายใจ
“ถามอะไรต้องตอบให้ตรงคำถาม และรายละเอียดต้องมาให้ครบด้วยตกลงตามนี้นะ”
“เจ้าค่ะ” ปยุดาแอบเอาปืนที่ถืออยู่ไว้ด้านหลัง
“พกปืนตลอดเลยหรือ” กรวิกาถาม
“ยืมจากคนของพี่เจตน์มาเห็นเสียบอยู่ที่เอว” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ ไม่ค่อยกล้าสบตากับคนที่ทำหน้าดุอยู่นัก