ปยุดาไม่ได้พูดคุยอะไรกับกรวิกาเลยตลอดทั้งวัน เพราะตุลย์ตามติดไม่ยอมห่าง ภูดิทยังรู้สึกรำคาญเสียจนไม่ค่อยได้พูดคุยกับกรวิกาเช่นกัน เห็นท่าทางการเอาอกเอาใจรู้สึกหมั่นไส้ อยากจะบอกเรื่องที่ได้รู้มาเสียต่อหน้ากรวิกา แต่ลองคิดตามที่เคยได้พูดคุยกับปยุดาเอาไว้ทำให้ภูดิทเลือกที่จะเงียบ หากแต่ว่า จะปล่อยให้กรวิกาแต่งงานไปกับตุลย์จริงๆ หรือ มองไม่เห็นหนทางแห่งความสุขของเพื่อนเอาเสียเลย ภูดิทได้แต่ถอนใจ เอาไว้ค่อยหาโอกาสพูดคุยกันอีกที โดยไม่มีชายหนุ่มที่เดินตามกรวิกาต้อยๆ อยู่ดีกว่า
“กร มันคงมีกรรมเนอะ” ภูดิทบอก เมื่อได้อยู่กับปยุดาเพียงลำพัง
“ขยันทำบุญ แถมยังช่วยเหลือคนอีก กรอาจจะมีความสุขก็ได้นะ”
“ขอให้เห็นธาตุแท้ เหมือนที่เราได้เห็นทีเถ๊อะ” ภูดิทพนมมือและยกขึ้นท่วมหัว
“บาปกรรมนะนั่น เรามาทำบุญกันนะจ้ะ” ปยุดาไม่อยากสร้างความไม่สบายใจเลยเลือกที่จะพูดจาหยอกล้อให้ดูเป็นเรื่องปกติ อันที่จริงแล้วสิ่งที่ตุลย์บอกถือว่า ถูกต้อง เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ปยุดาคิดแต่ยังคงพูดคุยกับภูดิทเหมือนไม่มีความกังวลใจ กรวิกามองผ่านหน้าต่างของอุโบสถมาทาง ปยุดากับภูดิทที่พูดคุยกันบ้าง ส่งเสียงหัวเราะบ้าง ปยุดาหันมาเห็นกรวิกาเข้าจึงยิ้มน้อยๆ ให้ กรวิกายิ้มให้เช่นกัน
“อย่างไรก็ต้องผู้ชาย ถึงจะก้าวหน้า” ข้อความที่ปรากฎขึ้นมานั้นทำให้ปยุดาถอนใจ
“ถ้าอยากได้เชยชมบ้าง หาอะไรมาแลกนะ ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะได้เข้าใกล้อีก” ตุลย์ยิ้ม หลังจากส่งข้อความและหันไปจ๊ะจ๋ากับกรวิกาซึ่งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“ไม่จบนะ” ปยุดาจ้องมองไปทางตุลย์ ซึ่งส่งข้อความสร้างความรำคาญให้แถมยังไม่ให้เกียรติ์คนที่ตัวเองเพิ่งขอแต่งงาน แต่ปยุดายังคงทำนิ่งเฉย จนภูดิทเอ่ยปากถาม ปยุดาจึงส่งข้อความต่อไปยังภูดิทอีกที
“แมนมากพ่อคุณเอ๊ย แต่” ภูดิทรู้สึกแปลกๆ กับข้อความที่พาดพิง ปยุดากับกรวิกา ตุลย์ทำคล้ายกับหึงหวงผู้หญิงสองคน
ปกป้องเดินมานั่งพัก รวมกลุ่มกับปยุดาและภูดิทพร้อมน้ำเก๊กฮวยเย็นเจี๊ยบ ซึ่งมารดาเตรียมมาให้ตั้งแต่ช่วงเช้า ปกป้องเห็นภูดิทกับปยุดามองไปทางคู่รักที่เพิ่งมีการขอแต่งงานกันไป แต่ไม่เห็นท่าทางของคนที่เป็นเพื่อนรักกันออกอาการดีใจใดๆ ปกป้องเองสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน แทน ที่จะดีใจไปกับกรวิกา แต่กลับรู้สึกว่า กรวิกาไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการสวมแหวนสักเท่าไรนัก
“อีกหน่อยไปหาพี่กรที่สตูดิโอ ผมคงต้องหาเพื่อนไปด้วยไม่อย่าง นั้น คงจะน่าเกลียดแย่ เพราะไปหมกตัวดูพี่กรทำงานทีนึงหลายชั่วโมงอยู่”ปกป้องเคยพบกับตุลย์มาบ้าง แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันนัก
“คิดมากนะ เราเป็นน้องพี่กร ไม่ใช่หรือ” ปยุดาบอก
“พวกพี่ ก็คิดเหมือนผมใช่ไหมล่ะ มานั่งกันซะไกลเชียว” ปกป้องหัวเราะ ปยุดากับภูดิทจึงหันมายิ้มให้กัน ไม่คิดว่า ปกป้องจะช่างสังเกต
“รักใคร เราควรทำให้คนนั้นสบายใจนะ” ภูดิทบอก
“ครับ ผมจะดูแลพี่กรตลอดไปครับ อาจจะดูแลอยู่ห่างๆ ช่วยเหลืองาน พร้อมเสมอถ้าพี่กรจะเรียกใช้งานผม” ปกป้องพูดยิ้มๆ
“โอ้โห อิจฉา สาวๆ มีแต่หนุ่มๆ ตามมาช่วยงาน ไปดีกว่า” ภูดิทหันมายิ้มให้ เมื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินตรงเข้ามาหา ปกป้องอมยิ้มเดินตามภูดิทไปเช่นกัน
เจตน์ทักทายและแนะนำตัวกับภูดิท รวมถึงปกป้องด้วยก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ปยุดา
“มาได้อย่างไรกันคะ”
“โทรฯ ไปถามคุณแม่มาค่ะ” เจตน์บอก
“คู่กรณีพี่เจตน์อยู่ในโบสถ์อย่ามีเรื่องกันนะคะ ในวัดในวาคิดเสียว่ายุ่งขอแล้วกัน” ปยุดารีบบอกก่อน
“มันเข้าวัดด้วยหรือ นิสัยแย่ขนาดนั้น”
“มาช่วยแฟนงานบุญค่ะ” ปยุดาบอกและเห็นท่าคงต้องพาเจตน์ไปกราบเจ้าอาวาส รวมถึงแนะนำให้กรวิการู้จักเอาไว้
“ไอ้หมอนั่น มีแฟนด้วยหรือ ยุ่งรู้จักกับแฟนเขาด้วยหรือ” เจตน์ออกจะแปลกใจ
“รู้จักค่ะ แต่พี่เจตน์อย่าไปพูดอะไรเลยนะ แล้วก็แล้วกันไป แฟนผู้ชายคนนั้นน่ะเป็นเพื่อนยุ่งเอง” ปยุดาพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“ไม่ได้บอกเรื่องเมื่อคืนกับเพื่อนล่ะสิ”
“ขี้เกียจ ต่อความยาว สาวความยืดค่ะ นะคะ ไม่พูดเนอะ”
“พี่ว่า ยุ่งอยู่ห่างๆ ไอ้หมอนั่นดีกว่านะ” เจตน์พูดด้วยความเป็นห่วง
“ยังมีเรื่องงานอีกค่ะ คงต้องเจอกัน แต่ยุ่งจะระวัง พี่เจตน์ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ปยุดาบอกและชวนเจตน์ไปกราบเจ้าอาวาส ก่อนจะพาไปแนะนำให้รู้จักกับกรวิกา
ตุลย์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ตัวเองไปก่อเรื่องเอาไว้ เจตน์เองไม่ได้รื้อฟื้นเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีอะไรหรือมาวุ่นวายกับ ปยุดาอีก เจตน์ไม่เคยคิดที่จะไปทำอะไรใครเช่นกัน
“ไว้มีเวลา ผมจะหาโอกาสมาช่วยนะครับ” เจตน์บอกกับกรวิกา
“จะช่วยอะไรได้คะ” ปยุดาพูดแหย่
“ไปซื้อขนม กาแฟ หยิบโน่น หยิบนี่ได้อยู่นะ” เจตน์หัวเราะและขอปีนขึ้นไปดูนักศึกษาทำงาน อยากเห็นร่องรอยจิตรกรรมฝา
ผนัง ซึ่งคงอยู่คู่กับอุโบสถแห่งนี้มานานจนซีดจางไปค่อนข้างมาก
“ซนเหมือนกันนะ” ภูดิทบอกกับปยุดาที่หัวเราะเล็กๆ มองดูเจตน์ที่ปีนนั่งร้านขึ้นไปนั่งอยู่กับปกป้องและชวนกันพูดคุย กรวิกามองดูรอยยิ้มสด ใสของปยุดา ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกได้ แต่ไม่อยากหันไปเพราะจะไปสร้างปัญหาเห็นว่ามีคนจ้องจะจับผิดอยู่ แผนที่วางไว้ว่า จะมาพักกันที่บ้านเช่าของกรวิกาต้องยกเลิกไปด้วยเพราะสาวๆ มีชายหนุ่มตามมา คนหนึ่งได้รับการหมั้นหมายอย่างไม่คาดฝัน อีกคนท่าทางอดีตคนรักกำลังหาทางที่จะชนะใจอีกครั้ง ภูดิทมองดูสองสาวที่เงียบไปทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน ปยุดาขอตัวไม่ได้ไปงานเลี้ยงของตุลย์กับกรวิกา ภูดิทจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันแทน เพราะยังไม่รู้ว่า การขอแต่งงานที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่
ปยุดาแวะรับประทานอาหารกับเจตน์ ซึ่งดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่เคยคบหากันในฐานะคนรัก แต่ดูเหมือนว่า ปยุดาไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจกับการเอาอกเอาใจนัก เพราะมัวไปกังวลถึงคู่รักที่คงจะมีข่าวการแต่งงานในอีกไม่นานนัก
“นายคนนั้น เวลาไม่เมาก็ใช้ได้อยู่นะ เอาอกเอาใจแฟนดี แต่ทำไมถึงได้มาทำไม่ดีกับยุ่ง ทั้งๆ ที่ยุ่งก็เป็นเพื่อนกับแฟนเขา”
เจตน์ถาม ไม่อยากคิดนักว่า ตุลย์นั้นอาจจะพึงพอใจในตัวปยุดาอยู่ด้วย
“คนเมา ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“อยู่ห่างๆ ไว้หน่อย ก็ดีนะคะ เวลาอาละวาดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน คนจะเป็นภรรยาเคยเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เวลาเมาน่ะ” คำพูดของเจตน์ได้สร้างความกังวลใจให้ปยุดามากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่รู้ว่าตุลย์โกรธเพียงแค่ตัวของปยุดาหรือโกรธกรวิกาด้วย
“ขอบคุณค่ะ”
ภูดิทไม่ค่อยไว้ใจในตัวของตุลย์เท่าไรนัก จึงขับรถตามมาดูว่า ตุลย์มาส่งกรวิกา โดยไม่สร้างปัญหาใดๆ หรือไม่ หากแต่ขับตามห่างๆ ไม่ให้สังเกตได้ว่า มีการติดตามมา จนมาถึงบริเวณด้านหน้าอาคารซึ่งเป็นสตูดิโอของกรวิกา ภาพการคลอเคลียกันเล็กน้อยไม่ได้สร้างความประหลาดใจอะไรให้กับภูดิทนัก เพราะคนรักกันคงต้องมีบ้างเรื่องถึงเนื้อถึงตัว แต่เท่าที่รู้มา กรวิกาหวงตัวมาตลอดและไม่ได้คิดที่จะใช้ชีวิตคู่ก่อนแต่งงานทั้งที่ฝ่ายชายออดอ้อนมาตลอด ตั้งแต่เริ่มคบหากัน
“ต้องเจอกันบ่อยๆ แล้วนะ เป็นคู่หมั้นกันแล้ว” ตุลย์บอกและจับมือซ้ายของกรวิกาขึ้นมาจูบ
“ไม่ต้องทำงาน ทำการหรือคะ” กรวิกาพูดยิ้มๆ
“ทำสิคะ ตอนเลิกงานไง ให้พี่มาค้างที่นี่บ้างก็ได้นี่นา จะแต่งงานอยู่แล้ว” ตุลย์พูดออดอ้อนหวังว่า กรวิกาจะใจอ่อนและให้ค้าง
เสียที่นี่คืนนี้
“คู่หมั้น แต่ยังไม่ใช่ภรรยานะคะ” ตุลย์อมยิ้ม มองดูแหวนอีกวงที่สวมอยู่ อันที่จริงเขาน่าจะถอดออกก่อนที่จะสวมแหวนให้กรวิกา
“ถอดไอ้ปลาดาวออกด้วยนะ” ตุลย์บอก
“แหวนหมั้น ใส่แล้วถอดออกได้หรือคะ” กรวิกาถาม
“เอาไว้วันจริง พี่จะถอดให้” ตุลย์ยิ้มและขยับเข้าใกล้ บรรจงจูบอย่างที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุด แต่ภาพการคลอเคลียระหว่างปยุดา
กับกรวิกาที่ได้เห็นทำให้เขาเริ่มรุกเร้าหนักขึ้น กรวิกาพยายามที่จะผลักออก
“พอค่ะ พี่ตุลย์” กรวิกาพูดเสียงเข้ม
“แค่นี้ต้องหวงตัวด้วย แหวนก็ใส่ให้แล้วนะ” ตุลย์แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก
“ถ้าจะทำแบบนี้ เอาแหวนคืนไปดีกว่าค่ะ”
“จะว่า หวงตัวก็ไม่น่าจะใช่นะ” ตุลย์พูดขึ้นลอยๆ มีรอยยิ้มกับแววตาที่จ้องมองแปลกๆ ไม่อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน
“ถ้าการขอแต่งงาน คือ การที่จะพูดจาอะไรก็ได้ อย่าแต่งเลยค่ะ”
“พี่จะแต่ง กรรับแหวนโดยไม่ได้ปฏิเสธอะไร ถือว่า ตกลง มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครจะทำให้อะไรๆ ของเราสองคนเปลี่ยนไปได้”
“มีอะไรหรือเปล่า พูดจาแปลกๆ” กรวิกาถาม เพราะท่าทางตุลย์แสดงอาการไม่พอใจและเหมือนพูดถึงคนอื่นด้วย
“รอวันส่งตัวเข้าหอ ก็ได้ ปล่อยให้แมวมันขโมยไปก่อน” ตุลย์บอกและรีบขึ้นรถขับออกไป กรวิกามองตามด้วยความไม่เข้าใจว่า
เกิดอะไรขึ้นทำไมตุลย์พูดจาแปลกๆ ภูดิทรออยู่สักพักจนแน่ใจว่า ตุลย์คงไม่ย้อนกลับมาแต่จะทำอย่างไร จะมาเฝ้าทุกวันคงจะไม่ได้
เกิดไอ้ผู้ชายคนนั้นบ้าขึ้นมาเหมือนเมื่อคืนก่อนไม่รู้กรวิกาจะเป็นอย่างไร
“กร ถึงสตูดิโอเรียบร้อย พี่ตุลย์กลับไปแล้วล่ะ” ภูดิทส่งข้อความบอกปยุดา ซึ่งเพียงแค่อ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับข้อความแต่อย่างใด
กรวิกาใช้เวลาอยู่ที่สตูดิโอพักใหญ่ จึงขับรถมาที่คอนโดมีเนียมริม น้ำ เพราะเป็นที่ๆ สงบและแอบหวังเล็กๆ ว่าจะเจอปยุดาอยู่
ที่นั่น แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาไฟทุกดวงปิดสนิทถึงกับถอนใจ
“ใครเขาจะมา” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ
“สวัสดีค่ะ” ปยุดารับสายพูดจาอย่างเป็นทางการมาก
“ถึงบ้านแล้วหรือ” กรวิกาถาม
“ยังทานข้าวอยู่กับพี่เจตน์” ปยุดาบอกและยิ้มให้คนที่นั่งยิ้มอยู่
“งั้นไม่กวนแล้วล่ะ” กรวิกาบอก
“ค่ะ” ปยุดาตอบเพียงสั้นๆ
ปยุดามองดูโทรศัพท์อยู่บ่อยครั้ง นึกขำตัวเองอยู่เหมือนกันจ้องมาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งบ่ายคล้อยแล้ว แอบหวังว่า กรวิกาจะโทรฯ มา ไปมีความ หวังกับคนที่ไม่ค่อยคิดจะจับโทรศัพท์สักเท่าไรนัก แต่บางทีการอยู่ห่างๆ อาจ จะช่วยให้กรวิกาไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น แต่เสียงเคาะประตูหน้าห้องที่ดังอยู่ทำให้ปยุดาหยุดคิดและหยิบโทรศัพท์เก็บในกระเป๋าถือ
“สวัสดีครับ” ตุลย์ทักทายเจ้าของห้องที่ลุกมาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ เชิญนั่งค่ะ”
“โต๊ะทำงานดีกว่าครับ” ตุลย์บอก
“ค่ะ ดื่มกาแฟไหมคะ”
“ไม่ล่ะครับ ผมมีธุระนิดเดียวเท่านั้น” ตุลย์พูดเสียงเข้มยื่นแฟ้มงานมาวางตรงหน้า ปยุดารับมาเปิดดู ตุลย์จึงเดินสำรวจดูรอบๆ ห้อง ซึ่งดูเป็นการเสียมารยาท แต่ปยุดาไม่ได้ใส่ใจยังคงจดจ่ออยู่กับแฟ้มงาน
“ปล่อยนะ” ปยุดาพูดเสียงเข้ม เมื่อถูกโอบกอดจากทางด้านหลังและตุลย์กำลังซุกไซร้ไปที่บริเวณลำคอ ปยุดาพยายามที่จะดึงดันเพื่อลุกขึ้น แต่สู้แรงของตุลย์ไม่ไหว จึงนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้ชายหนุ่มตายใจและรีบลุกขึ้นผลักตุลย์ แต่กลับถูกดึงตัวเอาไว้ ตุลย์
พยายามจะจูบและกอดปยุดาเอาไว้แน่นสุดแรงพร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะๆ
“อย่าดิ้นสิ อย่าดื้อด้วย จูบแฟนฉันไปเท่าไรแล้ว ขอคืนนิดๆ หน่อยๆ เอง” ตุลย์พยายามจะจูบปยุดาอีกครั้ง แต่ถูกมือดันเอาไว้
“จะปล่อยดีๆ หรืออยากมีเรื่อง” ปยุดาถามเสียงเข้ม แววตานั้นถึง กับทำเอาตุลย์ผงะไปเล็กน้อย
“อยากมีเรื่อง เอาซี้จะได้รู้กันล่ะทีนี้ หญิงก็ได้ ชายก็ดี งามหน้าล่ะ” ตุลย์พูดคล้ายขู่และได้ใจ เพราะปยุดานั้นอย่างไรคงสู้แรง
เขาไม่ไหว แต่ด้วยความคล่องแคล้วว่องไวทำให้เข่าที่ยกขึ้นกระแทกที่เป้าของตุลย์ ทำเอาคนที่ ย่ามใจถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น
“กรุณาสุภาพกับผู้หญิงทุกคนด้วยนะคะ คุณตุลย์” ปยุดาบอก
“เธอแย่งแฟนคนอื่นเนี่ยนะ ทำไมต้องสุภาพ”
“ตอนแรกว่าจะอยู่เงียบๆ หรือควรจะแย่งมาจริงๆ ดี หยุดนะ อย่าลุกมา ถ้าลุกมาแล้วถูกตัวฉันอีกนิดล่ะก็ โดนตำรวจไปลากคอ
ถึงบ้านแน่วงจรปิดที่นี่อย่างดีชัดแจ๋วทุกมุม ทุกจุด ฉันเล่นงานนายแน่ไม่ใช่แค่ตำรวจหน้าที่การงานของนายด้วย ฉันอาจไม่มีบารมีพอ แต่ฉันเชื่อว่า แม่ฉันมีและสามารถทำให้นายหลุดจากสายงานที่ทำอยู่ ตกลงยังไงจะออกไปดีๆ หรืออยากให้เรียกตำรวจ” ปยุดาถามเสียงเข้ม หน้าตาเอาเรื่องอยู่ ตุลย์มองดูที่กล้องวงจรปิดก่อนที่จะพยายามลุกขึ้น
“คนที่รักอยู่เจ็บ คนแถวนี้น่าจะเจ็บกว่านะ ว่ามะ” ตุลย์พูดและทำท่ายียวนกวนโมโห
“ก็ลองดู คนที่ฉันรักเจ็บ นายจะเจ็บสาหัสกว่า” ปยุดาจ้องเขม็งทำเอาตุลย์ล่าถอยยอมออกจากห้องไป ปยุดาถอนใจไม่คิดว่า
ตุลย์จะเป็นมากขนาดนี้
“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ ท่าทางคุณตุลย์ฉุนเฉียวออกไป” พนักงานเข้ามาถามปยุดา
“ไม่มีอะไร”
“เมื่อวานก็มาค่ะ เห็นมาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้อง หลังคุณกรมา แต่ไม่ยอมเข้าไปบอกว่า เห็นคุณยุ่งมีแขก จะมาใหม่อีกที” ปยุ
ดาถอนใจเมื่อได้ยินสิ่งที่พนักงานบอก คงจะมาเห็นตอนที่กรวิกาคลอเคลียอยู่กับเธอทำให้มีท่าทางแปลกๆ
“ขอบคุณค่ะ” ปยุดาบอกกับพนักงาน ซึ่งขอตัวออกไปทำงานต่อ
ปยุดาเดินไปเดินมากำลังคิดว่า จะทำอย่างไรดี เพราะท่าทางของตุลย์ไม่น่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แถมยังพูดเรื่องที่จะไปทำร้ายกาจกับกรวิกาอีก ปยุดาถอนใจจากที่เคยเป็นห่วงอยู่มาก ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม
“เค้าไม่น่าสร้างปัญหาให้ตัวเลยจริงๆ” ปยุดาบ่นพึมพำกับตัวเอง
ปยุดามีนัดหมายพามารดามาดูภาพเขียนของกรวิกา ซึ่งตกลงรับ ปากในทันที โดยไม่ได้พูดเรื่องอะไรทั้งๆ ที่ไม่ได้พบกันมาหลายวัน
“สวัสดีค่ะ เชิญด้านในเลยค่ะ แม่” กรวิกาพนมมือไหว้มารดาของ ปยุดารวมถึงเจตน์และยิ้มน้อยๆ ให้ปยุดาที่มีใบหน้าเรียบนิ่ง
“โอ้โห งดงามกว่าที่คิดไว้เยอะเลยทีเดียว ทำไมเอามาเก็บไว้ไม่ออกโชว์ล่ะคะ” มารดาของปยุดาถามกรวิกา
“คงต้องค่อยๆ ทำไปอีกสักพักค่ะ ชิ้นงานยังน้อยอยู่” กรวิกาบอก
“ยุ่งขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” ปยุดาบอกกับกรวิกา ซึ่งอาสาจะพาไปโดยปล่อยให้มารดากับเจตน์เดินชมภาพเขียนไปก่อน
“ถ้าแม่ไม่มาดูงาน เราคงไม่ได้เจอกันสินะ” กรวิกาพูดขึ้น
“เค้าไม่อยากเป็นตัวปัญหา” ปยุดาบอก
“ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน ใครเป็นปัญหา”
“ช่างเถอะ”
“กลัวคุณเจตน์ไม่สบายใจ กรหรือเปล่าที่เป็นปัญหาน่ะ”
“ใช่เวลาจะมาชวนทะเลาะไหม” ปยุดาพูดเสียงเข้มกับคนที่เดินเข้าหาและกอดเอาไว้
“มีอะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่อยากเจอก็บอกเลย กรจะไม่เข้าใกล้ยุ่งอีกหรือเพราะคุณเจตน์” กรวิกาจ้องมองคนที่ไม่ได้ละสาย
ตาจากดวงตาคู่สวยนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่กล้าที่จะจ้องมองนัก
“คุณตุลย์เห็นเค้ากับตัว ก่อนที่จะไปสวมแหวนให้ตัวน่ะ” ปยุดาบอกแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องที่ตุลย์ไปทำร้ายถึงห้องทำงาน
“ไหนว่าจะบอกทุกเรื่อง” กรวิกายังคงกอดปยุดาเอาไว้
“บอกไปไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา” ปยุดาบ่นพึมพำ น้ำเสียงกระเง้า กระงอดทำให้กรวิกาทาบทับริมฝีปาก และเบียดให้แนบชิด
จะคลอเคลียจน กว่าปยุดาจะใจอ่อน
“เหมือนคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียวเลย ผ่านไปไม่กี่วัน ยุ่งเปลี่ยนไปมากนะ”
“เค้าคงเป็นแบบนี้แหละ ใจง่าย เปลี่ยนไปเรื่อย” ปยุดาพูดประชดประชัน บางทีถ้าอยู่ห่างๆ กัน ตุลย์อาจจะได้เลิกสร้างความ
วุ่นวาย โดย เฉพาะไม่อยากให้ไปทำให้กรวิกาเสียใจ
“ชั่วครู่ ชั่วยามสินะ ได้ตามนั้น” กรวิกาถอนใจและถอยห่างออกมาปล่อยปยุดาไว้เพียงลำพัง รีบกลับลงมาดูแลมารดาของปยุดาอีกครั้ง