ภูดิทเป็นคนร่าเริงและมีเรื่องตลกๆ มาเล่าให้หัวเราะอยู่เสมอ ปยุดายิ้มๆ กับความน่ารักของเพื่อนรักทั้งสองคน กรวิกาเคยบอกเล่าว่ามีเพื่อนไม่มากนัก แต่ถือได้ว่า ภูดิทเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งในความรู้สึกของปยุดาหลังจากที่ได้พูดคุยกันในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะความห่วงใยที่มีให้เห็นอย่างชัดเจน
“มีคนหิ้วเรากลับได้คืนนี้ เต็มที่ได้เนอะ เราสองคน” ภูดิทหัวเราะมองสบตากับปยุดาที่ยิ้มน้อยๆ หันไปมองสบตากับคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งใบหน้าดูเรียบนิ่ง ปยุดารู้ดีว่า คงไม่อยากให้ดื่มมากมายนัก
“กลัวคนแถวนี้ดุเอา คราวที่แล้วเสียงเขียวใส่ยังจำได้อยู่เลย”
“แกล้งดุไปอย่างนั้นแหละ ถึงเวลาก็เป็นห่วง ตอนเรียนหิ้วภูกลับ ไปส่งตลอดแหละ” ภูดิทหัวเราะ เพราะตัวเองเป็นผู้ชายแทนที่จะดูแลเพื่อนสาวกลับกลายเป็นกรวิกาดูแลเสียเป็นส่วนใหญ่
“ไม่ต้องกินเยอะนักหรอก เมาแล้วก็ปวดหัว”
“แหมฉันแค่ล้อเล่น คนละแก้วสองแก้วก็พอแล้ว” ภูดิทถอนใจ เมื่อเห็นคนที่เดินตรงเข้ามาหา
“เสียใจ ไม่เห็นชวนกันบ้างเลย” ตุลย์พูดเสียงอ่อยๆ มองสบตากับ ปยุดาเล็กน้อยและกำลังลุกขึ้นเพื่อไปนั่งข้างภูดิทแทน
“ว่างหรือคะ ทำไมมาทานอาหารไกลจัง” กรวิกาถาม
“มาธุระแถวนี้จ้ะ กรใจร้ายนะ โทรฯ ไปหลายครั้งไม่เห็นโทรฯ กลับ” ตุลย์ทำเหมือนโลกนี้มีเพียงตัวเขากับกรวิกาเท่านั้น พูดคุยโดยที่ไม่ได้สนใจจะทักทายคนอื่นเอาเสียเลย
“สวัสดีครับ พี่ตุลย์” ภูดิทพนมมือไหว้ทักทายตามมารยาทปะปนด้วยความหมั่นไส้ ปยุดายิ้มน้อยๆ ให้ เมื่อเห็นตุลย์โอบไหล่กรวิกา ซึ่งหันมายิ้มๆ แล้วแอบถอนใจ
กรวิการู้สึกได้ว่า เมื่อตุลย์มานั่งร่วมโต๊ะ เสียงคุยและเสียงหัวเราะเงียบไป ภูดิทหันไปพูดคุยกับปยุดาเสียเป็นส่วนใหญ่ สำหรับ
ตุลย์คุยกับ กรวิกา โดยไม่ได้สนใจอีกสองคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กรวิกาแอบมองดูปยุดาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่มีท่าทีใดๆ ยังคงพูดคุยกับภูดิทเรื่องของเสื้อผ้าและการแต่งตัวที่ทั้งสองคนชื่นชอบคล้ายๆ กัน
“ขอตัวก่อนนะคะ พี่ตุลย์ ภูมีธุระแต่เช้าเลยพรุ่งนี้” ภูดิทบอกหลัง จากที่ตุลย์มาร่วมโต๊ะอยู่พักใหญ่และอี๋อ๋อกับกรวิกา จนทำให้รู้สึกรำคาญดูแปลกๆ ทั้งๆ ที่ไอ้คนที่หมายปองอีกคนนั้น ก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“ยุ่งกลับด้วยดีกว่า เพราะมีธุระแต่เช้าเหมือนกัน”
“ทำไมรีบกลับกันล่ะ เพิ่งสองทุ่มเองนะ” กรวิกาออกจะแปลกใจกับท่าทีของทั้งสองคน แต่ที่แปลกสุดน่าจะเป็นตุลย์เสีย
มากกว่า
“รู้สึกตัวว่าเกะกะ หรือเราไปแดนซ์กันต่อดีนะ” ภูดิทพูดขึ้นหันไปทางคนที่ยิ้มๆ และพยักหน้าเห็นด้วย
“เข้าท่าสักสองชั่วโมง แล้วกลับบ้านอน ไปกันเถอะค่ะ” ปยุดายิ้มให้ทั้งตุลย์และกรวิกา ก่อนที่จะควงแคนภูดิทเดินออกไป
“รู้ไหมน่ะ ว่าไม่ใช่ผู้ชาย” ตุลย์รำพึงออกมาเบาๆ มองตามสาวสวยหุ่นดีที่เดินยักย้ายส่ายสะโพกออกไปอย่างไม่วางตา
“พูดไม่ดีเลยนะ ลับหลังนิดเดียวเอง” กรวิกาพูดดุตุลย์ที่ไม่ได้สนใจคำพูดของกรวิกานัก
ภูดิทกับปยุดากำลังยักย้ายส่ายสะโพกอยู่ตรงกลางของร้าน ซึ่งมีคนมากมายอยู่พอสมควร อาจจะเพราะเป็นคืนวันศุกร์ ภูดิทมองดูสาวสวยทรงเสน่ห์ที่ยิ่งรู้จัก ยิ่งไม่แปลกใจเอาเสียเลยว่า ทำไมหมู่ภมรถึงได้หมายปองกันอย่างมากมาย เพราะตอนเดินหัวร่อต่อกระซิกกันเข้ามาในร้านนั้น สายตาของชายหนุ่มมากมาย คงนึกอิจฉาในตัวของภูดิทที่ได้ควงสาวสวยที่แสดงท่าทางสนิทสนมกันอย่างมาก
“คืนนี้ ภูดูป๊อบปูล่าทีเดียว ได้ควงสาวสวยทรงเสน่ห์ให้ชายหนุ่มได้อิจฉาทั้งร้าน ถามจริงรู้สึกอย่างไรที่โดนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา” ภูดิทยิ้มและถามปยุดาเมื่อพากันมานั่งที่โต๊ะเพื่อพักเหนื่อยและจิบเบียร์เย็นๆ กัน
“อย่าไปคิดว่า เขามองเรา แค่นั้นแหละ”
“เราสองคนคิดถูกไหมที่แยกตัวออกมาน่ะ” ภูดิทถาม
“เขาแฟนกัน คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
“อีพี่ตุลย์ยิ่งนานวัน ยิ่งดูน่ากลัว น่าวิตกขึ้นเรื่อยๆ นะ”
“คิดมากน่า” ปยุดาบอก
“ชักเป็นห่วง” ภูดิทบอกคนที่แอบถอนใจ แต่เพียงแค่ฟังไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรมากนัก
“เรากลับกันจะดีกว่าไหม พรุ่งนี้ต้องไปช่วยงานที่วัดกันนะ” ปยุดาหัวเราะเมื่อเห็นภูดิททำหน้าจ๋อยๆ
“นั่นสิ ภูขับตามไปส่งที่บ้านก่อนไหม สายตาหนุ่มๆ แถวนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไรนะ เคยโดนใครขับรถตามปะ” ภูดิทถาม
“เคย แต่ยุ่งน่ะ ขับรถเร็วเกินพิกัดอยู่แล้วนะ หนีเข้าตามซอยได้เลยไม่ค่อยมีใครตามทัน” ปยุดาหัวเราะ
“แม่เจ้า ร้ายกาจนะยะ งั้นถึงบ้านแล้วส่งข้อความแจ้งกันเนอะ”
“ขอบคุณนะ ภู ที่เป็นห่วง” ปยุดาเข้าสวมกอดภูดิท
“จะโดนคนอื่นต่อย ก่อนออกจากร้านไหมล่ะ กอดซะขนาดนี้”
“เอ๊า เพื่อนสาวกอดกันได้” ปยุดาหัวเราะ
ภูดิทเดินมาส่งปยุดาขึ้นรถ ก่อนที่จะแยกตัวไปที่รถยนต์ของตัวเอง ปยุดากำลังจะเคลื่อนรถยนต์ออกไป แต่มีคนมายืนขวางเอาไว้ ปยุดามองดูบริเวณโดยรอบไม่เห็นใครนอกจากตุลย์ ซึ่งกำลังเดินเข้ามาด้านที่ปยุดานั่งอยู่และพยายามดึงประตูรถยนต์ให้เปิดออก ดูมีอาการเมามายอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจว่ามากน้อยขนาดไหน ปยุดาลังเลและกำลังคิดว่า ควรออกไปพูดจาด้วยดีๆ หรือไม่ แล้วกรวิกาล่ะอยู่ไหน ปยุดาไม่ได้ห่วงเรื่องของผู้ชายที่ยังคงทุบที่กระจกรถยนต์และส่งเสียงให้ได้ยินแว่วๆ ว่าให้เปิดประตูออกไปคุยด้วย
“คุณครับ มีอะไรครับ” ผู้ชายอีกคนที่เข้ามาดึงตัวตุลย์ให้ออกห่างจากรถยนต์ของปยุดา ซึ่งรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าเป็น เจตน์
“อย่ามายุ่ง” ตุลย์เซถลาเล็กน้อยและทำท่าจะชกเจตน์ ซึ่งเพียงแค่ผลักเล็กน้อยสามารถทำให้ตุลย์เซถลาไป ปยุดารีบลงมาห้ามปราม
“เมาก็กลับบ้านไปซะ อย่ามารังแกผู้หญิง เป็นผู้ชายปะว๊ะ” เจตน์พูดเสียงดัง ตุลย์กำลังเดินตรงเข้ามาหา ปยุดาพยายามดึงรั้งเจตน์ไว้ไม่ให้มีเรื่องมีราว
“อ้าวผัวก็มีอยู่แล้ว ยังมายุ่งกับคนของคนอื่นอีก ระวังนะเว๊ยกำลังโดนสวมเขาอยู่น่ะ” คำพูดของตุลย์ที่พูดดูถูกปยุดาทำให้เจตน์อดรนเท่าไม่ไหว ตุลย์เลยโดนหมัดเข้าไปเต็มๆ จนล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
“ยุ่งขึ้นรถ ขับกลับบ้านไปเดียวนี้ ทางนี้พี่จัดการเอง” เจตน์บอกและพาตัวปยุดากลับขึ้นไปยังที่นั่งคนขับ โดยบังคับให้ขับออก
ไปทันที
“ฝากไว้ก่อนเถอะ มึง” ตุลย์พูดพึมพำ เจตน์มองดูรู้สึกเวทนา ตอนเจอกันครั้งก่อนเวลาไม่เมา ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดูดี ยังอดที่
จะคิดไม่ได้ว่าจะเจอคู่แข่งที่จะสร้างความลำบากใจให้ แต่เมื่อมาเห็นตอนนี้สภาพดูไม่ได้เอาเสียเลย เจตน์ถอนใจก่อนที่จะเดินหนีหายไปปล่อยให้ตุลย์ลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง
ปยุดาพยายามโทรศัพท์หากรวิกาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด จึงขับรถไปที่สตูดิโอเพราะคิดว่า บางทีตุลย์อาจจะขับรถตามมาส่งกรวิกาก่อนที่จะตามไปพบตัวเธอ แต่ไฟนั้นมืดสนิท ปยุดาคิดอยู่ครู่หนึ่งหยิบบัตรผ่านคอนโดมีเนียมของกรวิกาขึ้นมาดู และอ่านข้อความซึ่งกรวิกาแจ้งเลขรหัสผ่านประตูเอาไว้ให้ ปยุดาจึงรีบบึ่งรถไปหาในทันทีและหวังว่าจะพบกรวิกาอยู่ที่นั่น
จูบอันแผ่วเบาทำให้คนที่หลับไปแล้วนั้นขยับตัวเล็กน้อย ปยุดายิ้มมองดูคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่า คนรักของตัวเองไปอาละวาดอยู่ที่ไหนไม่รู้ ป่านนี้จะโดนพี่เจตน์จัดการไปหนักหนาสาหัสหรือเปล่า เมาจนไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดีขนาดนั้น แต่เมื่อได้เห็นกรวิกานอนหลับตาพริ้มอยู่ทำให้ความกังวลหายไปจนหมดสิ้น รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดเหมือนกันว่าจะห่วงใยกรวิกามากมายขนาดนี้ ทั้งๆ ตอนที่เห็นตุลย์ แทนที่จะห่วงตัวเองกลับกลายเป็นว่าห่วงกรวิกามากกว่า เพราะไม่รู้ว่า ตุลย์ทำอะไรกรวิกาหรือไม่ แต่ดูสิกลับมานอนหลับสบาย ทำให้ปยุดารู้สึกโล่งใจ ยืนยิ้มมองดูคนที่นอนหลับอยู่
“ยายคนขี้เซาเอ๊ย” ปยุดารำพึงออกมาเบาๆ และนั่งลงบนเตียงซึ่งมีพื้นที่เล็กน้อยข้างๆ กรวิกา
“กลับช้าจัง” กรวิกาดึงตัวปยุดาจนล้มทับมาบนตัวและสวมกอดเอา ไว้เสียแน่น
“ทำมาเป็นแกล้งหลับนะ ไม่ให้กอดแล้ว” ปยุดาพูดงึมงำ
“ขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“เค้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย หมั่นไส้คนนอนหลับ ก็แค่นั้น”
“วันหลังหมั่นไส้บ่อยๆ นะ หมั่นไส้มีจูบด้วย ดีออก”
“ไม่ขำ จะไปอาบน้ำแล้ว” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ กำลังชั่งใจอยู่ว่า ควรจะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่า ตุลย์จะเป็นอย่างไรบ้าง
“อึดอัดไหม” น้ำเสียงจ๋อยๆ ของกรวิกาทำเอาปยุดาเดินกลับมานั่งลงที่เดิม
“ไม่นะ ตัวมีความสุข เค้าก็มีความสุขไปกับตัวด้วย” ปยุดาพูดคล้าย ปลอบโยนคนที่โอบกอดเอาไว้อีกครั้ง
“กร อยากบอกพี่ตุลย์ เรื่อง ยุ่ง” กรวิกาบอก
“จะบอกว่าอย่างไร ดำเนินชีวิตตัวเองต่อไป อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดดีกว่า ตัวน่ะรักคุณตุลย์ไม่อย่างนั้นคงไม่คบหามานานหลายปี อะไรที่เพิ่งผ่านเข้ามาอาจจะแค่ชั่วครู่ชั่วยามหรือเปล่า ลองทบทวนให้ดีก่อนนะ”
“ชั่วครู่ ชั่วยาม ถึงเวลาแยกย้ายกันไป อย่างนั้นหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะนะ” ปยุดาถอนใจ การได้รู้สึกดีกับผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ต้องชั่งใจอยู่เหมือนกัน ความเป็นสาวมั่นที่ใครๆ
คิดไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ทำไมถึงได้ห่วงใย ทำไมถึงได้อยากจูบ ทำไมถึงได้อยากปลอบโยน ทำไมถึงได้กลัวว่าจะเข้าใจผิด แต่สุดท้ายคนรักที่มีอยู่น่าจะเป็นคนที่สำคัญที่สุดและทำให้ชีวิตของกรวิกาสมบูรณ์ ผู้หญิงกับผู้หญิงไม่น่า จะเป็นไปได้ เพราะไม่อย่างนั้น ผู้ชายอย่างตุลย์คงไม่ออกอาการหวงแหนไปตามราวีปยุดาอย่างนั้นแน่ ปยุดาลุกไปอาบน้ำเพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก
“กอดได้ไหม” กรวิกาถาม เมื่อปยุดาอาบน้ำเสร็จล้มตัวลงนอน
“ได้ดิ” ปยุดายิ้มน้อยๆ ให้
“ไม่ได้ก็บอกไม่ได้นะ ไม่ต้องตามใจ” กรวิกาบอก
“เค้าเคยตามใจตัวด้วยหรือ เค้าน่ะ เป็นคนเอาแต่ใจจะตายไป”
“รู้อยู่ ดื้อด้วย” กรวิกาหัวเราะกับคนที่ขยับเข้ามาใกล้ๆ
“แต่น่ารักนะ จะบอกให้” ปยุดบอก กรวิกาหัวเราะ
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
“ขอบคุณนะที่ยอมให้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว” ปยุดาบอกแล้วเบียดตัวให้แนบชิดกับคนที่โอบกอดเอาไว้
“เวลาไม่สบายใจที่เงียบๆ ดีเหมือนกันนะ”
“เงียบๆ คนเดียว ก็ไม่ไหวนะ มีตัวอยู่ด้วยดีกว่า” ปยุดาบอก
“เปิดพื้นที่ให้แล้ว จะมาเมื่อไรก็ได้ ส่วนใหญ่ กร อยู่ที่นี่”
“จ้ะ ง่วงแล้ว ฝันดีนะ” ปยุดาจูบเบาๆ ไปที่เนินอกของกรวิกาก่อน ที่จะหลับไป
กรวิกายิ้มๆ เมื่อเห็นภูดิทเดินไปเดินมาเหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเห็นปกป้องเดินไปพูดคุยด้วย สองหนุ่มจึงเดินเข้ามาช่วยขนของ ภูดิทมองสบตากับปยุดาเล็กน้อยคล้ายเป็นสัญญาณบางอย่าง
“พี่ตุลย์ทำอะไร ยุ่ง หรือเปล่าเมื่อคืน” ภูดิทถาม
“เปล่า แค่เจอกัน” ปยุดาไม่รู้ว่า ภูดิทรู้อะไรมาบ้างจึงบอกเล่าอย่างเป็นกลาง
“เจอกันอะไรเห็นข่าวหรือยัง แฟนเก่ายุ่งน่ะ อัดพี่ตุลย์ซะร่วงไปเลย จะว่าไป ก็สะใจดีนะ” ภูดิทกระซิบกระซาบไม่อยากให้กรวิ
กาได้ยิน แต่เมื่อมองเห็นรถยนต์ที่เข้ามาจอดในบริเวณวัดอีกคันถึงกับถอนใจ
“ถอนใจซะดังเชียว” ปยุดายิ้ม
“ดูโน่นสิ ตามมาได้ไงนะ” ภูดิทบ่นพึมพำ ปยุดาหันไปมองตามเห็นตุลย์เปิดประตูรถลงมาพอดี จึงหันไปมองทางกรวิกาที่มองดู
อยู่เช่นกัน
กรวิกาออกไปหาตุลย์ รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ตุลย์มาหรือว่า ภูดิทบอกเอาไว้ แต่ใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำทำให้กรวิกาลืมเรื่องที่ตุลย์มาได้อย่างไรไป สังเกตได้จากรอยที่ปรากฏนั้นเดาได้ไม่ยากนักว่า น่าจะไปเกิดเรื่องชกต่อยกับใครมา แต่หลังจากแยกกันเมื่อคืน ไม่น่าจะมีเหตุอะไรหรือว่าตุลย์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านตามที่ได้บอกเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้นคะ” กรวิกาถามมองดูและสัมผัสเบาๆ ไปที่ใบหน้าของตุลย์ซึ่งยิ้มน้อยๆ และเข้าสวมกอดกรวิกา
“อุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ เพราะมีเรื่องมีราวทำให้พี่คิดว่า กรสำคัญสำหรับพี่มากนะ” ตุลย์กระซิบบอกและกอดกระชับกรวิกาเอาไว้ ปยุดายิ้มจางๆ แต่ภูดิทกลับถอนใจกับสิ่งที่ได้เห็น ไม่รู้เหมือนกันว่า ตุลย์บอกอะไรกับกรวิกาถึงยอมให้กอด
“ปล่อยก่อนค่ะ เราอยู่ในเขตวัดนะคะ พี่ตุลย์”
“ดี มานี่มา” ตุลย์จับมือกรวิกาเดินไปทางบริเวณอุโบสถ ซึ่งมีกลุ่มนักศึกษา ภูดิทและปยุดาทำงานกันอยู่ ตุลย์ไม่ได้สนใจใคร
จับมือพากรวิกาเข้ามาบริเวณภายในและนั่งคุกเข่าลงหน้าพระประธาน กรวิกาจึงต้องนั่งลงข้างๆ ไม่รู้ว่า ตุลย์คิดอย่างไร จึงมองดูคนรัก
ก้มลงกราบพระแล้วนั่งพับเพียบหันมาทางกรวิกา ทำเอาปกป้องและเพื่อนๆ รีบลงมาจากนั่งร้านซึ่งใช้สำหรับปีนขึ้นไปนั่งซ่อมแซมผนังอุโบสถ ปยุดาจ้องมองไม่วางตา ตุลย์ยิ้มน้อยๆ ควรจะเรียกว่า ยิ้มเยาะมากกว่า ภูดิทเองสังเกตเห็นเช่นกัน เมื่อชายหนุ่มหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ทำให้มีเสียงฮือฮาจากกลุ่มนักศึกษาดังขึ้นเล็กน้อย จนกระทั่งความเงียบเข้ามาครอบงำ
“แต่งงานกับพี่นะ” ตุลย์ทำให้เกิดความเงียบขึ้นในหัวใจของกรวิกาทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทเสียจนรู้สึกวังเวงใจ การขอแต่งงานทำให้กรวิการู้สึกเหมือนอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ปยุดารู้สึกไม่ต่างกันนัก หัวใจนิ่ง เสียงต่างๆ เงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้เสียงปรบมือของกลุ่มนักศึกษาซึ่งแสดงความดีใจกับกรวิกา ถึงแม้เจ้าตัวยังไม่ได้ตอบรับคำขอแต่งงานนั้น ตุลย์มองสบตากับปยุดาอีกครั้งก่อนที่จะสวมแหวนให้
ภูดิทแทบจะไม่เชื่อสายตาและสิ่งที่ได้ยิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้ชายคนนั้นคิดอะไรอยู่ ความห่วงใยที่มีต่อกรวิกาทวีขึ้นมากมายมหาศาล หลังจากที่ได้รับรู้ความร้ายกาจของตุลย์ แอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่อย่างนั้นเขาเองจะเป็นคนตั้นหน้าผู้ชายคนนี้
“มันแปลกๆ หรือเปล่าคะ” กรวิกาถาม หลังจากนิ่งงันอยู่พักใหญ่ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่กล้าหันไปมองปยุดาซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
“แปลกอะไรกันคะ เราคบกันมาหลายปีแล้วนะ ถึงเวลาแล้วล่ะส่วนเรื่องผู้ใหญ่ เดี๋ยวเราคุยกันอีกที” ตุลย์ยิ้มและเอามือทาบทับ
ไปที่ศีรษะของกรวิกาอย่างคล้ายเวลาหยอกเอินกัน กรวิกาถอนใจ มองดูแหวนเพชรวงที่ตุลย์เพิ่งสวมให้ครอบทับไปที่แหวนรูปปลา
ดาวสีเขียวของปยุดา
ตุลย์ประกาศบอกกับนักศึกษาที่มาฝึกงานว่า ตนนั้นขอเป็นคนเลี้ยงมื้อค่ำทุกๆ คน กลุ่มนักศึกษาดีใจเป็นอย่างมาก ยกเว้นปกป้องที่ยังคงจ้องมองไปที่กรวิกา ซึ่งยังคงนิ่งงั้น แต่กลับไม่มีทีท่าแสดงอาการดีใจใดๆ เลย ออกจะแปลกไปสักหน่อยสำหรับคนที่เพิ่งถูกขอแต่งงาน
ภูดิทยืนขวางปยุดาเอาไว้ เมื่อตุลย์จับมือกรวิกาเดินเข้ามาใกล้ๆ คนที่ถูกจับมืออยู่สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของเพื่อน แต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะตัวเองออกจะ งงๆ และทำอะไรไม่ค่อยถูกนัก สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ คือ ไม่กล้ามองสบตากับปยุดา
“กร จองตัวเพื่อนไว้เป็นเพื่อนเจ้าสาวเลย ก็ดีนะ” ภูดิทได้ยินเข้าอยากจะตั้นหน้าตุลย์เสียเดี๋ยวนั้น เพราะรอยยิ้มแปลกๆ กับแวว
ตาชวนหาเรื่องที่จ้องมองไปทางปยุดา
“ไม่ต้องจองหรอกค่ะ เพื่อกร ยุ่งทำให้ได้ทุกอย่าง” ปยุดาบอก
“ทุกอย่างไม่ได้แล้วนะ มีแหวนแล้ว” ตุลย์พูดขึ้นลอยๆ
“พี่ตุลย์” กรวิกาพูดห้ามปราม
“ยินดีด้วยค่ะ” ปยุดาบอกเพียงแค่นั้น แล้วหันไปสนใจการทำงานกับกลุ่มนักศึกษา ภูดิทมองสบตากับกรวิกาเล็กน้อยจากความสนิทสนมทำให้กรวิกาดูออกว่าภูดิทไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก แต่กรวิกาไม่รู้ว่าทำไมหรือมีอะไร เพราะก่อนหน้านั้น ภูดิทยังถามไถ่เรื่องการแต่งงานอยู่เลย
“ดีใจด้วยนะ” ภูดิทบอกและตามปยุดาไปเพื่อทำงานกันต่อ