ปยุดากลับมาทำงานตามปกติ เพราะกรวิกาอาการดีขึ้นและเริ่มไปดูแลปกป้องกับเพื่อนที่มาช่วยบูรณะซ่อมแซม ส่วนที่เป็นจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ ชาวบ้านและกลุ่มนักศึกษาช่วยกันทำงานจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อย งานที่คงต้องค่อยเป็นค่อยไปคือ งานศิลปะภายใน ปยุดาเพิ่งบอกเล่าเรื่องราวที่ไปทำบุญให้มารดาได้ทราบ ท่านยิ้มและชื่นชมในตัวลูกสาวที่รู้จักแบ่งปันสิ่งที่มีให้กับคนอื่นๆ การได้ช่วยเหลือแม้ว่าจะเล็กน้อยความรู้สึกดีนั้นจะทำให้เกิดปัญญาและมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต ปยุดายิ้มกับคำพูดของมารดา เพราะสิ่งดีๆ ที่ว่ามาเป็นรูปของบุคคลเสียมากกว่าเช่นกลุ่มนักศึกษาที่เป็นเพื่อนของปกป้องยังคงรับอาสาต่อ หากมีงานบุญที่ปยุดาจะทำกลุ่มหนุ่มสาวพร้อมที่จะช่วยเหลือในช่วงเวลาที่แต่ละคนสะดวก แถมยังมีเพื่อนใหม่อย่างภูดิทซึ่งช่วงหลังสนิทสนมและพูดคุยกันมากขึ้น ภูดิทเองบอกตามตรงว่า ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยชอบขี้หน้าปยุดาทำเอาเจ้าตัวอดที่จะขำไม่ได้ และอีกคนที่ดีที่สุดได้หอบความสุขมาให้ในทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน
“เป็นผู้ชายนะ จะให้แม่ไปขอเลย” ปยุดาพูดกับตัวเองรอยยิ้มสดใสมากขึ้น เมื่อได้นึกถึงกรวิกาศิลปินสาวที่ป่านนี้อาจจะเลอะเทอะไปด้วยสีจากงานที่ทำอยู่นั้น
ตุลย์ยังคงไม่ละความพยายาม เมื่อยิ่งถูกกดดันจากกลุ่มเพื่อนร่วมวงดื่มและท่องราตรี ถึงแม้จะรู้ว่ามีคู่แข่งเป็นถึงอดีตคนรักเก่า ซึ่งถึงขั้นวาง แผนแต่งงาน แต่ผู้ชายอย่างตุลย์ที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงและท่าทีของ ปยุดาไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใดทั้งๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า ตัวเขานั้นมีกรวิกาอยู่แล้วในฐานะคนรัก
“ถามจริงมึง แม่คนนั้น กับ กรรู้จักกันดี เขายังยอมให้มึงจีบอีกหรือ”
“สงสัยกูหล่อ” ตุลย์บอกกับเพื่อนที่เบือนหน้าหนี
“ระวังเถอะมึง กร น่ะ ใจเด็ดขนาดนั้น อยากเทขึ้นมาอย่ามาขอให้ช่วยเหลือเชียวนะ” เพื่อนคนหนึ่งพูดคล้ายเตือนตุลย์ที่ดื่มไป
พอสมควรทำให้ไม่ค่อยยอมฟังสักเท่าไร
“ถ้าจีบคนนี้ติดจริง กูอาจจะเทเขาก็ได้นะ” ตุลย์บอกทำเอาเพื่อนคนนั้นถอนใจและไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ได้ยินนัก เลยเลือกที่จะ
นั่งเงียบๆ ไม่เตือนหรือพูดอะไรอีก
“ไอ้รูปหล่อเอ๊ย จีบให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยมาโม้” ตุลย์มีรอยยิ้มที่มุมปากและเริ่มดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
“เห็นผู้หญิงเป็นผักเป็นปลาหรือไง ไม่เห็นจะหล่อเท่าไรเลย” ผู้หญิงคนที่ได้ยินตุลย์พูดนั้น เป็นหนึ่งในเพื่อนของปยุดา ไม่ค่อย
พอใจนักที่ได้ยินผู้ชายที่ตัวเองไม่รู้จักพูดถึงเพื่อน ตอนแรกตั้งใจจะเหวี่ยงวีนแทน แต่เห็นว่ายังมีหนุ่มดีๆ บางคนที่ช่วยตักเตือนเลยเลือกที่จะเงียบ แอบถ่ายรูปของตุลย์ส่งไปให้ปยุดาเพื่อจะได้ระวังเอาไว้ ท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไรนัก
ปยุดานำเรื่องที่ได้ยินมาพูดคุยกับภูดิท ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตุลย์พูดจาถึงผู้หญิงอย่างนั้น เท่าที่ฟังเหมือนอยากเอาชนะมากกว่าและกับกรวิกาฟังดูเหมือนไม่ได้รักเสียด้วยซ้ำ แล้วไอ้ที่ทำดีคะขาต่อหน้ามันหมาย ความว่าอย่างไร ภูดิทถึงกับถอนใจ
“มีความมั่นใจมากขนาดนั้นเลยหรือ ผู้ชายน่ะ” ภูดิทส่ายหน้า
“เพื่อนเตือนให้ระวัง เพราะยุ่งบอกไปว่า รู้จักกับคุณตุลย์” ปยุดาบอกแอบเป็นห่วงคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นมากกว่า
“ภูว่า บอก นังกร ดีกว่านะ”
“เขาเป็นแฟนกันนะ จะดีหรือ กรเขาจะฟังพวกเราหรือ ลองคิดกลับ กันถ้าเป็นแฟนภู แล้วกรไปบอกว่า แฟนภูเป็นแบบคุณตุลย์ ภูจะเชื่อไหมล่ะจะว่าไปเวลาสองคนอยู่ด้วยกัน คุณตุลย์ก็ดูแลดีนะ อาจจะพูดตอนเมามั้ง” ปยุดาบอกกับภูดิทที่พยักหน้าและทำท่าคิด
“ดีไม่ดี วันหนึ่งความจริงคงจะปรากฏ ยุ่งนั่นแหละต้องระวังไม่ใช่ นังกร ถ้าพี่ตุลย์เป็นอย่างที่เราคิด ไม่น่าจะมีแค่ยุ่งนะ เพราะท่า
ทางมั่นใจในความหล่อเหลาของตัวเองเสียเหลือเกิน” ภูดิทพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
“จริงๆ ภูหล่อกว่าตั้งเยอะเนอะ” ปยุดาพูดยิ้มๆ
“แหม รักกันตายเลยแบบนี้” ภูดิทบอก
“หรือต้องชมว่า สวย คะ”
“หล่อ ดีแล้วค่ะ” ปยุดากับภูดิทหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน ความกังวลใจของทั้งสองคนมีมากพอๆ กัน ภูดิทเองห่วงปยุดาไปอย่างที่
บอก เพราะยิ่งไปในที่ๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง ในบางครั้งไปคนเดียวเสียด้วยซ้ำไปและไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตุลย์คิดอย่างไรกันแน่ สมมติถ้าปยุดาเกิดชอบพอขึ้นมา กรวิกาคงโดนเทอย่างที่ตุลย์หลุดปากพูดออกมาตามคำบอกเล่าจากเพื่อนของปยุดา คิดไปคิดมาออกจะน่ากลัวสำหรับทั้งสองสาวเลยที เดียว ภูดิทคงต้องหาทางที่จะระมัดระวังให้กับทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่
“ภูว่า เราไปทำบุญกันดีกว่าวันหยุด ยุ่งไม่ได้ไปดูที่วัดมาหลายวันแล้วนี่ เผื่อคนแย่ๆ จะได้ออกไปจากชีวิตไม่เข้ามาวุ่นวายกับเรา” ภูดิทบอกกับปยุดาที่ยิ้มน้อยๆ ให้
“ว่าจะไปอยู่แล้วล่ะ เออไปนอนที่บ้านเช่าของ กร สิ เงียบสงบดีนะ ภูอาจจะชอบอยู่ติดกับบ้านนายป้องเลย” ปยุดาบอกกับภูดิท
ที่แสดงท่าทีเห็นด้วยเลยอาสาจะขับรถไปรับปยุดาแล้วไปด้วยกัน จะได้ประหยัดน้ำมัน
“แต่เห็น กร บอกจะมาซื้อสีอยู่นะ ไว้ค่อยโทรฯ คุยกันอีกทีไหม”
“แหมทีกับเพื่อนเก่า เพื่อนแก่ ไม่เคยบอกเล๊ย” ภูดิทพูดบ่น
“กลัวทวงงานมั้ง ภู”
“โอ๊ยใครจะไปกล้าทวงงานศิลปะ ภูเรียนมาเหมือนกันนะ รู้ว่ากว่าจะได้งานมาแต่ละชิ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย งั้นเรากินข้าวกันไหมวัน
ศุกร์ไหนๆ คนลี้ภัยไปอยู่นอกกรุงจะกลับเข้ากรุงอยู่แล้ว” ภูดิทเสนอความคิดเห็น
“ดีเหมือนกันนะ”
“ถ้าอย่างนั้น ภูขอตัวก่อนนะ”
“จ้ะ ขอบคุณนะที่เลี้ยงกาแฟ” ปยุดาหัวเราะ เพราะเมื่อใดที่ภูดิทมีธุระหรือนัดลูกค้าบริเวณใกล้ๆ ร้านเครื่องประดับมักจะแวะ
ทักทายพูดคุยกันจนถือได้ว่า สนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว ปยุดาไม่แปลกใจเท่าไรนักเพราะความสนิทสนมที่รวดเร็วมากกว่านั้นคือ กรวิกา
“ยินดีจ้ะ มื้อใหญ่ๆ ไว้ให้ ยุ่ง เลี้ยงไง” ภูดิทหัวเราะ ปยุดายิ้ม ส่ายหน้ากับความขี้เล่นอย่างภูดิท
ปยุดายิ้มจางๆ เมื่อเห็นโทรศัพท์ที่ยังโชว์ชื่อ คนพิเศษ ว่าจะเปลี่ยนตั้งแต่ครั้งก่อนซึ่งคิดว่า กรวิกาคงเห็นเข้ามัวแต่หาเรื่องคุย
ให้สบายใจทำให้ไม่ได้จัดการเปลี่ยน แต่เดี๋ยวหลังจากวางสายคงต้องเปลี่ยนเสียที เจตน์ลุกขึ้น เมื่อปยุดาเดินเข้าไปในร้านกาแฟและจัดแจงสั่งเครื่อง ดื่มให้ปยุดาโดยไม่ได้ถามเลยว่า อยากดื่มอะไร
“ของโปรดเรา” เจตน์บอก
“ไม่ใช่แล้วค่ะ” ปยุดาบอก เมื่อเห็นกาแฟที่มีนมผสมมาด้วย
“นึกว่าเหมือนเดิมเสียอีกนะ”
“คนเราคงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่านะคะ ว่าไหม” ปยุดาเดินไปจัดการสั่งกาแฟใหม่ โดยไม่สนใจกาแฟที่เจตน์สั่งให้ ซึ่ง
เป็นกาแฟชนิดที่ปยุดาเคยดื่มเป็นประจำ
“เหมือนที่ทำผิดพลาด ควรได้รับโอกาสอีกครั้งหรือเปล่าคะ” เจตน์เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี เก่ง และฉลาด โดยเฉพาะการพูดจาหว่านล้อมไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือทางด้านธุรกิจ ในตอนที่เริ่มพูดคุยก่อนที่จะคบหากันนั้นก็เพราะการพูดจาอย่างชาญฉลาดที่น่าสนใจ รวมถึงให้คำปรึกษาได้แทบจะทุกเรื่อง จนทำให้ปยุดาคิดว่า น่าจะตกล่องปล่องชิ้นกับชายหนุ่มที่ดูดีมาก กว่าเมื่อครั้งที่คบหากับเธอเสียอีก แต่ด้วยความพร้อมของชายหนุ่มทำให้ถูกหมายปองจากสาวๆ มากมาย มากเสียจนปยุดาเหนื่อยที่จะรับฟังเรื่องของผู้หญิงคนโน้นคนนี้ในชีวิตเจตน์ แถมยังมีเรื่องงานที่จะต้องจัดการอีกมากมายและตอนนั้นคงเป็นช่วงวัยที่คิดว่า ตัวเธอเองไม่จำเป็นจะต้องมีใคร
เพราะปยุดาจัดการกับทุกๆ เรื่องราวในชีวิตได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ออกห่างกันไปเรื่อยๆ ฝ่ายชายเองมีข่าวสาวๆ เต็มไปหมด จนมีข่าวเรื่องการแต่งงานออกมาทำให้เรื่องราวระหว่าปยุดากับเจตน์ต้องจบลง โดยปยุดาถอยออก มาและฝ่ายชายเองก็ไปหลงใหลกับสาวบางคน จนไม่ได้ใส่ใจอะไรปยุดานัก และหลังจากนั้นไม่นานข่าวคราวของปยุดาก็ได้รับความสนใจจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทันที เมื่อต้องออกงานและเปิดตัวธุรกิจซึ่งรับหน้าที่ต่อจากมารดา
“โอกาสผ่านแล้ว ก็ผ่านเลยค่ะ” ปยุดาบอก
“ครั้งนี้ พี่จริงจังและจริงใจนะคะ” เจตน์บอก ปยุดายิ้มน้อยๆ และชวนพูดคุยเรื่องอื่น เหลือบมองดูโทรศัพท์บ้าง เพราะมีนัด
หมายกับกรวิกาเอาไว้
“ฝากเรียนคุณแม่ด้วยนะคะ พี่จะเข้าไปกราบท่าน ถ้าอย่างไรจะโทรฯ ไปเรียนนัดหมายด้วยตัวเอง แต่ฝากยุ่งไปเรียนท่านให้ก่อน” เจตน์ยิ้ม คงต้องหาทางเข้าทางผู้ใหญ่ เพราะทางครอบครัวของเขากับของปยุดานั้น ค่อนข้างจะสนิทสนมกันอยู่ ถึงแม้ลูกๆ จะไม่ได้ตกล่องปล่องชิ้นกันก็ตาม
“ได้ค่ะ ยุ่งขอไปทำงานก่อนนะคะ”
“ค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะคะ” เจตน์ลุกขึ้นยืน ยิ้มน้อยๆ ให้ปยุดาซึ่งกำลังเดินออกไปพร้อมกับพูดคุยโทรศัพท์
“ตัวอยู่ไหนแล้ว” ปยุดาถามกรวิกา
“ติดงานอยู่หรือเปล่า ถึงแล้วล่ะ เดินเล่นรอข้างล่างก่อนก็ได้”
“เหนื่อยหรือ น้ำเสียงแปลกๆ” ปยุดาถาม
“เปล่าเดินไปคุยไปมั้ง”
“กาแฟไหม เค้าอยู่หน้าร้านพอดี จะมาเจอกันที่นี่ หรือตัวจะขึ้นไปข้างบนเลย” ปยุดาถามหันไปมองยังเห็นเจตน์นั่งอยู่
“ก็ดีนะ ขอบคุณค่ะ” กรวิกาบอก
“พูดเพราะนะนั่น” ปยุดายิ้ม
“เจอกันที่ห้องทำงานนะ” กรวิกาพูดตัดบท
“จ้ะ คิดถึงนะ”
ปยุดายิ้มแป้นเมื่อเห็นกรวิกานั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก ด้วยความที่ชอบแกล้งชอบหยอกล้อจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆ กระแซะก่อนที่จะส่งแก้วกาแฟให้
“เบียดไปนะ” กรวิกาพูดเสียงเข้ม
“ไหล่กลับมาเจ็บอีกหรือ” ปยุดาถาม
“หายแล้ว ทำงานได้แล้วล่ะ”
“เด็กข้างนอกบอกเห็นตัวข้างล่าง ตั้งแต่ชั่วโมงก่อน แอบไปไหนมา” ปยุดาแกล้งเป็นถามเสียงเข้มคล้ายเวลากำลังหาทางจับ
ผิดอยู่
“ซื้อกาแฟ แต่เห็นมีแขก ไม่สินะ คนพิเศษ” กรวิกาบอกแล้วเริ่มจิบกาแฟ ปยุดายิ้มน้อยๆ
“แฟนเก่า หล่อเนอะ” ปยุดายื่นหน้ายื่นตาเข้าไปใกล้ๆ
“ดูดีทีเดียว”
“ชมก็ต้องมองสบตาดิ คุยกันไม่สบตา ถือว่าไม่จริงใจนะ”
“ดีใจนะ ที่เห็นยุ่งดูร่าเริงสดใส” กรวิกายิ้มให้ปยุดา ซึ่งทำเป็นยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม
“มีความสุข อารมณ์ดี”
“นั่นสิ ไม่น่าแปลกใจเนอะ”
“แหมก็เหมือนเวลาคุณตุลย์กุมมือตัว หวานซะ” ปยุดานึกถึงวันที่ได้พบตุลย์พร้อมกับกรวิกา
“ตกลงจะคุยเรื่องผู้ชายกันหรือ”
“หวงเค้าปะเนี่ย” ปยุดาหัวเราะคิกคัก
“กร เห็นยุ่งมีความสุขนะ ในร้านกาแฟน่ะ” กรวิกาบอก
“ได้ยินเสียงเค้าพูดบอกแว่วๆ ให้ได้ยินหรือไง แบบดีใจจังแฟนเก่ามาหา มากินกาแฟด้วย งี้หรือ” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ
กรวิกาจึงดึงตัวเข้ามาใกล้ๆ และเริ่มพรมจูบคลอเคลีย ปยุดายิ้มน้อยๆ และเบียดริมฝีปากของตัวเองให้แนบชิด อยากให้คนที่คลอเคลียอยู่ด้วยสบายใจขึ้น
“กร รู้นะว่า ไม่ควรจูบ เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน”
“แต่เค้าอยากถูกตัวจูบนะ ริมฝีปากนุ่มดี น่ารัก” ปยุดาเป็นคนพูดตรงๆ ยิ้มๆ มองดูคนที่ยิ้มอายๆ ทั้งที่เป็นคนเริ่มจูบก่อน
“พูดตรงไปนะ” กรวิกาอมยิ้ม ส่ายหน้ากับคนที่มีรอยยิ้มและแววตาทะเล้นจ้องมองอยู่
“ไม่มีอะไรสักหน่อย แวะมาทักทาย เสียใจแทนที่ตัวจะเข้าไปช่วยตอนเห็นจะได้เจอกันเร็วๆ กลับไม่ทำ” ปยุดาพูดบ่นทำหน้าง้อใส่กรวิกา
“ขอโทษก็ได้ ไม่รู้นี้ พรุ่งนี้จะรีบตื่นแต่เช้ามาจับหัว ลูบหัว ไม่งอแง ไม่งอนเนอะ” ปยุดายิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ขยับเข้ามาใกล้และพูดง้อ
“ตั้งแต่ตีสาม เพราะไม่เจอกันหลายวันแล้วนะ”
“ง่วงตายพอดี” กรวิกาหัวเราะกับคนที่เริ่มพูดแหย่ให้ยิ้มได้
“ขี้บ่น อ้ะเปลี่ยนชื่อในโทรศัพท์แล้ว เป็นพี่เจตน์ ไม่พิเศษแล้วนะ”
“ไม่เห็นอยากรู้เลย”
“เหรอ ไม่เป็นไร เค้าอยากให้รู้ อันนี้ของตัว” ปยุดายื่นให้ดูมีตัว หนังสือตัวเดียวเป็นอักษรภาษาอังกฤษตัวแอลใหญ่
“ไม่น่าใช่นะ แอลคืออะไร”
“ทั้งหมดจะมีสี่ตัว แต่ต้องดูความน่ารักของตัวก่อน ว่าจะได้ครบทั้งสี่ตัวไหม” ปยุดายักคิ้ว กรวิกาหัวเราะไม่คิดว่า ปยุดาจะมีลูก
เล่นแต่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยที่น่ารักและคงรู้ว่า กรวิกาคงรู้ว่าอักษรอีกสามตัว เมื่อครบแล้วความหมายคืออะไร กรวิกาโดนยิ้มทะเล้นใส่ยื่นหน้ามาใกล้ๆ จึงจูบเข้าให้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับโดนหยอกล้อคลอเคลีย จนแทบไม่อยากถอยห่างออกมา
“เค้าตอบคำถามตัวได้ทุกเรื่องนะ ถ้าอยากรู้อะไร” ปยุดาบอกอยากให้คนที่มีรอยยิ้มสวยๆ กับดวงตาวาววับนั้นรู้สึกสบายใจ
“กร ไม่ชอบถาม”
“แต่ชอบจูบ เพื่อนเค้าไม่จูบกันนะ รู้ใช่ไหม” ปยุดาถามแกล้งแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นล้อกรวิกา
สองสาวพูดคุยหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะดังออกมาด้านนอกเป็นบางครั้ง โดยไม่ได้สังเกตว่ามีคนยืนมองดูอยู่ด้านนอก อาจจะเพราะมีม่านบดบังอยู่ แต่พอมีช่องเล็กๆ ซึ่งสามารถมองผ่านเข้ามาได้ ภาพของสองสาวที่คลอเคลียกันอยู่นานสองนานได้ตรึงให้ตุลย์จ้องมอง จนไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร แต่เมื่อได้ยินเสียงของคนเดินมาจึงถอยออกมาเล็กน้อย
“อ้าวคุณตุลย์ ยังไม่ได้เข้าพบคุณยุ่งอีกหรือคะ” พนักงานของปยุดาถามแขก ซึ่งมาขอพบปยุดา
“มีแขกอยู่ เอาไว้ผมมาใหม่ก็ได้ครับ ไม่ต้องบอกคุณยุ่งนะครับ ว่าผมมาเอาไว้ผมจะโทรฯ มาอีกที” ตุลย์บอกกับพนักงานสาว
คนนั้น
“ได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ตุลย์ขอตัวและกลับออกมา
“อย่าหวังว่าจะได้ไปเลย คนของใครก็ต้องเป็นของคนนั้น ผู้หญิงจะถูกเลือกได้อย่างไร ไม่มีวันหรอกที่จะได้ไปน่ะ” ตุลย์รำพึง
กับตัวเองขณะเข้ามานั่งอยู่ในรถและนึกถึงสองสาวที่คลอเคลียและจูบกันฉันท์คนรัก นึกถึงคำ พูดของเพื่อนที่เตือนว่า หากกรวิการู้
เรื่องที่ตุลย์หันมาสนใจปยุดาเข้าเขาจะโดนเท แต่ไม่มีทางเสียหรอกอย่างน้อยกรวิกาจะต้องไม่ไปไหน ตุลย์กำลังโทรศัพท์หากรวิกา แต่ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด ซึ่งเป็นปกติแต่ครั้งนี้ตุลย์เองรู้สึกได้ว่า ไม่ปกติเพราะภาพที่เห็นไปก่อนหน้านี้ จึงขับรถวนรอบๆ ดูว่ารถยนต์ของกรวิกาจอดอยู่บริเวณไหน คิดว่าจะไปจอดใกล้ๆ เพื่อจะได้ตามดูว่า ทั้งสองสาวจะไปไหนกันต่อหรือไม่