ปยุดาไม่ได้ถามไถ่ถึงกรวิกาเลย พูดคุยกันเรื่องงานบ้างหรือเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกตุลย์ซักถามเสียมากกว่า จนกระทั่งมองเห็นใครบางคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาและยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ
“ดีใจที่ได้เจอนะคะ” เจตน์เป็นอดีตคนรักของปยุดา ซึ่งมีข่าวว่าน่า จะมีลมพัดหวนตั้งแต่กลับมาวันแรก แต่ยังไม่ได้พบเจอกัน
“ดีใจเช่นกันค่ะ” ปยุดายิ้มน้อยๆ เข้าสวมกอดทักทายเจตน์ที่กอดกระชับเอาไว้แน่น จนทำให้ตุลย์จ้องเขม็ง ปยุดาเชิญเจตน์นั่งร่วมโต๊ะด้วยหลังจากถามไถ่แล้วว่ามาเพียงลำพัง จึงได้ทำการแนะนำชายหนุ่มสองคนให้รู้จักกัน ตุลย์เงียบไป เพราะเจตน์ชวนปยุดาพูดคุยเรื่องเก่าๆ
ปยุดาขอตัวไปเข้าห้องน้ำและหายออกไปทางด้านหลังร้านปล่อยให้สองหนุ่มอยู่กันตามลำพัง หนุ่มคนแรกเมื่อเห็นปยุดาเดินอ้อมผ่านไปถึงกับหัวเราะมองไปทางโต๊ะ ซึ่งสองหนุ่มนั่งนิ่งไม่พูดไม่จากันและยังไม่รู้ตัวว่า สาวเจ้านั้นหนีกลับไปแล้ว
“ดีนะ ที่เราไหวตัวทัน ไม่ไปหลงใหลเข้า”
กรวิกาเข้ามานั่งอยู่ที่เตียงบริเวณห้องนอน ซึ่งสามารถมองเห็นวิวของแม้น้ำเจ้าพระยา ปยุดานั่งลงข้างๆ หลังจากนำของที่หอบหิ้วมาด้วยไปเก็บไว้ โดยจัดเสื้อผ้าของตัวเองที่เตรียมมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าของกรวิกาก่อน ที่จะมานั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ
“ยิ้มอะไร” กรวิกาถาม
“เหมือนได้กลับมาบ้าน ยังไงก็ไม่รู้” ปยุดานั่งอมยิ้มมองดูทิวทัศน์ของสายน้ำยามค่ำคืน ซึ่งมีประกายจากแสงจันทน์ทำให้เกิดเป็นเงากระทบบนผืนน้ำ ถือได้ว่างดงามมากเลยทีเดียว
“ดีใจที่รู้สึกอย่างนั้น สัญญาได้ไหมว่าจะไม่บอกใคร”
“ถ้าไม่สัญญา ตัวก็ไม่ให้เค้ามาอีกสิ” ปยุดาบอก
“นึกว่าต้องนอนปวดไหล่คนเดียวซะแล้ว” กรวิกาเริ่มพูดอ้อน
“เค้าจะดูแลตัวเท่าที่เค้าสามารถทำได้นะ แบบตอนกลางวันจะออกตัวว่าอยากมาด้วยคงไม่ได้” ปยุดาบอกไม่รู้เหมือนกันว่า
จริงๆ แล้วรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจหรืออึดอัดแต่อย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่ได้เจอกับคนรักของกรวิกา
“กรก็เหมือนกัน” กรวิกากุมมือของปยุดาที่นำอีกมือมาทาบทับเอา ไว้ คนบางคนทำไมอยู่ด้วยแล้วนำพาความสุขความสบายใจมาให้ทั้งๆ ที่นั่งกันอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย มองดูสายน้ำที่เคลื่อนไหวให้เห็นเล็ก น้อยจะมีคลื่นแรงให้เห็นชัดขึ้นเมื่อมีเรือ
แล่นผ่านไปมา
“เอาไว้ไหล่หายเจ็บแล้วค่อยใส่แหวนเนอะ” ปยุดาหยิบกล่องแหวนออกมาจากกระเป๋า หัวแหวนเป็นรูปปลาดาวที่ออกแบบโดยกรวิกา ซึ่งมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น ไม่คิดว่างานจะเสร็จเร็วขนาดนี้แถมรูปทรงยังดูทันสมัยดูจากตัวเรือน ถ้าไม่ใช่ทองคำขาวก็อาจจะเป็นเงิน ส่วนหัวแหวนที่เป็นรูปปลาดาวถูกอาบไว้ด้วยสีเขียวสะท้อนแสงทำให้ดูแปลกตา โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ไฟในห้องนอนไม่ได้เปิดทำให้เห็นหัวแหวนได้อย่างชัดเจน
“ทำไมต้องรอไหล่หายเจ็บล่ะ ใส่ข้างนี้ก็ได้นี่” กรวิกายื่นมือซ้ายให้ กับปยุดาที่ยิ้มกับความน่ารักของคนที่อยากเอาใจด้วยการอยากสวมแหวนที่เอามาให้
“ก็ได้” ปยุดายิ้มๆ สวมแหวนเข้าที่นิ้วกลางตามที่ได้วัดขนาดเอาไว้แต่กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถสวมเข้าไปได้ ติดอยู่ที่ข้อกลางของนิ้วทำเอาคนที่วัดขนาดเองกับมือ ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ไป
“ลองนิ้วนี้ดูสิ” กรวิกามองสบตากับปยุดาที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นกรวิกาพับนิ้วทั้งสี่เหลือเพียงแค่นิ้วนางเท่านั้น ก่อนที่จะค่อยๆ บรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ ออกอาการมือไม้สั่นเล็กน้อย
“พอดีเลย แปลกเนอะ” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“กรไม่รู้สึกแปลกอะไรอีกแล้วล่ะ สำหรับเรื่องของยุ่งน่ะ”
“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะแปลกก็ได้นะ เค้าไม่รู้ว่าวันข้างหน้าความรู้สึกเค้าจะเป็นแบบไหน” ปยุดาแอบถอนใจ
“กรจะใส่แหวนของยุ่งไว้ ถ้าวันหนึ่งมีแหวนแต่งงาน กรจะไม่ถอดจะใส่ไว้แบบนี้ แล้วเอาแหวนแต่งงานสวมทับอีกที”
“เจ้าบ่าวคงยอมหรอกนะ” ปยุดาพูดพึมพำ
“ไม่ยอม ก็ไม่ต้องแต่ง” กรวิกาเอามือทาบทับไปที่แก้มของปยุดาซึ่งนำมือของตัวเองมาทาบทับอีกที อยากให้กรวิกาสัมผัสได้
ถึงความอบอุ่นที่ตัวปยุดาได้รับ
“ถอดได้ เค้าไม่ว่าหรอกแล้วคล้องไว้กับสร้อยก็ได้”
“กรจะวาดภาพเหมือนให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของยุ่งนะ”
“คงอีกนาน กรคงมีหลานให้แล้วล่ะ แฟนยังหาไม่ได้เล๊ย” ปยุดามองสบตา และล้มตัวลงนอนหนุนตักกรวิกาที่ขยับตัวเล็กน้อยให้คนที่คอยดูแลได้พักบ้าง
“กรว่า ไม่น่าจะนานนะ” กรวิกาถอนใจเบาๆ
“ถ้าเค้าหรือตัวแต่งงาน เราจะมาเจอกันแบบนี้ได้อีกไหม ในเมื่อตัวมีที่แห่งนี้เอาไว้ปลีกวิเวกให้เค้ามาหาตัวบ้างนะ ได้หนุนตัก
แบบนี้เวลาเหนื่อยคงทำให้รู้สึกสบายขึ้น เหมือนตอนนี้” ปยุดาถาม
“ได้สิ ถือเป็นเจ้าของร่วม การ์ดเสียบประตูกับลิฟต์อยู่ในลิ้นชักส่วนเลขรหัสประตูห้องเดียว กร ส่งเข้ามือถือไว้ให้นะ เผื่อยุ่ง
อยากมา” กรวิกาบอกและมองไปทางลิ้นชักหัวเตียง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปยุดาที่สามารถเอื้อมมือไปเปิดได้แต่เจ้าตัวกลับอมยิ้มแหงนหน้ามามองสบตาด้วย
“ล่อลวงเค้าใช่มะ” ปยุดาถามยิ้มๆ
“บอกหมดแล้ว อยากหยิบไป หรืออยากเก็บไว้ที่เดิม ก็แล้วแต่ยุ่ง”
“เปลี่ยนชุดนอน ทานยาแล้วเข้านอนดีกว่าเนอะ จะได้หายเร็วๆ”
“เจ้าค่ะ” ปยุดาลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าและเลือกชุดนอนมาให้ รวมถึงช่วยเปลี่ยนชุด โดยไม่กล้าที่จะมองเรือนร่างของกรวิกา
เท่าใดนัก ขนาดไม่มองหัวใจยังเต้นเสียใจแทบจะระเบิดออกมาอยู่ด้านนอก แต่ภาพบางภาพกลับเข้ามาในความคิด เมื่อเห็นแผลเป็น
ซึ่งอยู่ที่เอวต่ำลงไปจนถึงขอบสะโพกทำเอาปยุดามือไม้สั่น เพราะภาพความฝันแปลกๆ นั้นได้กลับมาวูบวาบในความรู้สึกกับคำถามในใจที่ว่า ผู้หญิงในความฝันนั้นเป็นใครกัน และภาพที่เคยคลอเคลียอยู่กลับมาชัดเจนในความนึกคิดเสียจนทำให้นิ่งงั้นไป ทำเอา
คนที่ยืนอยู่ด้วยแปลกใจ
“ยุ่ง” กรวิกาเรียกชื่อของปยุดา
“แผลเป็นใหญ่จัง” ปยุดาเอามือสัมผัสเบาๆ ไปที่บริเวณแผลเป็นบริเวณสะโพกของกรวิกา
“ช่างสังเกตนะ” กรวิกาพูดแหย่
“บังเอิญเห็น ไม่ได้สังเกต เห็นมาเยอะกว่านี้อีก” ประโยคท้ายนั้นพูดไม่ค่อยชัดนักเหมือนพึมพำ
“เห็นอะไรมา” กรวิกาถามยิ้มๆ
“ก็เห็นตอนช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ไง มันต้องเห็นบ้างปะล่ะ”
“ไม่ได้สังเกต เชื่อก็ได้” กรวิกาหัวเราะเล็กๆ
“ไอ้บ้า ชอบล้อนักนะ” ปยุดาช่วยจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เรียบร้อย
“ยิ้มน่ารักดี เวลาโดนล้อ”
“ไปนั่งรอก่อน เดี๋ยวเอายากับน้ำมาให้” ปยุดาเดินออกไปหยิบยาและเตรียมน้ำดื่ม แต่เหมือนคนเป็นบ้า หันรีหันขวางเดินไปเดินมาทำตัวไม่ค่อยถูกนัก ซองยายังดึงไม่ออก เมื่อได้รู้และมั่นใจว่า ฝันของตัวเองทีคลอเคลียกับผู้หญิงคนหนึ่ง รอยแผลเป็นที่ได้เห็นเหมือนกับของกรวิกาซึ่งปยุดาจำได้แม่น เพราะจูบอย่างอ่อนโยนอยากให้รอยแผลเป็นที่คงเคยสร้างความเจ็บปวดนั้นหายไป ปยุดาจำได้ดี จำได้แม่น แทบอยากจะกรีดร้องออกมา
“หลงรักเข้าหรือเปล่าว๊ะ” ปยุดาพูดกับตัวเองและพยายามรวบรวมสติรีบจัดการเรื่องยาให้กรวิกา เพราะถ้าหายออกมานานจะผิดสังเกต
กรวิกาตื่นก่อนฟ้าสว่างขยับหมอนหนุนและขยับตัวขึ้นไปอยากเห็นคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ชัดๆ ปยุดาคงเหนื่อยอยู่มากกับการดูแลเอาใจใส่ กรวิกาลูบเบาๆ ไปที่ศีรษะของปยุดาอย่างเอ็นดู
“ต้องทำอย่างไร ถึงจะได้ตื่นมาเห็นยุ่งทุกเช้า” กรวิกาถอนใจเอามือทาบทับไปที่ศีรษะของปยุดา
“ทำไมตื่นเช้าจัง” ปยุดางึมงำถามขึ้น กรวิกาหัวเราะเล็กๆ
“เมื่อวานนอนกลางวันไปมั้ง”
“เค้ายังง่วงอยู่เลย”
“ง่วงก็นอนต่อสิ” กรวิกาบอกกับคนที่ขยับตัวเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย
“เอามือวางที่หัวไว้ก่อนนะ อุ่นใจดี” ปยุดาบอกทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา
“ตื่นหรือยังที่อ้อนอยู่เนี่ย” กรวิกายิ้มลูบศีรษะของปยุดาอย่างแผ่วเบามองดูคนที่นอนยิ้มหลับตาพริ้มอยู่
“ตื่นนิดหน่อยแล้ว เช้าไหนที่อยู่ด้วยกันแบบนี้ จับหัวลูบหัวทุกครั้งที่ตัวตื่นได้ปะ น๊า นะ” ปยุดาพูดอ้อน แต่ยังคงหลับตาอยู่
“ได้สิ นอนต่อเถอะ” กรวิกาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มไปจูบที่หน้า ผากของปยุดาที่มีรอยยิ้มทะเล้นทันที
“แน่ะ อันนี้ไม่ได้ขอ เป็นของแถมหรือ”
“เดี๋ยวจะโดนเขกหัวนะ หลับไปได้แล้ว” กรวิกาส่ายหน้ากับคนที่ชอบยั่วเย้า ช่างแกล้ง ช่างแหย่ แม้จะง่วงแสนง่วงก็ตาม
“ถ้าจะอาบน้ำปลุกด้วยนะ”
“จ้ะ นอนเถอะ” กรวิกาลูบไล้ศีรษะของปยุดาอย่างแผ่วเบา คนที่ต่อปากต่อคำไปเมื่อครู่คงหลับไปอีกครั้ง
ปกป้องโทรศัพท์หาปยุดาจึงได้ทราบเรื่องของกรวิกา ซึ่งมารดานั้นพอจะทราบอยู่บ้าง แต่เมื่อมาพบแพทย์แล้วหายไปทำให้มารดาของปกป้องเป็นห่วง คนเป็นดั่งน้องชายดีใจเมื่อได้ยินปยุดารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะที่จะดูแลกรวิกาให้เป็นอย่างดี
“กราบเลยครับ พี่ยุ่ง” ปกป้องพูดยิ้มๆ
“คุยไหม รอเดี๋ยวนะ” ปยุดายื่นโทรศัพท์ให้กรวิกา
“ว่าไงเรา” กรวิกาทักทาย
“หายไวๆ นะครับ”
“ขอบคุณครับ ฝากบอกแม่ว่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“ครับผม ดีใจครับที่พี่ยุ่งอยู่ดูแล พี่กร” ปกป้องยิ้ม เพราะอยากให้คนที่ตัวเองเคารพรักทั้งสองคนเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
“ขอบคุณมากนะ ป้อง”
“ผมไม่รบกวนแล้วครับ ดีจังถึงแม้โทรฯ หาพี่กรไม่ได้ แต่โทรฯ พี่ยุ่งก็เหมือนโทรฯ หาพี่กรเนอะ” ปกป้องหัวเราะและรีบวางสายไป
“ร้ายนักนะ เดี๋ยวนี้” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ บอกเล่าเรื่องที่ถูกปกป้องพูดแซวเรื่องโทรศัพท์ ปยุดาหัวเราะกับความน่ารักของ
ชายหนุ่มรุ่นน้องที่มีความห่วงใยในตัวของกรวิกา
“เค้าไปว่ายน้ำนะ” ปยุดาเตรียมกาแฟมา ตอนที่ชวนกันมาบริเวณสระน้ำของคอนโดมีเนียม ซึ่งอากาศยังไม่ร้อนมากนัก ภาพที่
เห็นปยุดาลงไปแหวกว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำทำให้นึกถึงความฝัน กรวิกายิ้มพยายามสลัดภาพเก่าๆ ออกไป แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่เหมือนดั่งว่า ภาพนั้นชัดเจนขึ้นและกำลังเป็นจริงอยู่ในเวลานี้ ปยุดาหันมายิ้มน้อยๆ ให้บ้างบางครั้งเหมือน กับเธอในคืนที่เคยฝันถึง
ปยุดาดันตัวขึ้นมาเอาแขนพาดไว้ที่ขอบสระ ซึ่งกรวิกานั่งจ้องมองอยู่และยิ้มทะเล้นยักคิ้วหลิ่วตาล้อ หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามเนื้อตัวส่องประกายยามแสงอาทิตย์กระทบเข้ากับเรือนร่างของสาวสวยในชุดว่ายน้ำ ซึ่งเผยเรือนร่างให้เห็นเด่นเช่น โดยเฉพาะเนินออกอันได้รูป กรวิกาพยายามเตือนตัวเองไม่ให้จ้องมองมากนัก จึงเลือกที่จะสบตาด้วย แต่คงแสดงท่าทางเขินอายทำให้ปยุดายังคงยิ้มทะเล้นให้อยู่แถมยังเอามือแตะที่ปากทำท่าส่งจูบให้ กรวิกาส่ายหน้ากับแม่คนช่างยั่ว ถ้าไหล่ไม่เจ็บล่ะก็จะลงไปคลอเคลียกับคนช่างยั่วเสียเลย
“คราวหน้าลงมาว่ายน้ำด้วยกันนะ เค้าจะรอ” ปยุดาตะโกนบอกและกลับไปแหวกว่าย รวมถึงหันมายิ้มทะเล้นให้อีก
“ใครจะอยากลงไปว่ายด้วย” กรวิกาแกล้งพูดแหย่คนที่ว่ายกลับมาอยู่ที่ขอบสระอีกครั้ง
“อย่าลืมสิ เค้ารู้สิ่งที่ตัวเองคิดนะ ไว้คราวหน้าจะเอาบิกินีสีขาวมาใช่ปะล่ะ” ปยุดาหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นกรวิกายิ้มอายๆ
“รู้แบบนี้ ก็ไม่ไหวนะ เผลอคิดอะไรแปลกๆ ก็แย่ดิ” กรวิกายิ้มมอง ดูคนที่ยังคงทำหน้าแป้นแล้นล้ออยู่
โทรศัพท์ของปยุดาสั่นเตือนว่ามีคนโทรฯ เข้ามา กรวิกามองดูด้วยความไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเห็นตัวหนังสือซึ่งปรากฏทำให้รอยยิ้มจางลง
“คนพิเศษ” นั่นคือตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่หน้าจอโทรศัพท์ของปยุดา ซึ่งกรวิกาทำเป็นเฉยๆ ไม่สนใจแม้โทรศัพท์จะสั่นเตือน
แจ้งว่า มีการโทรฯ เข้ามาอยู่หลายครั้งก็ตาม
เมื่อปยุดาขึ้นจากน้ำและมานั่งอยู่ข้างๆ กรวิกาจึงบอกเรื่องโทรศัพท์ที่มีสายเข้ามาอยู่หลายสาย ปยุดาจึงเปิดดูและยิ้มจางๆ ให้
กับกรวิกาที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แววตาคู่นั้นทำให้ปยุดายิ้มจางลง
“แฟนเก่า เพิ่งกลับจากต่างประเทศ เมื่อคืนทิ้งเขาไว้ที่ร้านเหล้าก่อน จะรับตัวมาที่คอนโด”
“น่าจะมีธุระนะ” กรวิกาบอก
“ได้ ตัวนั่งอยู่ตรงนี้นะ ห้ามลุกหนี ห้ามลุกไปไหน” ปยุดาขยับมานั่งเบียดใกล้ๆ เรียกได้ว่าไหล่เกยกันทีเดียว แต่กรวิกากลับคิด
ว่า ถูกเบียดเอาไว้ไม่ให้ลุกหนีเสียมากกว่า
“เบียดขนาดนี้ คงลุกไปไหนได้หรอกนะ” กรวิกาบ่นพึมพำ ปยุดาอมยิ้มและแกล้งขยับเบียดอีกทั้งๆ ที่ตัวเปียก
“สวัสดีค่ะ พี่เจตน์” ปยุดาทักทายอดีตคนรัก
“ยังร้ายกาจเหมือนเดิมนะคะ ทิ้งพี่ไว้ให้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับหนุ่มของเราน่ะ” เจตน์พูดคล้ายต่อว่า แต่ปยุดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ไม่ได้ทิ้ง มีธุระด่วนพอดี มีคนต้องดูแลค่ะ” ปยุดาหันมายิ้มๆ ให้ กับคนที่ทำหน้านิ่งแล้วหันมองไปทางอื่น
“อ้าวมีคนต้องดูแลซะแล้ว ข่าวที่พี่ได้มาก็ผิดสิคะ”
“ข่าวอะไรอะคะ” ปยุดาถาม
“ช่างเถอะ ว่างไหม” เจตน์ถาม
“ไม่ว่างเลยค่ะ คงอีกสักพักใหญ่ๆ พี่เจตน์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไว้ว่างก่อนค่อยบอก” เจตน์นั้นคุ้นเคยกับปยุดาและพอจะรู้จักนิสัยใจคอดี เรื่องตามตื้อนั้นไม่เป็นผล จะตื้ออย่างไรชวนอย่างไร
ถ้าไม่คือไม่ ถ้าอยากจะมาพบจะตอบตกลงเอง ดูไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไรนักกับการมีหนุ่มไปนั่งเฝ้าเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา
“ได้ค่ะ ไว้ค่อยคุยกันนะคะ”
“ค่ะ คิดถึงนะ” เจตน์พูดทิ้งท้าย
“ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะค่อยพูด” ปยุดาบ่นพึมพำ หลังจากเจตน์วางสายไปแล้ว
“ขี้บ่นนะ เรา” กรวิกาพูดแหย่
“เขาบอกว่า คิดถึง ไอ้ตอนที่อยากให้บอกไม่พูด ชอบรำคาญใส่”
“ดีออกนะ มีคนคิดถึงน่ะ” กรวิกายิ้มให้ปยุดา
“ตัวล่ะ ถ้าไม่เจอเค้านานๆ ตัวจะติดถึงเค้าไหม” ปยุดาอมยิ้มและจ้องหน้าเฝ้ารอคำตอบ
“ก็คิดอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นต้องรอนานเลย” กรวิกาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นปกติ
“หวานเหมือนกันนะ ตัวเนี่ย” ปยุดาแกล้งเอาไหล่กระแทกเบาๆ ซึ่งเป็นด้านที่ไม่ได้เจ็บ กรวิกายิ้มอายๆ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะ
พูดอะไรอย่างนั้นออกมา แต่สิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริงที่อยากให้คนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้รู้เอาไว้
“ไปดูงานบ้างก็ได้นะ กรอยู่ได้”
“ทำงานที่นี่ก็ได้ เทคโนโลยีทันสมัยแล้วนะ” ปยุดาบอก
“แม่จะว่าเอาหรือเปล่า งานไม่ไปทำ บ้านไม่กลับด้วย”
“บอกว่าดูแลตัว แม่รีบบอกให้อยู่ดูแลเลยล่ะ” ปยุดาหัวเราะ
“ควรเขียนรูปให้สักโหลสินะ” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ
“พอเลย มีหวังเค้าตกกระป๋อง เลิกรักเค้า ไปรักตัวก็แย่ดิ”
“แม่ที่ไหนกันคะ คุณยุ่งที่จะรักคนอื่นมากกว่าลูกน่ะ” กรวิกายิ้ม
“แม่เค้าเนี่ยแหละ ลองเอาภาพเขียนไปให้สักโหลแปรพักตร์แน่นอน” ปยุดาหัวเราะเล็กๆ รู้สึกสบายใจ เพราะท่าทางกรวิกายัง
ร่าเริงสดใสหรือตัวเธอนั้นอาจจะกังวลใจไปเอง อาจจะด้วยเพราะความสัมพันธ์และความรู้สึกแปลกๆ ที่มีกับกรวิกา ถ้าเป็นหญิงชายน่า
จะเพราะพึงใจที่จะศึกษาดูใจและคบหากัน แต่ในเมื่อเป็นผู้หญิงด้วยกันและกรวิกาเองมีคนรักอยู่แล้ว ปยุดาเองคงคิดไปไกลนักไม่ได้ ถึงแม้จะมีจูบที่แสนอบอุ่นแสดงออกถึงความรู้สึกดีจากกรวิกาก็ตาม อยู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นมาทำเอากรวิกาจ้องมองอย่างไม่วาง ตาคล้ายตั้งใจฟัง และหวังว่าจะได้ยินเสียงความคิดของปยุดา แต่ไม่มีเสียงใดแม้จากเจ้าตัวเองหรือเสียงของความคิด
“ถ้าคิดถึง มาที่นี่ได้เสมอ ไม่ร้องไห้นะ กรอยู่ข้างๆ อยากให้รู้สึกว่ากรจับมือยุ่งอยู่ตลอดเวลา คนเราอาจจะไม่สมหวังไปเสียทุกอย่าง แต่เราสามารถทำให้หัวใจของเราสองคนรู้สึกสุขใจได้ ยามที่ได้นึกถึงกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไกลกันขนาดไหน ดวงตาคู่ที่ยุ่งบอกว่าสวยจะมองดูและคอยดูแลอยู่ในทุกๆ ที่ยามที่ยุ่งนึกถึงไม่ว่าจะเศร้าใจ เสียใจ หรือสุขใจก็ตาม ไม่ร้องไห้นะ คนเก่ง” กรวิกาช่วยเช็ดน้ำตาของปยุดาที่ไหลรินออกมา เมื่อได้ยินสิ่งที่กรวิกาพูดบอก
“พูดเยอะ พูดยาว ดูสิกลั้นน้ำตาไม่อยู่เลย ไม่พูดซึ้งน้ำตาก็ไม่ไหลขนาดนี้หรอก จะพูดทำไมเนี่ย” ปยุดาบ่นพึมพำยิ้มอายๆ กับคนที่จู่ก็พูดความในใจออกมาเสียมากมาย ปยุดามองดูสายสร้อยและจี้รูปดวงตาซึ่งห้อยอยู่ที่คอของกรวิกา