ตอนที่ 11. สงบศึก

1499 คำ
“สองคนนี้เจอกันแล้วรึ” ปู่หลิวจิ้นถามเมื่อเห็นหลานชายกับว่าที่หลานสะใภ้ยืนจ้องหน้ากันอยู่ “ครับ” หลิวโม่โฉวไม่ปิดบัง ใบหน้าเรียบนิ่งน้ำเสียงเย็นชามีเพียงแววตาที่เหมือนยิ้มเยาะอยู่ที่ทำให้พรนับพันโกรธจนกำมือแน่น เขาถือสิทธิ์อะไรมาปั่นหัวเธอแบบนี้ ไม่ได้ป่วยแต่ก็ไปให้เธอตรวจที่โรงพยาบาล ราวกับชายหนุ่มรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคิดอะไรอยู่ เขาสาวเท้าเดินผ่านเธอไปแล้วประคองปู่หลิวด้วยตนเอง “ต้าเหนิงวิ่งไปบอกว่าปู่เป็นลม ผมไปส่งปู่ที่โรงพยาบาลเอง” “แค่เป็นลมไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก” ปู่หลิวโบกมือไปมา แล้วเบี่ยงตัวไปสบตากับว่าที่หลานสะใภ้ “ปันปันมาเจอโม่โฉวสิ” “ปู่” ชายหนุ่มตำหนิด้วยน้ำเสียงเข้ม “เวลานี้สุขภาพของปู่สำคัญที่สุด อย่าเพิ่งคุยเรื่องไร้สาระเลยน่า” ‘เรื่องไร้สาระ! ใช่สิ! การแต่งงานมันคงเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขาถึงได้หลบหน้าไม่มาเจอเธอ อ้อ! ยังมีเวลาแอบไปดูตัวเธอมาก่อนแล้วด้วย’ โกรธก็ส่วนโกรธ เวลานี้อาการของปู่หลิวสำคัญที่สุด “ใช่ค่ะ คุณปู่ไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะคะ” สาวใช้เข็นวีลแชร์มารอแล้ว ปู่หลิวไม่อยากไปโรงพยาบาลแต่ดูท่าทางจะขัดใจหลานๆไม่ได้ จึงยอมนั่งวีลแชร์ให้คนรับใช้เข็นไปถึงรถตู้ที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว พรนับพันอยากตามไปด้วยแต่สถานะของเธอคงยังไม่เหมาะนัก เรื่องแบบนี้ให้คนในครอบครัวไปดีกว่า หลิวโม่โฉวประคองปู่เข้าไปนั่งในรถแล้วก็หันมาจะพูดกับพรนับพันแต่เห็นลูกชายยืนใกล้ๆ ทำตาแดงๆ เขาก็ยื่นมือไปลูบหัวต้าเหนิง “คุณทวดจะไม่เป็นอะไร ลูกรออยู่ที่นี่นะ” “ครับ” “ผมฝากคุณดูแลต้าเหนิงได้ไหม” “ค่ะ” อาจเพราะน้ำเสียงที่นุ่มลงทำให้เธอตอบรับอย่างไม่ลังเล เขาพยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วหมุนตัวก้าวขึ้นไปนั่งในรถตู้ทันที พรนับพันยืนอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าปลายนิ้วของเธอถูกจับอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอก้มมองก็พบว่าต้าเหนิงจับมือเธออยู่ รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นพร้อมกับที่เธอค่อยๆ นั่งบนส้นเท้าเพื่อให้ตัวเองมองเห็นหน้าเด็กชายได้ถนัด “ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณปู่ทวดไม่เป็นอะไรแน่นอน” “จริงๆนะ” “อืม จริงค่ะ พี่ก็เป็นหมอไม่โกหกหรอก”เธอไม่อยากให้ต้าเหนิงตกใจเกินไป แค่เห็นปู่เป็นลมก็คงขวัญเสียมากพอแล้ว “หิวไหม เราไปหาอะไรกินกันเถอะ” ต้าเหนิงแหงนหน้ามองแล้วก็ยอมเดินตามอย่างว่าง่าย จะเก่งอย่างไรก็เป็นแค่เด็กห้าขวบ พรนับพันจูงมือเด็กน้อยเดินเข้ามาด้านในเมื่อเจอแม่บ้านก็ให้ช่วยจัดเตรียมอาหารมื้อเที่ยง แต่ห้องรับประทานอาหารนั้นกว้างเกินไป เธอเสนอให้กินง่ายๆในครัวก็ได้ “ในครัวหรือคะ?” แม่บ้านถามสีหน้าประหลาดใจ “กินข้าวแค่สองคนไม่ต้องใช้ห้องใหญ่หรอก หรือไม่สะดวกก็หาที่ให้เราสองคนนั่งกินง่ายๆ ก็พอค่ะ” “ได้ค่ะ คุณผู้หญิงกับคุณชายน้อยเดินตามมาดิฉันมาได้ทางนี้ค่ะ” เมื่อเป็นความต้องการของเจ้านาย คนรับใช้ก็ขัดไม่ได้ ในครัวมีห้องขนาดเล็กสำหรับให้คนรับใช้ คนสวน คนขับรถ ได้กินอาหาร เวลานี้พวกเขากำลังนั่งรอกินมื้อเที่ยง เมื่อเห็นเจ้านายเข้าก็มาก็ตกใจรีบลุกขึ้นยืนทันที “มารบกวนตอนกินข้าวเลย” พรนับพันพูดด้วยรอยยิ้ม “หอมจัง ขอเราสองคนกินด้วยนะคะ” “มีแต่อาหารธรรมดานะครับ” คนขับรถพูดขึ้นท่าทางหวาดหวั่น ใครๆ ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่นายท่านใหญ่หมายตาเป็นสะใภ้ จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือทำให้รำคาญใจ “ดูน่ากินมากเลยค่ะ ฉันมาแย่งกับข้าวพวกคุณหรือเปล่าคะ” พรนับพันยังแสดงความต้องการเดิมไม่เปลี่ยนใจ “ไม่เลยค่ะ ครัวที่นี้ไม่เคยทำให้พวกเราอด นายท่านใหญ่สั่งว่า ไม่ว่าอย่างไรทุกคนในบ้านต้องได้กินอิ่ม” สาวใช้อายุสี่สิบปลายๆ พูดขึ้น “ต้าเหนิงเรากินข้าวที่นี่กันเถอะ กินหลายคนครื้นเครงดี” “ผมไม่ชอบกินผัก” เด็กชายบอกแล้วขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ สาวใช้กุลีกุจอรีบตักข้าวให้ทั้งสองคน ปกติถ้าไม่กินข้าวพร้อมปู่ทวดก็กินข้าวกับแม่บ้านที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้เขาด้วย แต่ปู่หลิวก็ไม่ว่างตลอด มันจึงไม่ต่างจากกินข้าวคนเดียว “ไม่กินผักก็ตัวไม่โตนะสิ” พรนับพันใช้ตะเกียบคีบผัดผักใส่ถ้วยข้าวให้ต้าเหนิง “ต้องกินเนื้อสิถึงจะตัวโต” “กินทั้งเนื้อทั้งผักตัวจะได้โตและแข็งแรง” หญิงสาวคีบผักใส่ถ้วยข้าวของตัวเองแล้วส่งเข้าปาก “คนเราจะโตแต่ตัวไม่ได้ ร่างกายต้องได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน” “ไม่ชอบ” เขาเบ้ปากและทำท่าจะไม่กิน บรรดาคนรับใช้ต่างลุ้นระทึกว่าว่าที่นายหญิงจะรับมืออย่างไร “ลองกินแล้วเหรอ” เธอคีบผักอีกคำเข้าปากแล้วเคี้ยวด้วยสีหน้ามีความสุข “กินเนื้อว่าอร่อยแล้ว แต่พอกินพร้อมกับผักได้รสหวานของผักฉ่ำในปาก อร่อยจริงๆ พ่อครัวที่นี่ฝีมือสุดยอดเลยค่ะ” “คุณผู้หญิงชมเกินไปแล้ว” พ่อครัวที่แอบยืนมองอยู่ด้านหลังสีหน้าเก้อเขิน “อร่อยจริงๆค่ะ ทุกคนที่นี่ก็รู้สึกใช่ไหมคะว่าผักอร่อยมาก” “ใช่ๆ กินผักอร่อยมาก” “กินผักแข็งแรงไม่เป็นหวัดบ่อยๆ” “กินผักท้องไม่ผูกด้วยนะ” ต่างคนต่างแย่งพูดแล้วก็หัวเราะออกมา ต้าเหนิงมองผักในชามข้าวของตัวเองครู่หนึ่งก่อนคีบเข้าปาก อื้ม...ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดแฮะ พรนับพันเห็นต้าเหนิงยอมกินข้าวแต่โดยดีก็ยิ้มแล้วก็คีบอาหารให้เขาสลับกับกินข้าวของตัวเอง “ทุกคน กินข้าวพร้อมกันเถอะค่ะ” หญิงสาวไม่อยากแบ่งแยกเจ้านายกับคนรับใช้ แม้เข้าใจดีว่าระบบมันมีเพื่อควบคุมและใช้งานคน แต่เวลาแบบนี้ เธออยากให้พวกเขารู้ว่าเธอก็แค่คนธรรมดาไม่ถือฐานะอะไร ต้าเหนิงกินอาหารได้มาก ปกติเขากินข้าวนิดเดียวจนคุณปู่ทวดบ่นบ่อยๆ และสุดท้ายก็มักจะหาวิตามินให้เขากินเสริมเพราะกลัวว่าร่างกายอ่อนแอเพราะขาดสารอาหาร แต่จริงๆ เขาแค่เหงาเวลากินข้าวคนเดียวแต่เขาก็เข้าใจ พ่อทำงานแทนปู่ที่ร่างกายไม่แข็งแรง เขายังเด็กจึงช่วยงานพ่อไม่ได้ หลังกินอาหารเที่ยงเสร็จ แม่บ้านก็เข้ามารายงานที่ข้างหูของหญิงสาว “นายท่านหลิวโทรให้ดิฉันเรียนคุณผู้หญิงว่า นายใหญ่ปลอดภัยดีแต่ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดค่ะ” “ค่ะ...ฉันจะดูแลต้าเหนิงเอง” เธอยิ้มอย่างเข้าใจ เวลาแบบนี้จะทำเป็นไม่สนใจก็ใจดำไปหน่อย “ต้าเหนิง กินข้าวแล้วเราทำอะไรกันดี ตอนบ่ายมีเรียนหรือเปล่า” “วันนี้ไม่มีแล้ว” เขาส่ายหน้าไปมา ดวงตาสุกใสจ้องมองแล้วถาม “คุณอามาเล่นที่ห้องผมไหม ห้องผมมีของเล่นเยอะแยะเลย” ‘คุณอา’ เรียกแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พรนับพันพยักหน้ารับ “ไปสิ อาก็ไม่รู้จะไปไหน ปกติอยู่แต่ในห้องหนังสือ” “ห้องนั้นน่าเบื่อจะตาย มาเล่นห้องผมเถอะ” พูดจบก็รีบดึงมือหญิงสาวให้เดินตามไปที่ห้องของเขา ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของคนรับใช้ “มองอะไรกัน มีงานก็ไปทำไป” หัวหน้าแม่บ้านพูดเสียงดุจึงทำให้ทุกคนแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง เธอส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปส่งพ่อครัว “เตรียมทำขนมของว่างให้คุณชายน้อยกับคุณผู้หญิงด้วย ฉันจะยกไปเอง” “ได้ครับ” เจียงหู เป็นหัวหน้าแม่บ้านวัยสี่สิบ เธอทำงานที่นี่ตั้งแต่ยังวัยรุ่น ครอบครัวเธอก็เป็นคนรับใช้ของสกุลหลิว นายท่านใหญ่ให้ทุนการศึกษาแก่เธอและคนในครอบครัว รวมทั้งหางานให้ทำในบริษัทของสกุลหลิว สำหรับเธอที่อยู่ที่นี่เห็นการเปลี่ยนแปลงมาตลอด วันนี้ได้เห็นรอยยิ้มของคุณชายน้อยก็พลอยอิ่มเอมใจไปด้วย เธอหวังเหลือเกินว่าผู้หญิงคนนี้จะขับไล่เมฆดำในสกุลหลิวให้ครอบครัวนี้ได้พบความสุขเสียที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม