ไม่น่าเชื่อเลยว่า การจะพบหน้าว่าที่สามีจะเป็นเรื่องยากเย็นขนาดนี้
พรนับพันเผลอกัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิด หรือเขากำลังเล่นบทพระเอกค่าตัวแพง เธอมาถึงบ้านเขาสามวันแล้วยังไม่พบหน้าเขาเลย เขากลับมาบ้าน แต่ไม่อยู่รอพบเธอ ถามใครก็ได้คำตอบเดิมๆ ว่า ‘นายท่านออกไปทำงาน’ หรือวันไหนที่เธออุตส่าห์ถางตารอเขากลับบ้าน ก็ยังไม่ได้พบกัน หากเธอตกลงใจแต่งงานตามเงื่อนไขจริง เธอคงสบายใจที่ไม่ต้องเจอหน้าเขา ต่างคนต่างอยู่ หรือคิดอีกมุมหนึ่งคงเป็นภรรยาที่น่าสงสารที่แทบไม่มีโอกาสได้เจอหน้าสามี แต่เธอไม่ได้อยากแต่งงานนี่ แล้วก็ต้องการเจรจากับเขา เธอมีเวลาไม่มากเพราะโรงงานต้องการเงินทุนหมุนเวียน
“คุณปู่คะ” พรนับพันเดินเข้ามาคุยกับปู่หลิวเมื่อเห็นว่าท่านนั่งอ่านหนังสือในสวนหย่อม ไม่มีคนอื่นมาอยู่ใกล้
“มีอะไรหรือปันปัน” คุณปู่เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“คือ...หนูมาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ยังไม่พบหน้าคุณหลิวโม่โฉวเลยค่ะ”
“เอ๋? เป็นไปได้ยังไง ก็โม่โฉวกลับบ้านทุกวัน ปกติมันไม่เคยกลับบ้านนี้เลยนะ ปู่ก็นึกว่าพวกหนูสองคนคุยกันแล้ว”
หญิงสาวยิ้มเศร้าแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ว่างใกล้ปู่หลิว
“ยังไม่เจอเลยค่ะ คุณปู่เห็นแบบนี้แล้วก็น่าจะเข้าใจว่าเขาไม่ได้อยากแต่งงานกับหนูใช่ไหมคะ”
“แต่ปู่คุยกับโม่โฉวแล้ว เขายินดีแต่งงานกับหนูนะ” ปู่หลิวยืนยัน “หรือหนูรังเกียจที่โม่โฉวมีลูกติด”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “หนูไม่มีปัญหาเรื่องนั้น แต่ในเมื่อเขาไม่อยากเห็นหน้าหนูเขาจะอยากแต่งงานกับหนูไปเพื่ออะไรคะ หนูต่างหากที่มาเป็นฝ่ายมารบกวนปู่หลิว”
ปู่หลิวถอนหายใจแล้ววางหนังสือลงบนโต๊ะ “ปู่จะไม่ปิดบังหนู การแต่งงานครั้งนี้สำคัญกับตระกูลหลิวของปู่มาก”
“หมายความว่ายังไงคะ” สีหน้าของหญิงสาวไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ครอบครัวคุณปู่หลิวเรียกได้ว่ารวยล้นฟ้า ต่างจากครอบครัวของเธอมาก แล้วเธอจะไปช่วยตระกูลหลิวได้อย่างไร
คนแก่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วมองไปที่คฤหาสน์หลังงามเบื้องหน้า “แต่ก่อนที่ดินพื้นนี้รกร้างว่างเปล่า ตระกูลหลิวเป็นหมอมาหลายชั่วอายุคน และเมื่อตั้งใจลงหลักปักฐานที่นี่ก็ทุมเทสุดกำลัง ตระกูลหลิวของเรายึดมั่นเรื่องคำสัตย์สัญญา ปู่ของหนูคงเคยเล่าแล้วว่าเคยช่วยปู่ไว้ ปู่สัญญาว่าจะให้ลูกหลานของเราแต่งงานเพื่อกลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ปู่ของหนูมีแต่ลูกชาย ปู่เองก็มีลูกชาย เราก็เลยไม่ได้เกี่ยวดองกันจนมาถึงรุ่นหลาน ...ตั้งแต่ปู่รู้ว่าหนูเกิดก็ไม่นิ่งนอนใจ ติดต่อปู่ของหนูเรื่องสัญญาหมั้นหมายในครั้งนั้น แต่หนูยังเด็ก ปู่ของหนูก็ไม่อยากบังคับฝืนใจหลาน เป็นหลานของปู่เอง เจ้าโม่โฉวที่มีภรรยาไปก่อน ...แต่สกุลหลิวของเราแม้ร่ำรวยล้นฟ้าอย่างไร ก็เหมือนมีเมฆดำปกคลุมอยู่ หนูเป็นคนรุ่นใหม่อาจไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ดวงชะตาของหนูส่งเสริมสกุลหลิว จะนำพาความสุขมาให้ตระกูลหลิวได้”
พรนับพันได้ฟังก็นิ่งงันไป แน่นอนว่าเธอไม่อยากเชื่อ แต่...พวกเขาเจาะจงเลือกเธอทั้งที่สามารถหาผู้หญิงสกุลสูงส่งมาแต่งงานด้วยไม่ยาก
“ปู่เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ปู่ไม่ได้ห่วงตัวเองแต่ห่วงคนรุ่นหลัง อยากเห็นพวกเขามีความสุข ความตายแม้เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่ครอบครัวนี้พบเจอการพรากจากมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเมียของปู่หรือแม่ของต้าเหนิง จะบอกว่าปู่เห็นแก่ตัวก็ได้ที่อยากเห็นคนสกุลหลิวมีความสุข”
หญิงสาวได้แต่เม้มริมฝีปากจนเรียบตึง พูดขนาดนี้แล้ว เธอจะโต้เถียงอะไรได้ เธอเป็นแพทย์แผนไทยเข้าใจดีเรื่องความเชื่อ ความศรัทธา บางสิ่งบางอย่างเป็นกำลังใจให้คนป่วยไข้ แต่นี่คือการแลกกับชีวิตการแต่งงานที่เธอและเหมือนว่าที่เจ้าบ่าวก็ไม่ยินยอมด้วย
หรือเขาก็รู้เหตุผลนี้ดี ถึงได้ยอมรับเงื่อนไขนี้ คงคิดแค่ว่า แค่แต่งงานกัน แค่มีเธอเข้ามาในสกุลหลิวก็พอ
“ปู่รู้ว่าขอมากเกินไป แต่อยากให้หนูปันปันลองทบทวนเรื่องนี้ดูสักหน่อย อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจปฏิเสธ”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับเสียงแผ่ว เธอจมอยู่กับความคิดของตัวเอง นี่จะเป็นหนทางสุดท้ายของเธอจริงๆหรือ?
“ขอบใจนะหนูปันปัน”
ร่างของเด็กชายวัยห้าขวบวิ่งถลามาหาคุณปู่ทวด ต้าเหนิงวิ่งเข้ามาก็ปีนขึ้นนั่งบนตักของปู่หลิว ชายชราส่ายหน้าแต่กลับยิ้มอ่อนโยนไม่มีท่าทีจะดุหลานที่ซุกซนเกินเหตุ
“เรียนเสร็จแล้วรึ”
“คุณครูกลับแล้วครับ”
ต้าเหนิงฉีกยิ้มกว้างแล้วปรายตามองทางพรนับพันนิดๆ ทำให้หญิงสาวต้องกลั้นหัวเราะ ทั้งที่เมื่อครู่เธอกำลังอารมณ์ดิ่งอยู่แท้ๆ แต่พอเห็นเด็กคนนี้ทีไร เธอก็อดยิ้มขำกับพฤติกรรมของเขาไม่ได้ เด็กที่เติบโตท่ามกลางความสูญเสียแต่ยังสามารถหัวเราะและยิ้มอย่างร่าเริงได้ แต่กระนั้นก็เหมือนเขาซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ คงกลัวที่จะสูญเสียอีกสินะ
“ปันปันขอกลับไปโทรศัพท์คุยกับพ่อก่อนนะคะ”
ปู่หลิวพยักหน้ารับ แต่ต้าเหนิงแอบแลบลิ้นใส่ หญิงสาวหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู เธอรู้ว่าต้าเหนิงไม่ชอบหน้าเธอนัก จึงขอตัวกลับห้องพัก เธอตั้งใจว่าจะโทรคุยกับพ่อสอบถามเรื่องทั่วไปที่บ้าน คนที่บ้านก็คงเป็นห่วงเธอเหมือนกัน สงสัยว่า...เธอจะได้แต่งงานทั้งที่ยังไม่เจอหน้าว่าที่เจ้าบ่าว หญิงสาวได้แต่หัวเราะขื่นๆให้ตัวเอง เธอเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงร้องตกใจจนต้องรีบหมุนตัวกลับไปมอง
“ปู่ทวด!”
“ปู่หลิว”
ร่างเล็กรีบสาวเท้าเร็วๆ แล้วประคองร่างที่เป็นลมของปู่หลิว เธอจับชีพจรและกดจุดเหรินจง ตำแหน่งบริเวณร่องใต้จมูก ครู่หนึ่งปู่หลิวจึงลืมตา
“เอ่อ...ปูเป็นลมไปรึ”
“คุณปู่ทวด” ต้าเหนิงร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ
“ปู่ไม่เป็นอะไร” ปู่หลิวปลอบใจเหลนที่กอดปู่แน่น
“คุณปู่เข้าไปพักข้างในเถอะค่ะ หนูช่วยประคอง” พรนับพันเห็นหน้าเด็กน้อยนองน้ำตาก็สงสารจับใจ คงกลัวว่าปู่จะจากไปสินะ เมื่อประคองปู่หลิวขึ้นนั่งแล้ว เธอก็หยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ต้าเหนิง
“ไม่ร้องสิครับ คุณปู่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“แต่...แต่เมื่อกี้ คุณทวด...ล้มลงไป”
“แค่เป็นลมค่ะ” เธอยิ้ม “คราวหน้าถ้าคุณปู่เป็นลมอย่างเอาแต่ร้องไห้ เราต้องตั้งสติแล้วตามผู้ใหญ่มาช่วยนะ”
ต้าเหนิงพยักหน้ารับหงึกหงัก
“ตอนนี้ต้าเหนิงคนเก่งไปเรียกพ่อบ้านมาช่วยพยุงคุณทวดเข้าบ้านได้ไหมคะ”
“ได้ครับ” เด็กชายห้าขวบรีบวิ่งไปทันที เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว พรนับพันจึงพูดกับปู่หลิว
“คุณปู่เป็นหมอน่าจะรู้อาการตัวเองดีนะคะ”
ปู่หลิวยิ้มน้อยๆ ไม่โกรธที่ว่าที่หลานสะใภ้ดุเอาแบบนี้
“ก็แค่หัวใจอ่อนแอนิดหน่อย”
“เป็นหมอแต่ปล่อยตัวเองป่วยแบบนี้ใช้ไม่ได้นะคะ” เธอขึงตาใส่ “ไปโรงพยาบาลตรวจอีกทีเถอะค่ะ การรักษาทั้งแบบแผนจีนและตะวันตกสามารถผสมผสานร่วมกันได้ คุณปู่ควรไปตรวจอย่างละเอียดนะคะ”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าปู่ไม่เคยไปตรวจ” ปู่หลิวหัวเราะแห้งๆ
“เคยไปแล้ว? ก็เลยไม่สนใจตัวเองหรือคะ?” เธอเอียงคอมองอย่างสงสัย “อย่าบอกนะคะว่าเอาเรื่องนี้มาต่อรองให้หลานปู่แต่งงานกับหนู”
“เรื่องแต่งงานกับคุณผมเต็มใจไม่ได้ถูกบังคับ”
น้ำเสียงเฉียบขาดดังจากด้านหลังทำให้พรนับพันหันไปมอง ดวงตากลมเบิกกว้าง ผู้ชายในชุดสูทสีเข้มท่าทีรีบร้อนและใบหน้าเคร่งเครียดคนนี้เหมือน...เหมือนคนไข้ที่เธอเคยตรวจที่โรงพยาบาล
“คุณ...คุณคนป่วยที่บอกว่านอนไม่หลับ...”
“อืม...ผมเอง”
พรนับพันอ้าปากค้าง ที่แท้เคยพบกันแล้วและดูเหมือนวันนั้น...เขาคงมาดูตัวเธอ ไม่ได้มาให้เธอรักษาจริงๆ