“น้ำมันรถจ๊ะหนูมินต์” ไม่ว่ากับรุ่นน้องหญิงคนไหนพี่แน๊ต จะเรียกนำหน้าว่า ‘หนู’ เสมอ
“สำรวจความพอใจของผู้ใช้รถยนต์ โดยที่เราจะเข้าไปสอบถามผู้ที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้นๆ ก็ได้ แต่ต้องเน้นที่ยี่ห้อของรถยนต์ต้องเป็นรถใหม่อายุไม่ถึงปีหนึ่งพอจะเข้าใจไหม”
“ค่ะพี่แน๊ต” โยษิตาตอบพลางพลิกเอกสารในมือ เมื่อสองเดือนก่อนก็ทำเรื่องรถยนต์แต่เป็นความพึ่งพอใจของการใช้รถและแนวโน้มที่จะเปลี่ยนรถใหม่
“งานนี้ต้องทำแบบแรนดอมลงตามบ้านรึเปล่าค่ะพี่แน๊ต มินต์ไม่ค่อยชอบเลย สวยๆ อย่างมินต์มีแต่คนขอเบอร์มือถือถามอะไรไม่ค่อยจะได้ความเลย คิก...คิก”
มินต์หัวเราะคิกคักซึ่งเป็นท่าทางประจำของเธอ แต่เรื่องที่เล่ามาไม่รับประกันความจริงเท่าไหร่นัก เพราะสาวหมวยคนนี้มักจะมีเรื่องประมาณนี้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอยู่บ่อยๆ ทั้งหนุ่มๆ ตามจีบ ทั้งคนมาชวนไปทำงานที่บริษัทใหญ่โต แต่ก็เห็นเธอทำงานกรอกแบบสอบถามอย่างนี้ไม่ได้ไปไหนกับใครเสียที
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือว่า งานประเภทแรนดอมสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายตามบ้าน แม้จะไม่ค่อยปลอดภัยนักสำหรับสาวๆ เวลาได้งานประเภทนี้ ถึงไม่มีกฎของบริษัทแต่ทุกคนจะรู้หน้าที่ดีว่าจะต้องจับคู่เป็นบัดดี๊ทำงานด้วยกันห้ามไปคนเดียวเด็ดขาด
แต่สิ่งที่ได้เปรียบสำหรับคนที่ยังเรียนอยู่ก็คือการใส่ชุดนักศึกษาไปทำงาน อย่างน้อยที่สุด เวลาที่พวกเธอเข้าไปเก็บข้อมูลจะไม่ถูกไล่ตะเพิดตั้งแต่ยังไม่ได้อ้าปากอธิบายอะไร เพราะคิดว่าพวกเธอมาขายสินค้า การสุ่มสำรวจเป้าหมายตามบ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
บริษัทอื่นเป็นอย่างไรโยษิตาไม่รู้แต่สำหรับบริษัท W.I.N.D แล้วมีกฎว่าถามหนึ่งหลังเว้นสี่หลัง ส่วนจะเป็นพื้นที่ไหนจังหวัดอะไรขึ้นอยู่กับพี่ซุปฯของแต่ละคนจับฉลากได้เขตไหนไปทำ แม้จะร้อนและอันตรายไปบ้าง แต่การทำวิจัยตลาดแบบนี้เป็นงานได้ค่าตอบแทนดีกว่าประเภทยืนตากแอร์เย็นๆ ในห้างสรรพสินค้า คอยสุ่มถามเอากับคนที่เดินผ่านไปมา แต่ไม่รู้ว่าเพราะพี่ซุปฯ ของโยษิตาเป็นพี่แน๊ตหรืออย่างไรไม่ทราบได้จึงมันได้แต่งานแรมดอมทุกที
“ถ้าเข้าใจแล้วแบ่งกันไปคนละสิบสองชุดนะ ใครได้เบ็นซ์,ซิวตรอง,ว่อลโล่,แล็กซัสหรือ บีเอ็มดับเบิลยู ก่อนให้โทรมาบอกพี่ด้วย ไอ้ยี่ห้อตลาดๆ นะเอาไว้ที่หลังก็ได้”
“สาธุขอให้เจอหนุ่มหล่อๆ รวยๆ ด้วยเถอะ!” สาวมินต์ทำท่ายกมือไหว้ท่วมหัว
“อะไรยะเธอ” เพื่อนร่วมกลุ่มคนอื่นแซวเล่นพร้อมเสียงหัวเราะฮาครืน
“อ้าว! ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าไปตีสนิทพวกคนรวยมีรถหรูขับไง เผื่อความสวยแบบหมวยๆ ของฉันจะเข้าตาไง คิก…คิก”
“พูดให้มันเบาๆ หน่อยหนูมินต์ พูดเล่นได้แค่ตรงนี้ เกิดคิวซีฯได้ยินจะเรื่องใหญ่ เดี๋ยวจะเสียภาพพจน์บริษัทฯหมด แล้วหนูตาละ…ไหวนะ” พี่แน๊ตหันมาถามแสดงความเป็นห่วงอย่างออกนอกหน้า
“ไม่มีปัญหานี่ค่ะ”
โยษิตายิ้มบางๆ ที่มุม พี่แน๊ตโยกหัวเธอเบาๆ ไปมา ปัญหาเรื่องงานนะไม่มีหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่สิ่งที่พี่แน๊ตแสดงออกแบบนี้แล้วทำให้คนอื่นพลอยไม่ค่อยพอใจเธอไปด้วยนะซิ! เธอไม่ได้รังเกียจพี่แน๊ตที่เป็นสาวหล่อแต่ไม่คิดอะไรกับพี่แน๊ตมากกว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้องที่ทำงานที่เดียวกัน แถมเธอยังโดนคนอื่นเขม่นเอาอีก มีบ่อยครั้งที่มีบางคนคิดว่างานที่เธออาจไม่ใช่ฝีมือเธอ
“คิ้วชนกันแล้วนะยัยตา คิดถึงหนุ่มๆ อยู่รึเปล่า คิก คิก”
“มีให้คิดถึงก็ดีซิ”
หญิงสาวยิ้มแหย เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยก็มี มินต์สาวหมวยเสียงเล็กที่ดูเป็นมิตรและจริงใจกับเธอมากกว่าใครที่สุดในตอนนี้ เธอหยิบแบบฟอร์มสอบถามทั้งสิบสองชุดใส่ถุงผ้าของตัวเอง แต่มีแฟ้มเอกสารที่ใส่สมัครงานนอนนิ่งอยู่ภายใน เธออดนึกถึงการสอบสัมภาษณ์ของวันนี้ที่ดูจะไม่ค่อยดีนัก ไม่ต้องคาดหวังเลยว่าจะได้กลับไปที่นั่นอีก ก่อนเข้าบ้านคงต้องหาซื้อหนังสือพิมพ์สมัครงานเล่มล่าสุดไปดูอีกแล้ว
โยษิตาเดินออกมาจากตึกบริษัทฯอย่างเหนื่อยๆ เห็นคนเขาแถวรอกด ATM ที่หน้าร้านสะดวกซื้อแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าค่าแรงจากการทำงานพิเศษเข้าบัญชีแล้ว เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นมาพลิกดูรายการของใช้ในบ้านที่ต้องซื้อ แต่คุณยายละเอียดที่แสนน่ารัก ไม่ค่อยสนับสนุนให้เธอซื้อของตามห้างฯ แม้ว่าได้ราคาถูกกว่า ทั้งสบู่,ยาสระผม, ผงซักฟอกหรืออะไรอีกจิปาถะเหล่านี้ คุณยายมักจะให้เธอซื้อที่ร้านของป้าแจ๋ว ร้านโชว์ห่วยที่อยู่ปากซอย ส่วนเรื่องอาหารการกินคุณยายเป็นคนจัดการให้เธอทั้งหมด
ถ้าใครจะว่าเธอเป็นหลานที่ไม่ได้เรื่องเลยก็ดูจะไม่ผิดนักก็งานบ้านงานเรือนไม่ค่อยถนัดเอาเสียเลย แม้แต่การทำอาหารก็ยังสู้รสมือของคุณยายไม่ได้ แต่กระนั้นคุณยายก็ไม่เคยดุว่าอะไรหลานสาวคนนี้สักครั้ง อาจเป็นเพราะเข้าใจที่หลานสาวคนนี้ต้องรับภาระทั้งเรียนและทำงานพิเศษไปพร้อมกัน
“ฝนตกเมื่อไหร่นี่…แย่จังถนนแฉะไปหมดเลย”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ นี่เดือนอะไรแล้วหนอฝนจึงมาทักทายอย่างนี้ ตั้งแต่เรียนจบมายังไม่เคยได้ไปเที่ยวพักผ่อนแบบคนอื่นเลยแถมตะลอนๆ หางานอีกต่างหาก แล้วไหนตอนนี้จะมีน้องสาวตัวเล็กเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ซึ่งดูเหมือนว่าแม่เด็กจะไม่ใส่ใจเอาเสียเลย นี้ก็เท่ากับว่าบ้านของเธอในเวลานี้มีผู้หญิงสามคนสามวัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน
ปวดหัวจัง! โยษิตาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะปรึกษาใครและก็บ่นให้ใครฟังก็ไม่ได้ คงต้องลองโทรศัพท์ติดต่อไปทางป้าอำภาแม่ของน้องข้าวซอยดูอีกสักครั้ง ว่าจะมารับลูกสาววัยสิบขวบเมื่อไหร่
ขณะที่ยืนรอสัญญาณไฟจราจรเพื่อจะข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์ที่ฝั่งตรงข้าม รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นผ่านด้วยความเร็วเบียดฟุตปาธจนน้ำที่เจิ่งนองกระเซ็นใส่ร่างของโยษิตาที่ยืนริมถนนอยู่พอดี
“ว๊าย!”
ไม่ใช่ใส่เธอที่ร้องกรี๊ดออกไปหรอก แต่เป็นคนที่ยืนใกล้ๆ เธอต่างหาก หญิงสาวหงุดหงิดกับพฤติกรรมกรี๊ดกร๊าดของผู้หญิงแบบนี้เหลือเกิน แต่ก็ได้แต่ยืนปลงแล้วพยายามเพ่งมองหมายเลขทะเบียนรถที่แล่นผ่านไป ทว่ารถคันนั้นก็ไปได้ไม่ไกลนักก่อนถอยพรืดมาจอดตรงบริเวณที่เกิดเหตุ กระจกไฟฟ้าอัตโนมัติถูกเลื่อนลงปรากฏใบหน้าหญิงสาวสวยเฉี่ยวที่เบาะนั่งฝั่งข้างคนขับ แล้วธนบัตรสีม่วงก็ยื่นออกมานอกหน้าต่างรถ
“ขอโทษที ฉันกำลังรีบ แค่นี้คงพอค่าซักรีดเสื้อผ้าราคาถูกของคุณนะ”
ธนบัตรฉบับนั้นถูกหยิบไปทันทีและรถยนต์คันหรูก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โยษิตาซึ่งเลอะเทอะมากที่สุดแต่หญิงสาวที่ร้องกรี๊ดเมื่อครู่รับไว้อย่างรวดเร็ว แม้ปากจะก่นบ่นด่าอยู่ก็ตาม
เอาเถอะ! โชคร้ายซะให้พอ พรุ่งนี้มันอาจจะเป็นวันดีๆ ได้ใครจะไปรู้ หญิงฝืนยิ้มให้กับตัวเองก่อนพาร่างเพรียวบางข้ามถนนเพื่อมุ่งไปสู่บ้านไม้สองชั้นในชุมชนสวนขวัญ อย่างน้อย…เธอก็มีบ้านให้กลับในทุกวัน.