“พี่ตาคิ้วชนกันแล้วค่ะ”
“อะไรนะคะ…ข้าวซอยว่าอะไรนะ”
“หนูบอกว่าคิ้วพี่ตาขมวดมาชนกันแล้วค่ะ” เด็กหญิงแสนซนถามอย่างใสซื่อ “เพราะข้าวซอยรึเปล่าคะ”
“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ ข้าวซอยไปนอนดีกว่านะนอนพร้อมคุณยายให้คุณยายเล่านิทานให้ฟัง”
หญิงสาวหันไปหาคุณยายที่เดินตามเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามา ก่อนจะจับมือเล็กๆ จูงแขนเตรียมจะเข้านอน วันนี้เธอผจญภัยมาทั้งวัน เอ่อ…ทั้งคืนด้วยมั้ง!
“อย่าคิดอะไรมากเลยนะยัยตา…อะไรๆ มันไม่เลวร้ายนักหรอก ทุกอย่างมีหนทางของมันเสมอ”
“ค่ะ…คุณยาย”
หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้คุณยายที่หลานตัวเล็กจูงแขนให้เข้าห้องนอนเตรียมฟังนิทานเรื่องโปรด นึกๆ ไปเธอเองอาจะโชคดีกว่าข้าวซอยด้วยซ้ำไป เพราะข้าวซอยเป็นลูกติดจากสามีเก่าส่วนสามีคนใหม่ที่ทำให้คุณป้าอำภาต้องย้ายไปลงหลักปักฐานใหม่ถึงลำปาง ดูท่าไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเด็กผู้หญิงที่กำลังโตวันโตคืนแบบนี้ เธอเองถึงจะสูญเสียพ่อและแม่ไปแต่ตลอดเวลาท่านทั้งสองก็ให้คำว่า ‘อบอุ่น’ กับชีวิตของเธออย่างเต็มที่ ผิดกับข้าวซอยที่มักจะถูกดุด่าเฆี่ยนตีเป็นประจำ เป็นเหตุให้หนีออกจากบ้านมาหาเธอนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ฟังน้ำเสียงของป้าอำภาแล้วยิ่งไม่สบายใจ เหมือนกับไม่ต้องการตัวลูกสาวคนนี้แล้วจริงๆ หรือเบื่อหน่ายพฤติกรรมหนีออกจากบ้านของข้าวซอยที่รู้ว่าอย่างไรก็ปลอดภัยดีทุกครั้ง
เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว …โยษิตาสะบัดหน้าไปมาจนผมยาวที่ขมวดไว้เหนือท้ายทอยรุ่ยร่ายลงมาเคลียแก้ม ดูหน้าเธอในกระจกซิ! อย่างกับยัยป้าอายุห้าสิบได้แล้วมั้ง! ทั้งๆ ที่ปีนี้เพิ่งจะยี่สิบสองเท่านั้นเอง แถมยังไม่ได้รับปริญญาอีกต่างหาก
“เหมี๊ยว…”
“เจ้าเหมียว”
หญิงสาวก้มมองดูที่ใต้โต๊ะทำงานมุมห้องนั่งเล่น แมวจรที่เคยให้อาหารเป็นประจำเดินเข้ามานอนในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันโดนหมาเกเรที่ไหนไม่รู้รุมทำร้ายจนขนบริเวณหลังคอหายไปเป็นแถบๆ แต่หลังจากดูแลรักษาอย่างดีโดยคุณยายละเอียดตอนนี้มันกลับมาน่ารักน่าอุ้ม เธออุ้มเจ้าแมวน้อยขี้ประจบขึ้นมานั่งบนตักแล้วลูบหลังมันเบาๆ ก่อนระบายยิ้มออกมาบนใบหน้ากลมมนได้สัดส่วน
“อะไรๆ มันคงไม่เลวร้ายนักหรอกนะ!ใช่ไหมเจ้าเหมียว”
เจ้าแมวร้องเหมียวๆ อย่างเอาใจ โยษิตากอดมันแรงๆ ทีหนึ่งก่อนปล่อยมันเป็นอิสระ เธอลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบที่เกาะร่างกายเธออยู่ก่อนเดินไปปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยรวมทั้งหน้าต่างบ้านด้วย
ใช่! อะไรๆ มันไม่เลวร้ายนักหรอกนะ! ยัยโยษิตา!.
.....
โยษิตาเดินลากเท้าเอื่อยๆ เข้าในในออฟฟิศ รุ่นพี่ในที่ทำงานต่างก็ยุ่งกับหน้าที่ของตนเอง แค่รู้ว่าผู้ที่ผลักบานประตูเข้ามาคือเธอ ทุกคนก็หันมามองหญิงสาวด้วยแววตาประหลาดใจ
วันนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกระโปรงสีดำรองเท้าหุ้มส้นเข้าชุดกัน ผมเผ้าที่มักเป็นกระเซิงก็ถูกรวบดึงและขมวดเป็นมวยอย่างเรียบร้อยผิดกับทุกครั้งที่เข้ามาบรีฟงาน
“ไปสมัครงานมาอีกแล้วเหรอหนูตา” เสียงห้าวๆ ของซุปเปอร์ไวเซอร์สาวหล่อถามขึ้นเรียกสติที่อ่อนล้าของเธอกลับมาก่อนเงยหน้าสบตากับเจ้าของเสียงที่ทักทาย
“ค่ะพี่แน๊ต” เธอยิ้มบ้างๆ ให้รุ่นพี่ซึ่งเป็นสาวห้าวเต็มขั้นซอยผมสั้นรองทรงเหมือนผู้ชายรวมทั้งการแต่งตัวที่ดูยังไงก็แมนสุดๆ
“พี่เข้าใจนะ…งานที่นี่มันก็แค่ทางผ่านของพวกเธอแต่ท่าจะเอาจริงเอาจังมันก็ได้นะ…ทำแบบนี้สักปีแล้วค่อยสมัครเป็น QC ก็ได้นิ”
พี่แน๊ตหอบเอากองเอกสารที่ซีร๊อกส์เรียบร้อยแล้วมาวางตรงโต๊ะทำงาน โยษิตาเข้าไปช่วยจัดเรียงให้เหมือนทุกครั้ง เธอได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาของรุ่นพี่สาวมาดแมน เธอไม่ได้รังเกียจงาน ‘กรอกแบบสอบถาม’ หรือที่เรียกแบบสวยหรูว่า ‘วิจัยตลาด’ พวกนี้หรอกนะ แต่ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากทำงานตามสาขาวิชาที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาจนจบ
แต่ก็เถียงพี่แน๊ตอีกไม่ได้เต็มปากเต็มคำอีกนั้นแหละว่างานแบบนี้เป็นเหมือน ‘ทางผ่าน’ ของเหล่านักศึกษาหารายได้พิเศษหรือแม้แต่บัณฑิตจบใหม่หมาดๆ ใบปริญญาก็ยังไม่ได้รับอย่างเธอ ถึงคราวเข้าตาจนถ้ามัวแต่เลือกงานอยู่แล้วพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินเข้าไป ยิ่งตัวเธอเองก็เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัวนอกจากจะมีคุณยายอายุหกสิบเจ็ดแล้วตอนนี้ยังมีน้องสาววัยสิบขวบเพิ่มขึ้นมาให้เป็นภาระของเธออีก
ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่...บางที…เธออาจจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้
หรือ…ความลำบากมันรอให้เราเผชิญหน้ากับมัน...ไม่วันใดวันหนึ่งอยู่แล้ว
หนูตาของพี่แน๊ตระบายลมหายใจเบาๆ อีกครั้งก่อนฝืนทำร่าเริง พลิกดูเอกสารที่เย็บเข้าชุดเสร็จแล้วซึ่งมีความหนาประมาณยี่สิบกว่าหน้ากระดาษเอสี่
“คราวนี้วิจัยอะไรคะ”
“น้ำมัน” พี่แน๊ตหันมายิ้มให้ดวงตาเป็นประกาย เฮ้อ…นี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่โยษิตาอยากหางานทำที่อื่นเหมือนกัน
“น้ำมันพืชหรือน้ำมันใส่ผมคะพี่แน๊ตคิก...คิก”
หญิงสาวตัวเล็กเหมือนเสียงเอ่ยถาม มินต์เป็นเพื่อนที่เข้าทำงานเดียวกับโยษิตา ถ้านับอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกันแต่ถ้าดูเรื่องการศึกษา เพื่อนสาวคนนี้เรียนที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่เดียวกับโยษิตา แต่ป่านนี้แล้วมินต์ยังเก็บหน่วยกิตได้เพียงครึ่งเดียวเอง แต่ดูเหมือนเพื่อนสาวอารมณ์ดีที่มักจะมีเสียงหัวเราะอยู่ตลอดเวลาไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่นัก มินต์ก็เป็นคนหนึ่งทีต้องทำงานไปเรียนไปด้วยคล้ายๆ กับเธอ