ตอนที่ 5.ถ้ามัวแต่อายอดตายแน่

1546 คำ
อรุณวตีถอนใจแรงๆ เธอจอดรถยนต์ในโรงจอดรถที่เหลือแค่รถยนต์ของตนเองแค่หนึ่งคัน เธออดคิดถึงอดีตตอนที่ตัวเองยังเด็กไม่ได้ คฤหาสน์ทิวากรพลั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ มีผู้หลักผู้ใหญ่แวะเวียมาไม่เว้นวัน ญาติสนิทก็มีมากจนจำหน้าไม่หมด ครั้นบิดาสิ้นชีพ พี่ชายก็รีบตายตามบิดาไปติดๆ คนพวกนั้นก็ค่อยๆ หายหน้าไป ทิ้งให้เธออยู่กับความทรงจำเก่าๆ เพียงลำพัง มองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ บ้านที่เคยโอ่โถงเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา คนงานที่เคยมีไม่ต่ำกว่าสิบชีวิตก็ค่อยๆ ทยอยลาออก อรุณวตีแค่นยิ้ม คนหมดวาสนา ไม่มีบารมีแบบเธอ ถูกตีจากแม้แต่คนใช้ บ้านหลังใหญ่เหลือแค่คนงานที่ไม่มีทางไปสองชีวิต กินอยู่ตามมีตามเกิด เพราะเธอเองก็ไม่มีรายได้ อาศัยมีที่ซุกหัวนอน “นังแป้นๆ หายหัวไปอยู่ไหนยะ เอาน้ำเย็นมาให้ฉันกินแก้วสิ” ยังไม่ทันเดินขึ้นบันไดหน้าโถงทางเข้าบ้าน อรุณวตีก็ตะโกนเรียกสาวใช้ที่ไม่ได้ลาออกไปเหมือนคนอื่นๆ “คุณตีคะ ไปอดยากที่ไหนมาคะ น้ำเย็นที่บ้านไม่มีหรอกค่ะ ไฟถูกตัดตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน ถ้าน้ำเปล่าธรรมดาพอมีให้ แต่น้ำก๊อกนะคะ เดี๋ยวจะมาโวยทีหลังหาว่าปุ้นไม่บอกล่วงหน้า” ปุ้นตะโกนสวนมาก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึง อรุณวตีเม้มปาก เธอเองก็ไม่เหลือเงินก้นกระเป๋าสักบาทเดียว หากไม่มีสตางค์ไปจ่ายค่าไฟฟ้า คืนนี้เธอกับแป้นและปุ้นคงได้นอนร้อนทั้งคืน “แม่เอ็งละนังปุ้น” อรุณวตีถามหามารดาของสาวใช้ตรงหน้า “แม่ออกไปรับจ้างซักผ้าค่ะ ไม่งั้นคงได้อดตาย ปุ้นเองอยากไปด้วย แต่แม่ห้ามไว้ กลัวไม่มีใครรอรองมือรองตีนคุณตี” ปุ้นบ่นพึมพำ เงินเดือนที่ควรได้อรุณวตีก็ค้างไว้เกินครึ่งปี อาหารการกินเป็นเธอกับมารดาที่ต้องหามาเจือจานเจ้านาย ปุ้นอดสมเพชนายสาวไม่ได้ ทั้งที่ควรสุขสบายพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สินและข้ารองมือรองเท้า การที่ตกลงไปในบ่วงอบายมุข ปุ้นไม่เคยเห็นใครร่ำรวยจากการพนัน มีแต่ชีวิตจะเสื่อมลงไปเรื่อยเหมือนนายสาวที่กำลังเข้าตาจนอยู่ตอนนี้ “ฉันหิว มีอะไรกินมั้ย?” อรุณวตีโบกมือถามหาของกิน เธอหิวจนแสบไส้ ต้องการสารอาหารมารองท้อง ก่อนที่น้ำยอยในกระเพาะจะกัดผนังกระเพาะของเธอแทน “ปุ้นเพิ่งบอกไปหยกๆ คุณตีไม่ได้ยินเหรอคะ” “นังปุ้น!!” อรุณวตีตะโกนเสียงก้อง “เห้อ เดี๋ยวปุ้นต้มมาม่าให้มั้ยคะ มีแค่นี้แหละค่ะทั้งบ้าน หากอยากกินดีๆ คุณตีต้องซื้อติดมือมาด้วยค่ะ ปุ้นไม่มีปัญญาหาให้หรอกค่ะ ปุ้นไม่มีสตางค์” อรุณวตีได้แต่ฮึดฮัด เธอเข้าตาจนถึงขนาดต้องเบียดเบียนอาหารกับคนใช้ในบ้าน “ฉันจะไปต่างจังหวัดสักสองสามวันนะ เตรียมจัดกระเป๋าให้ฉันหน่อยสิ” อรุณวตีเปรยลอยๆ ปุ้นมองหน้ายิ้มมุมปาก ตอนที่ปุ้นพูดออกมาอรุณวตีเกือบร้องกรี๊ด เพราะคำพูดของปุ้นแทงใจดำเธอจังๆ “หมดหนทางถึงขนาดจะไปเบียนเบียนคุณอชิระเธอเลยเหรอคะคุณตี ปุ้นว่า คุณตีตัดใจขายบ้านหลังนี้ไปเถอะค่ะ อย่างน้อยก็น่าจะพอมีเงินเหลือสำหรับยังชีพในอนาคต ไม่ต้องห่วงปุ้นกับแม่ค่ะ เราสองคนมีแรงไม่มีทางอดตายหรอกค่ะ” “ฉันจะให้น้องชายฉันช่วย มันเสียหายตรงไหนหะ!!” “น้องชายที่โดนเฉดหัวส่งเพราะกลัวจะมาแย่งสมบัติ ไม่เคยใยดีเลย จนกระทั่งตัวเองลำบาก แต่กลับกล้าเสนอหน้าไปให้เขาช่วย คุณตีคิดว่าคุณอชิระเธอจะช่วยคุณตีมั้ยคะ?” “นังปุ้น” “ปุ้นไม่ได้ดูถูกนะคะ หากคุณอชิระรู้ คุณตีทำอะไรกับเธอไว้บ้าง คิดว่าคุณอชิระจะยื่นมือมาช่วยคุณตีหรือไงคะ” “ฉันเป็นพี่สาวมันนะ” “พี่สาวที่ไม่เคยเหลียวแลน้องชาย ไม่เคยมีบุญคุณต่อกันเลยสักอย่าง แต่หวังจะให้เขาช่วย ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอะไรให้กันเลย คุณตีโง่หรือบ้าคะ” “อีนังปุ้น นังแป้นแม่เอ็งไม่สอนบ้างเหรอไง แกกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้านายมันเหมือนคนไร้การอบรม” “คุณตี เราไม่ได้เป็นนายบ่าวกันมานานแล้วค่ะ ทุกวันนี้คนที่ออกค่าใช้จ่ายในบ้านคือแม่ของปุ้น ไม่ใช่คุณตี คุณนั่นแหละที่ต้องสำนึกบุญคุณเราสองแม่ลูก ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าขยะ ค่านั่นค่านี่ที่คุณสร้างแต่กลับไม่เคยจ่าย ถ้ามีเงินคุณก็รีบแจ้นไปบ่อน คนโบราณเขาถึงว่าไว้ มีแต่คนโง่นั่นแหละค่ะที่หวังรวยกับการพนัน” “นังปุ้น!!” “โอ้ย! จะเรียกทำไมนักหนาคะ ตกลงจะกินมั้ยคะมาม่าน่ะ” ปุ้นตวาดตัดเสียงคำรามน่ารำคาญ “กิน!!” “ก็เท่านั้นแหละ เลิกได้เลิกซะนะคะ เอะอะโวยๆ คุณไม่ได้มีบารมีเหมือนเก่าแล้วค่ะ” ปุ้นเตือน ก่อนจะเดินหายไปทางด้านหลังบ้าน อรุณวตีทิ้งตัวนั่งเอนหลังพิงพนักโซฟาที่เคยหรูหรา แต่ตอนนี้สีซีดและเก่าเพราะขาดการบำรุง ตืดดดดดดดดดดดดดดดดด... เสียงโทรศัพท์สั่นเตือน อรุณวตีปรือตามอง เธอเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เพราะมัวคิดเรื่องนั่นนี่ จนลืมปิดโทรศัพท์เหมือนเคย ตอนนี้มานึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว เธอกลั้นใจกดรับ และนิ่งฟังเสียงพูด เมื่อพอจะเดาเจตนาของปลายสายได้ดี “คุณหายหน้าไปเลยนะคะคุณอรุณวตี ลืมแล้วเหรอคะ ถึงกำหนดค*****นที่คุณยืมฉันไปแล้ว ครั้งนี้ฉันไม่ยืดเวลาให้อีกแล้วนะคะ หากคุณเบี้ยว เราคงได้เจอกันอีกทีที่โรงพัก ฉันไม่มีทางยอมให้คุณเบี้ยวเหมือนครั้งที่แล้ว แล้วค่ะ” วิฬาพูดรวดเดียว มีทั้งคำขู่ และคาดคั้น “ฉันจำได้หรอกยะ แต่ช่วงนี้ฉันติดธุระ และถ้าจำไม่ผิด สัญญานั่นระบุคนชดใช้หนี้ไว้ด้วยนะ เธอทวงผิดคนแล้วละแม่เด็กน้อย” “เห้อ” วิฬาถอนใจ “ฉันปรึกษาพี่ชายแล้วค่ะคุณอรุณวตี สัญญานั่นมันผิดตั้งแต่แรก ผู้ชายคนนั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เขาไม่ใช่ลูกหนี้ฉัน คุณต่างหากละคะที่เป็นลูกหนี้ อย่าโยนให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลย” “พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ตอนตกลงกันเธอไม่ท้วงตั้งแต่ตอนนั้นละ” “คุณพูดแบบนี้ คิดจะเบี้ยวฉันใช่มั้ยคะ?” วิฬาถามกลับเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้เบี้ยว แค่เตือนเธอ เธอควรทวงหนี้ให้ถูกคน” วิฬายิ้มมุมปาก เธอคาดเดาไว้ล่วงหน้า อรุณวตีต้องมาไม้นี้ เธอผิดเองที่โลภมากจนไม่อ่านสัญญาให้ถี่ถ้วนก่อน “แบบนั้นก็ได้ค่ะ ครั้งหน้า คุณกับฉันควรเจอกันที่ศาลค่ะ หากคุณจงใจยื้อไว้แบบนี้ ฉันคงต้องทำตามที่ฉันถนัด อย่าลืมนะคะ บ้านฉันไม่ได้มีแค่แม่ที่เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงในเพิงเก่าๆหลังคฤหาสน์ทิวากร พี่ชายฉันเป็นข้าราชการและมีตำแหน่งที่สามารถช่วยน้องสาวหน้าโง่คนนี้ได้” อรุณวตีใจหายวูบ หากไม่ได้เป็นแค่คำขู่ และหากวิฬาตั้งใจทำแบบที่พูดไว้จริง เธอคงได้ขายขี้หน้าคนทั้งเมือง “อย่ามาขู่ฉันเลยยะ” “ฉันไม่ได้ขู่คุณเลยค่ะ บอกไว้ก่อนนะคะ ฉันไม่ไกล่เกลี่ยใดใดทั้งสิ้น หากไม่ได้เงินคืน คุณควรอยู่ในคุกค่ะ จะได้ไม่มีใครหน้าไหนถูกคุณหลอกอีก” “เงินแค่แปดแสน กล้ามาขู่เอาฉันเข้าคุกเลยเหรอยะ” “ไม่ใช่แค่ค่ะ ตั้งแปดแสน กว่าฉันจะเก็บเงินก้อนนี้ได้ ฉันใช้เวลาอดออมหลายปีเลยค่ะ” “แค่เศษเงิน” อรุณวตีพูดเย้ย “ถ้าแค่เศษเงิน คุณก็คืนฉันมาสิคะ ฉันก็ไม่ได้อยากขึ้นโรงขึ้นศาลหรอกค่ะ มันเสียเวลาทำมาหากิน” อรุณวตีฮึดฮัด หากมีสตางค์เธอคงไม่ต้องมานั่งทนฟังคำดูถูกของคนที่เคยอาศัยใบบุญบ้านทิวากรหรอก เธออับจนหนทางถึงขั้นหยิบยืมคนรอบตัว เป็นหนี้เป็นสินหาเงินเลี้ยงตัวเองแทบไม่รอด “คุณวิขา อย่ารอเลยค่ะ คุณตีเธอกร็อบจนแทบไม่มีเงินซื้อข้าวกินแล้ว ถ้าคุณวิอยากได้เงินคืน คุณวิแจ้งความน่ะถูกแล้วค่ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม