คนไม่ใช่ผิดเสมอ ตอนที่ 2

3515 คำ
หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนๆ กำลังเดินทอดน่องสำรวจชายหาดที่มีเม็ดทรายสีขาวประดับประดาตลอดแนวทางยาวเฟื้อย สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเย็น เส้นผมดำดุจแพรไหมปลิวไสวไปตามแรงลมทะเลที่พัดโบก ณัฏฐนิชจึงต้องใช้มือรวบกำเอาไว้เพื่อไม่ให้มันปลิวมาเกะกะตรงใบหน้า                                                                                                                 ชลการณ์ปล่อยให้เธอได้อยู่ตามลำพัง พนักงานสาวบอกว่าที่นี่เป็นชายหาดส่วนตัวของตระกูลเลนเบิร์ค กินอาณาเขตบริเวณนับสิบกิโลเมตร จะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือไว้สำหรับคนในตระกูลหรือเครือญาติมาพักผ่อนโดยเฉพาะ อีกส่วนเป็นของลูกค้าในโรงแรม ห้ามคนนอกเข้าอย่างเด็ดขาดเพราะมีเวรยามเฝ้าดูแลความเรียบร้อยอยู่ทั่วบริเวณ ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย ณัฏฐนิชเดินชมรอบๆ บริเวณชายหาด ด้านหลังยังมีรีสอร์ตขนาดกลาง แต่ใหญ่กว่าหลังที่เธอพักอยู่พอประมาณตั้งอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนกระมัง นอกจากนั้นทั้งหมดของบริเวณนี้ก็เป็นที่โล่งๆ ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามแต่ยังอิงความเป็นธรรมชาติอยู่ด้วย “ใครบอกให้เธอมาเดินเอ้อระเหยอยู่ที่นี่...ณัฏฐนิช” เสียงทุ้มคุ้นหูจากด้านหลังทำให้สองเท้าน้อยๆ หยุดชะงัก ณัฏฐนิชรู้สึกดีใจลึกๆ ที่ได้ยินเสียงนี้หลังจากห่างหายมาหลายวัน มือที่รวบผมไว้ปล่อยให้ปลิวสยายไปตามกระแสลมแล้วหันหน้ามาเผชิญกับเจ้าของเสียง หญิงสาวเบี่ยงสายตาไปทางอื่นคล้ายไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายใจยักษ์คนนี้ บทรักที่เร่าร้อนรุนแรงและทุกสิ่งที่เขากระทำยังคงสะท้อนภาพความร้ายกาจเตือนสติเธออยู่ไม่คลาย “เอ่อ...คือรัญไม่รู้จะไปไหนค่ะ อยู่แต่บนนั้นมันเบื่อๆ ก็เลยขอร้องให้พนักงานเขาพามาเดินเล่นที่นี่ เดี๋ยวก็กลับแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ลอบมองหน้าเขาเล็กน้อย แต่ไม่กล้าสบตาตรงๆ ชายหนุ่มในชุดลำลองเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นสีดำยังคงยืนหน้าบึ้งไม่ยี่หระกับคำตอบของเธอ “คุณ...คีมกลับมาเมื่อไหร่คะ” ณัฏฐนิชตัดสินใจถามเพื่อทำลายบรรยากาศที่เริ่มอึมครึมนั้นเสียเอง                                                   “ฮึ...เสียดายเหรอที่ฉันกลับมาเร็ว เธอเลยมีเวลาอ่อยเหยื่อ หากินได้น้อยลง” คำพูดเสียดสีที่ทิ่มแทงใจออกมาจากปากคนใจดำ ชายหนุ่มยังกระตุกยิ้มมุมปากเหมือนเป็นการเย้ยยันตบท้าย                                               “ค่ะ วันนี้ก็ยังไม่ได้กินใครสักคนเลย อดมาตั้งหลายวัน ว่าจะออกมาหากินให้เต็มอิ่มซะหน่อย คุณก็เข้ามาขัดก่อน ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนะคะ เสียเวลาเยอะแล้ว...ฉันหิว” ณัฏฐนิชเม้มปากจนเป็นเส้นตรง มองไปอีกทางไม่สบตาเขา ให้ตายเถอะเธอไม่เคยคิดจะพูดคำเหล่านี้เลยในชีวิต แต่เพราะผู้ชายคนนี้ทำให้ความอดทนถึงขีดสุด หญิงสาวไม่อยากให้เขาต่อว่าเอาฝ่ายเดียวอีกแล้ว เธอขยะแขยงไม่อยากเจอผู้ชายคนนี้พอๆ กับความคิดถึงที่มี และบางครั้งความรู้สึกทั้งหมดก็อยู่รวมกันจนแยกแยะไม่ออก หญิงสาวใช้มือกอดตัวเองไว้หลวมๆ แล้วเดินเลี่ยงผ่านตัวเขาไป จ้ำเดินอย่างรวดเร็วเพื่อพาตัวเองไปให้พ้นจากอคิราห์ ลางสังหรณ์บอกเธอว่าควรไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ อคิราห์เองก็ถึงกับอึ้งรับประทานไปเหมือนกัน ตั้งแต่รู้จักมา นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวพูดตอกหน้าเขา หญิงสาวไม่เคยทำกิริยาแบบนี้สักครั้ง ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองร่างที่เดินผ่านหน้าเขาไปเมื่อกี้ เธอเดินไปไกลพอสมควรแล้วดูท่าจะรีบเอามากเสียด้วย ไม่รีรอคนตัวใหญ่รีบจ้ำเท้าตามไปด้วยความรวดเร็ว “โอ๊ย!!!! ทำอะไรของคุณเนี่ย คุณอคิราห์ ฉันเจ็บนะ” ณัฏฐนิชเซถลาตามแรงฉุดกระชากที่แขนจนเกือบล้มคะมำ ชายหนุ่มจับที่ข้อศอกเธอไว้แน่นราวกับคีบเหล็กหนา คนตัวเล็กหันหน้ามาเผชิญกับปีศาจร้ายโดยอัตโนมัติจากแรงดึงกระชากนั้น “ปากดีนักนะที่สลบคาเตียงวันก่อนยังไม่เข็ดใช่ไหม เดี๋ยวเธอได้คางเหลืองแน่ณัฏฐนิช ฉันจะจัดหนักให้เธอเอง จะได้ไม่ต้องเที่ยวเดินเล็มหาไล่แจกฟรีๆ ไงล่ะ ยังไงกับฉันเธอก็ได้ค่าตัวไปตั้งสิบล้าน ใครที่ไหนมันจะใจป้ำได้เท่านี้ห๊า!! อีกอย่างแค่กับฉันคนเดียวยังเละลุกไม่ขึ้น แล้วคิดเหรอว่าใครมันยังจะโง่มารับช่วงต่อเอาของเน่าๆ ราคาต่ำอย่างเธอ” มือใหญ่กดบีบแขนของณัฏฐนิชไว้ด้วยความโกรธกรุ่น กระชากร่างบางเข้าหาตัวแล้วใช้มืออีกข้างจับไหล่เธอเอาไว้ด้วยความแรงที่เท่าเทียมกัน หญิงสาวจ้องหน้าเขาเขม็งไม่มีความกลัวหลงเหลือให้เห็นเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา “ฉัน ขอ หย่า” ณัฏฐนิชพูดเน้นทีละคำอย่างชัดเจน เธอไม่อยากทนเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว ชีวิตที่หาความสุขไม่ได้อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น เธอขอให้มันจบๆ ไปเสียดีกว่า “หย่าเหรอ ฮึ...ได้สิ หาเงินค่าตัวที่แม่เธอเอาไปถลุงในบ่อนมาคืนให้ฉันครบทุกบาททุกสตางค์ แล้วฉันจะหย่าให้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังเลย ที่เธอนอนกับฉันมาราคารวมๆ ได้ถึงร้อยบาทหรือยังก็ไม่รู้ คิดว่าแค่มานอนแบให้ฉันไม่กี่ครั้งก็จะเชิดเงินสินสอดตั้งสิบกว่าล้านไปเสวยสุข มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ...ณัฏฐนิช” เพี๊ยะ!!!! มือเล็กสะบัดออกจากการกุมจับ แล้วตวัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้ากร้านเต็มแรงจนหน้าหันไปตามแรงโทสะ “เลว!!! เลิกดูถูกฉันซะที...” ยังไม่ทันจะได้พูดประโยคต่อไปหญิงสาวก็ถูกอคิราห์ใช้มือบีบสองแก้มเข้าหากันจนเจ็บร้าว ณัฏฐนิชน้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งชิงชังคนใจร้าย “เธอกล้ามาก!!! ณัฏฐนิช แล้วเธอจะได้รู้ถ้ากล้ากับคนอย่างอคิราห์แล้วผลมันจะเป็นยังไง...มานี่” ชายหนุ่มผู้มีกำลังเหนือกว่าจัดการลากร่างบอบบางลงทะเลที่กำลังโหมกระหน่ำคลื่นซัดเข้าหาอย่างไม่ปราณี ณัฏฐนิชพยายามฝืนตัวไม่ให้ถลาไปตามแรงลากแต่ก็ไร้ผล ร่างกายของเธอแทบจะปลิวตามแรงมือที่ใช้ฉุดดึงจนล้มลุกคลุกคลาน แต่คนใจดำก็ยังไม่สนใจสักนิด จนกระทั่งน้ำทะเลมีความสูงถึงระดับเอวเขา ชายหนุ่มจึงหยุด ใบหน้าเหี้ยมเกรียมมองมายังนักโทษโทสะที่พยายามตะกายลุกยืนหนีน้ำเค็มที่ซัดจนเกือบจะมิดใบหน้า เพราะเธอถูกลากมาในขณะที่นั่งอยู่นั่นเอง “ชะ...ช่วย...แค่กๆ ช่วยด้วยแค่กๆ” หญิงสาวสามารถตะเกียกตะกายยืนได้สำเร็จเมื่อเขาหยุดเดิน แต่ก่อนหน้านั้นเธอก็ถูกคลื่นซัดจนน้ำเข้าปากเข้าจมูกจนหายใจไม่ออกอยู่หลายนาที ทำให้สำลักน้ำทะเลจนแสบร้าวไปหมด ใบหน้าเหี้ยมไม่ได้ไยดีกับการขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตา เมื่อเธอหันหลังเพื่อจะหนีเอาชีวิตรอดกลับถูกเขาจับปอยผมที่เปียกปอนดึงจนหงายหลัง “จะไปไหน!! มานี่!!! ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้เธอเอง” ชายหนุ่มปล่อยมือจากผมยาวเฟื้อย มาจับตรงกลางศีรษะแล้วกดด้วยความแรง จนหญิงสาวทรุดจมลงไปในน้ำทันที ผมยาวสยายแผ่หลาเต็มผืนน้ำ ณัฏฐนิชพยายามใช้มือคว้าจับสะเปะสะปะเพื่อเอาตัวรอด ชายหนุ่มกดเธออยู่ชั่วครู่ก็ดึงขึ้นมาจับให้หันหน้ามาเผชิญกับเขา “แค่กๆ...แค่กๆ” ณัฏฐนิชกลัวจับใจตัวสั่นระริก น้ำตาไหลปนเปกับน้ำทะเลเค็มๆ ทั้งตาจมูกและปากโดนน้ำเข้าเต็มๆ จนแสบร้อนแทบหายใจไม่ออก หญิงสาวพยายามดึงมือที่ศีรษะออกแต่มันยากยิ่งกว่างัดกับเสาเข็มเสียอีก อคิราห์ยังคงมองเธอด้วยสายตาดุจพญามัจจุราชที่จ้องแต่จะประหัตประหารให้มอดม้วยคามือ  “กลัวใช่ไหม...นี่แหละคือผลของความกล้าของเธอ...เท่านี้ยังไม่พอหรอก ฮึ ฮึ ฮึ” จบเสียงหัวเราะที่ฟังชวนขนลุก ชายหนุ่มก็จัดการกดภรรยาสาวให้จมไปตรงหน้าอย่างไม่แยแส คลื่นทะเลยังคงสาดซัดเข้าหาลูกแล้วลูกเล่าแต่คนตัวใหญ่หาได้สะทกสะท้านไม่ คงปักหลักลงทัณฑ์นักโทษสาวด้วยความโกรธ                                                                                            ณัฏฐนิชพยายามดีดตัวขึ้นเหนือน้ำเพื่อหาอากาศหายใจ บางครั้งเขาก็โอนอ่อนให้เธอพุ่งจากน้ำเค็มขึ้นมาได้ชั่วครู่แล้วก็ดันกดลงไปใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า                                                                                           ชายหนุ่มยืนมองด้วยสายตาไร้ความรู้สึกประหนึ่งคนที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่ตรงหน้าคือคนที่ฆ่าล้างตระกูลเขาอย่างไรอย่างนั้น ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาที่เคยแนบชิดติดกายกันไม่ได้ช่วยให้จิตใจเหี้ยมเกรียมสำนึกและหยุดการกระทำนั้นได้ ทั้งยังแสยะยิ้มด้วยความพึงพอใจกับผลงานด้วยซ้ำ     ณัฏฐนิชใช้มือตะกายสะเปะสะปะไปทั่วตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดแรงก็เริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ  จนกระทั่งเธอมือเตะต้องสัมผัสกับคอเสื้อเขาเธอจึงดึงจนสุดแรงเพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวดึงตัวขึ้นเหนือน้ำ และก็ทำได้สำเร็จ “แฮ่ก ๆ...” หญิงสาวจับปกคอเสื้อดึงไว้แน่นไม่ยอมปล่อยทำให้เขาไม่สามารถกดเธอลงได้อีก อย่างน้อยก็ชั่วคราว แต่เขาเองก็หยุดการกระทำทั้งหมดปล่อยมือจากตัวเธอ แล้วยืนเป็นหลักให้หญิงสาวใช้ยึดเฉยๆ สายตาและสัญชาตญาณของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของความผิดปกติอย่างชัดเจน มีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามายังอาณาเขตของเขา... “นายหนีไป!!!!” ชายในชุดรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งวิ่งตะโกนมาจากทางเดินที่ใช้เข้ามายังชายหาดด้วยสภาพเลือดท่วมตัว แล้วตามมาด้วยเสียงปืนดังกึกก้อง คมกระสุนทะลุร่างนั้นจนล้มทั้งยืนสิ้นในใจทันที เลือดไหลแดงฉานนองผืนทราย “แย่แล้ว!! มานี่” อคิราห์คำรามในลำคอ แล้วลากณัฏฐนิชที่กำลังทั้งตกใจทั้งกลัวทั้งเจ็บและแปลกใจในเวลาเดียวกันพาดำดิ่งลงใต้น้ำ เขารู้ว่าหญิงสาวไม่มีความพร้อมที่จะอยู่ในน้ำได้อีก เธอทั้งเหนื่อยทั้งหวาดกลัว ระยะทางที่จะพาเธอดำน้ำว่ายไปก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ชายหนุ่มจึงประกบจูบริมฝีปากบาง ใช้ลิ้นชอนไชให้เธอเปิดปากเพื่อรับการถ่ายทอดอากาศจากเขา เป็นการช่วยให้เธอได้หายใจสะดวกขึ้น เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่อง ผืนน้ำที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่กระจายตามแรงสาดจากกระสุนที่รัวใส่ กลุ่มคนสวมชุดสีดำปกปิดใบหน้าจำนวนกว่าสิบคนวิ่งกรูกันเข้ามาใช้ปืนเพ่งเล็งไปยังท้องทะเลเพื่อมองหาเป้าหาย ซึ่งตอนนี้ไร้ซึ่งวี่แวว  กลุ่มคนดังกล่าวใช้สายตาสำรวจพื้นที่รอบๆ ชายหาด ห่างออกไปประมาณยี่สิบเมตรเป็นแนวโขดหินโสโครก  กำลังตั้งรับกับคลื่นทะเลที่กำลังบ้าคลั่งชายคนหนึ่งในกลุ่มโบกมือให้พรรคพวกเดินหน้าไปยังที่แห่งนั้นทันทีส่วนตนปลีกตัวไปอีกทาง “ปล่อยฉันนะคุณอคิราห์ ปล่อยสิ” ณัฏฐนิชพยายามสะบัดตัวออกจากวงแขนที่รัดตัวเธอไว้อย่างแน่นหนา อคิราห์พาเธอดำน้ำว่ายมาหลบตรงโขดหินตรงนี้ ใช้มือข้างหนึ่งพันธนาการเธอเอาไว้ส่วนอีกข้างก็ชักอาวุธปืนสั้นมาไว้ในมือ แม้จะกลัวแสนกลัวกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันแต่จิตใจเธออยากไปให้พ้นๆ อสูรร้ายตนนี้มากกว่า “เงียบ!! อยากตายรึไง” ชายหนุ่มใช้น้ำเสียงเหี้ยมขู่คนในอ้อมแขน สายตาก็จับจ้องตรงคนชุดดำที่กำลังย่างกรายเข้ามา เนื่องจากโขดหินตรงนี้เป็นแนวยาวพอสมควร พวกมันจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาหลบอยู่ตรงก้อนหินก้อนไหน แต่คงใช้เวลาไม่นานนักในการหา  สิ่งที่อคิราห์ต้องทำยามคือ ถ่วงเวลาไม่ให้พวกมันเห็นจนกว่าลูกน้องของเขาจะเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งคิดว่าคงอีกไม่นานเพราะทางนั้นคงได้ยินเสียงปืนที่ดังสนั่นนั่นแล้ว “คุณเองก็อยากให้ฉันตายไม่ใช่หรือ ฮึกๆๆ แล้วจะพาฉันมาหลบด้วยทำไมล่ะ ปล่อยสิ...อุ๊บ!!” ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อมือหนาของอคิราห์ก็คลายจากตัวเธอ ใช้ฝ่ามือใหญ่ปิดปากเอาไว้ “เธอจะเป็นจะตายมันขึ้นอยู่ที่ฉันจะกำหนด เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น จำเอาไว้” คนใจหินกระซิบข้างใบหูขาวนวล                                    ณัฏฐนิชน้ำตาไหลพรากหยดลงบนฝ่ามือที่ปิดปากอยู่ โชคชะตาช่างใจร้ายกับเธอนัก แม้แต่ทางเดินชีวิตของตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง หญิงสาวยอมจำนนยืนร้องไห้กระซิกพิงอกเขานิ่งๆ อคิราห์จึงปล่อยมือและหันไปจดจ้องกับกลุ่มคนร้ายที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ                                                                   เสียงปืนหลายนัดดังติดต่อกัน กระสุนเหล่านั้นสาดเข้ามายังแนวโขดหินที่พวกเขาใช้หลบอยู่ พวกมันยังมองไม่เห็นใครเพียงแต่ยิงสุ่มเดาข่มขู่เท่านั้น ณัฏฐนิชเอามืออุดหูด้วยความกลัว พิงซบอกสามีหนุ่มเอาไว้อย่างแนบแน่น  “กรี๊ด!!” อคิราห์ลั่นไกปืนในมือเพื่อตอบโต้คนร้าย ทำให้หญิงสาวตกใจจนกรีดร้องเสียงหลง เธอยังไม่ทันตั้งตัวและมองไม่เห็นด้วยว่าเป็นเขายิงจึงคิดว่าเป็นคนร้ายเข้ามาจ่อยิงระยะประชิดเพราะเสียงปืนอยู่ใกล้เหลือเกิน หญิงสาวจึงตกใจสุดขีดเผลอกอดอคิราห์และซุกใบหน้าเข้าหาอกด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มเองก็ใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดเธอด้วยสัญชาตญาณโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน คราวนี้เสียงปืนรัวติดๆ กันหลายนัด เมื่ออคิราห์หันไปดูก็ต้องยิ้มออก กลุ่มคนมากกว่าสิบมีอาวุธอยู่ในมือ กำลังวิ่งกรูยิงกระหน่ำเข้าหาพวกคนร้าย ต่างฝ่ายต่างวิ่งหาต้นมะพร้าวริมชายหาดเป็นที่กำบังกระสุนและยิงตอบโต้กันอย่างดุเดือด ฝั่งชายชุดดำถูกยิงล้มลงจมกองเลือดมากกว่าครึ่ง ส่วนคนที่เหลือก็บาดเจ็บเกือบทั้งหมด แต่ก็ยังพยายามยิงคุ้มกันตัวเองและแยกย้ายกันหนีตายอย่างทุลักทุเล ส่วนลูกน้องของอคิราห์ไม่มีใครเสียชีวิต มีบ้างที่บาดเจ็บเล็กน้อย หัวหน้าชุดปฏิบัติการใช้สัญญาณมือบอกลูกน้องไม่ให้ตามพวกที่หนีไปได้ สำคัญที่สุดตอนนี้คือการหาตัวอคิราห์ให้เจอเสียก่อน หากแยกย้ายกันไปเกิดยังมีพวกมันตามมาสบทบอีกรอบ ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะไม่ทันการณ์ “คุณคีม!!! คุณคีมครับ อยู่ตรงไหน ปลอดภัยไหมครับ” เสียงหนึ่งในกลุ่มลูกน้องตะโกนเรียกหาเจ้านายของตัวเอง พวกเขาได้ยินเสียงปืนในที่เกิดเหตุในขณะที่กำลังพักผ่อนกันอยู่ด้านชายหาดที่เป็นส่วนของนักท่องเที่ยว ต่างทิ้งภารกิจทุกอย่างหยิบฉวยอาวุธประจำกายวิ่งมาที่นี่ทันทีด้วยรู้ว่านายของพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ เนื่องจากบริเวณนี้ไม่มีใครอื่นเข้ามาได้ แต่กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาไปเกือบๆ ห้านาที                     “ฉันอยู่นี่...กิจ” เสียงห้าวทุ้มตะโกนตอบ ทำให้พวกเขาเบาใจลงมาก ต่างวิ่งฝ่าคลื่นน้ำทะเลลงไปช่วยทั้งสองขึ้นมา อคิราห์ใช้สองมือกอดณัฏฐนิชไว้แนบอก พยุงเธอเดินเข้าหาฝั่งท่ามกลางลูกน้องที่ลงมาช่วยเหลือ หญิงสาวยังคงอยู่ในอาการตกใจและกลัวจนตัวสั่นงก วันนี้เธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์เกือบตายมาถึงสองครั้ง สองรูปแบบด้วยกัน... “ทำไมช้า...” เสียงเย็นเฉียบจากผู้เป็นนายถามอย่างไม่สบอารมณ์ บรรดาลูกน้องต่างก้มหัวงุดด้วยความละอายใจ บางคนพยุงเพื่อนที่บาดเจ็บเดินตรงเข้ามารวมกลุ่มด้วย    “ขอโทษครับคุณคีม พวกเราชะล่าใจ ไม่คิดว่าจะมีใครตามมาถึงที่นี่ เป็นความผิดของผมเองที่ปล่อยให้คุณอยู่ห่างจนเกินไป” นนท์ธกิจหัวหน้าชุดปฏิบัติการออกตัวรับความผิดอย่างกล้าหาญ “ให้คนมาพาณัฏฐนิชไปพัก ถ้าไม่มีคำสั่งห้ามพาไปไหนมาไหนโดยพลการ ส่วนนายเช็กทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปหาฉันที่ห้องทำงานภายในครึ่งชั่วโมง” อคิราห์จ้องมองเหล่าลูกน้องด้วยสายตาไร้ความรู้สึก เขาคลายอ้อมแขนจากภรรยาสาวที่ซบอยู่กับอก ผลักเธอออกจากตัวส่งต่อให้กับคนของตัวเองจัดการตามคำสั่ง ส่วนตัวเขาก็หันหลังเดินจากไป ณัฏฐนิชที่ยังตื่นกลัวหันมองสามีอย่างงงๆ ดวงตาของเธอยังแดงก่ำ ใบหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเหมือนลูกนกที่หนาวจัดไม่รู้สึกปลอดภัยเลยเมื่อห่างจากเขา ทั้งที่เขาทำร้ายเธอทุกอย่าง นนท์ธกิจรีบเข้าไปเตะที่แขนเบาๆ เพื่อบอกให้เธอเดินไปจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด เขาเองมีเรื่องต้องจัดการอีกเยอะ ที่สำคัญต้องทำเวลาให้ทันกับที่ผู้เป็นนายกำหนดมาด้วย ทางด้านอคิราห์ก็ตรงไปยังที่พักอีกแห่งหนึ่งตรงริมทะเล เขาเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการทำความสะอาดตัวเองล้างคราบน้ำเค็มออก เมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออกหมดทุกชิ้นชายหนุ่มก็ตรงไปเปิดฝักบัวให้สายน้ำโปรยลงมากระทบร่างกาย อคิราห์จ้องมองไปที่กระจกบานใหญ่ตรงหน้าตามความเคยชิน ฉับพลันมือหนาก็ตะปบตรงคอตัวเองด้วยความตกอกตกใจ “ขิง...แหวนของขิงหายไปไหน” ชายหนุ่มกลับหลังเดินมายังผ้าที่กองอยู่บนพื้นสะบัดด้วยความร้อนใจเพื่อหาสร้อยคอที่ห้อยแหวนของเพียงอัปสร แหวนที่เขาเป็นคนมอบให้ แหวนที่เธอใส่ติดตัวจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ...มันหายไป ชายหนุ่มเอามือขยี้ผมบนศีรษะแรงๆ เดินไปมาด้วยความกังวลใจ เขาไม่เคยเลินเล่อถอดทิ้งไว้ที่ไหน นับตั้งแต่ถอดออกจากมือเธอในวันฌาปนกิจศพ เขาก็คล้องกับสร้อยคอห้อยติดตัวตลอด แม้แต่เวลาอาบน้ำหรือนอนก็ยังไม่เคยถอด แล้วมันหายไปไหนกัน... ชายหนุ่มโยนผ้าในมือทิ้งแล้วเดินออกจากห้องน้ำไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตู้โชว์ด้วยความร้อนใจ “กิจ...นายจำบริเวณที่มีเรื่องเมื่อกี้ได้ไหม สร้อยคอของฉันหาย ปิดทะเลตรงนั้นระยะสองเมตรจากหาดความยาวจนถึงบริเวณโขดหินที่ฉันหลบอยู่ ทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องหาให้เจอ” เมื่อลูกน้องคนสนิทรับคำสั่งแล้ว โทรศัพท์ในมือก็ถูกลดระดับลง “โธ่โว้ย...” เสียงห้าวห้วนคำรามดังลั่นห้องพร้อมๆ กับเสียงโทรศัพท์ที่ถูกปาไปกระทบกับผนังห้องดังโครมใหญ่ ชิ้นส่วนอะไหล่จากเครื่องมือสื่อสารกระจุยกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแทบดูไม่ออกว่ามันเคยมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร อคิราห์ยังคงยืนเปลือยเปล่าใช้ความคิดอย่างหนักว่าของสำคัญของเขาหายไปได้อย่างไร แต่มั่นใจว่าต้องเป็นตอนเกิดเหตุการณ์ยิงถล่มเมื่อครู่แน่ๆ เพราะก่อนหน้าตอนที่เขายังอยู่บนเรือสปีดโบ๊ทมันยังมีอยู่เลยนี่นา เขายังจับและกำเอาไว้ในมือ  และแล้วเมื่อสมองลำดับภาพย้อนหลังชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ทันที ตอนที่เขาจับณัฏฐนิชกดน้ำหญิงสาวใช้มือดึงกระชากคอเสื้อเขาอย่างแรง ใช่แน่ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ ที่ทำให้สร้อยคอพร้อมแหวนสุดรักของเขาขาดร่วงตกลงน้ำไป “ณัฏฐนิช...เธออีกแล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงลอดไรฟันขาวสะอาดที่ขบกันแน่นบ่งบอกถึงความโมโหที่กำลังก่อตัวระลอกใหม่                         
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม