ข้าวต้มกุ้งร้อน ๆ ถูกวางไว้บนโต๊ะก่อนที่พลอยใสซึ่งสวมชุดนักเรียนจะลงมาจากชั้นบนของบ้านพร้อมกับข้าวหอมที่กลายมาเป็นพี่เลี้ยงอย่างเต็มตัว เด็กน้อยนั่งลงเคียงข้างบิดาก่อนจะรีบตักข้าวต้มเข้าปากเพื่อจะได้ไปโรงเรียนแต่เช้า เพียงไม่นานร่างบางระหงของสิตาก็เดินตามลงมาก่อนจะปรายตามองสามีวูบหนึ่งแล้วจึงเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณแม่คะ” เสียงพลอยใสเอ่ยเรียกทำให้หญิงสาวต้องหยุดชะงักลง
“มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“คุณแม่จะไปทำงานแล้วเหรอคะ” คำถามนั้นทำให้สิตาต้องรีบเข้ามาในบ้านแล้วทรุดกายนั่งลงเคียงข้างลูกสาวทันที หากลองคิดดูแล้วถ้าเธอทำให้พลอยใสรักและติดเธอมากกว่าพริษฐ์ทุกอย่างมันอาจจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้โดยที่เธอไม่ต้องดึงเวลาให้นานกว่านี้ก็ได้
“ใช่จ่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับหันไปมองสามีครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มแผนการ “เอ...หรือว่าวันนี้แม่จะไปส่งน้องพลอยกับคุณพ่อดีล่ะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่” พลอยใสตอบกลับในทันทีก่อนจะหันไปที่ข้าวหอมซึ่งกำลังนำน้ำส้มมาเสิร์ฟให้คุณผู้หญิงของบ้าน “เดี๋ยวน้องพลอยไปกับพี่ข้าวก็ได้ค่ะ”
“แหม...พี่ข้าวเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน น้องพลอยก็รักพี่ข้าวมากกว่าแม่แล้วเหรอคะ” สิตาหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แกล้งตัดพ้อลูกสาวจนพลอยใสต้องรีบปลอบใจ
“ไม่ใช่นะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณแม่งานยุ่ง คุณพ่อเลยให้พี่ข้าวไปส่งแทนค่ะ”
“เหอะ ! ” หญิงสาวหัวเราะในลำคอปรายตามองไปที่สามีอีกครั้ง “คงจะไม่ได้หาใครมาแทนที่แม่หรอกนะ”
“นี่คุณ...ผมว่าถ้าเรามีเรื่องกัน มันก็น่าจะเกิดเพราะเราแค่สองคน ทำไมต้องพูดถึงคนอื่นด้วย ผมไม่ใช่คุณนะ” พริษฐ์วางแก้วในเมือลง จ้องมองหน้าภรรยานิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพราะไม่อยากให้พลอยใสตกใจ
“คุณหมายความว่าไงคะภูมิ” สิตายืนขึ้นเต็มความสูง รู้สึกตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าสามีจะจับได้เร็วขนาดนี้ “คุณจะบอกว่าฉันมีคนอื่นงั้นเหรอ”
“ลูกมองอยู่ไม่เห็นหรือไง” ชายหนุ่มยืนขึ้นประจันหน้ากับอีกฝ่ายแต่แทนที่จะมีปากเสียงกัน เขากลับเดินอ้อมไปหาลูกสาวแทน “วันนี้น้องพลอยอยากให้คุณแม่ไปส่งไหมคะ”
“แต่คุณแม่ต้องรีบไปทำงานนี่คะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้แม่ไม่รีบ แม่ไปส่งน้องพลอยได้” หญิงสาวแทรกกายเข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าพลอยใส แต่สายตากลับเหลือบมองไปที่ข้าวหอมด้วยความไม่ชอบใจ “เดี๋ยวจะได้ให้คุณพ่อไปส่งคุณแม่ไปส่งที่บริษัทเลย จะได้ไม่ต้องรบกวนคนอื่นไงคะ”
“เย้ ! น้องพลอยดีใจที่สุดเลยค่ะ” พลอยใสยิ้มร่าด้วยความดีใจ มือน้อย ๆ รีบลากแขนสิตาไปรอพริษฐ์ที่รถก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวตามออกไป เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าภรรยาที่อยู่กินกันมาหลายปีกำลังนอกใจ แต่เพราะอยากรักษาคำว่าครอบครัวเอาไว้จึงต้องยอมกลายเป็นไอ้โง่ที่ถูกเมียสวมเขา
“แล้วเย็นนี้คุณแม่จะมารับน้องพลอยไหมคะ” พลอยใสเอ่ยถามหลังจากที่นั่งรถมาถึงโรงเรียน
“อันนี้คงต้องถามคุณพ่อดูแล้วล่ะค่ะ ว่าอยากให้แม่มาด้วยไหม” สิตาแกล้งเอียงคอไปถามสามี ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องปกติเพื่อจะกลบเกลื่อนเรื่องที่เธอทำผิดเอาไว้
“ถ้าคุณแม่ว่าง เดี๋ยวพ่อพาคุณแม่มารับนะคะ”
“ดีจังเลยค่ะ วันนี้น้องพลอยมีความสุขที่สุดในโลกเลย” เด็กน้อยคลี่ยิ้มพร้อมกับหอมแก้มพริษฐ์สลับกับสิตาเสียฟอดใหญ่จากนั้นจึงวิ่งเข้าไปในโรงเรียนอย่างอารมณ์ดี
“งั้นเย็นนี้เราเลิกงานเร็ว มารับน้องพลอยเสร็จไปหาอะไรกินนอกบ้านดีไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามสามีในขณะที่เขากำลังขับรถมุ่งหน้าออกสู่ถนนใหญ่
“ก็ดีเหมือนกันนะ คุณจะได้มีเวลาให้น้องพลอยด้วย” พริษฐ์ตอบแต่สายตากลับจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงแกล้งเอียงศีรษะซบลงบนไหล่กว่างเกาะแขนเขาไว้แน่นเหมือนตอนที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ
“จะว่าไป เราเองก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนพร้อมหน้าพร้อมตากันนานแล้วนะคะ ปิดเทอมนี้เราพาน้องพลอยไปทะเลกันดีไหมคะ”
“คุณว่างด้วยเหรอ ปกติเวลาลูกชวนคุณไม่เห็นจะอยากไปเลย”
“ถ้าสิรู้ล่วงหน้าเป็นเดือนก็พอจะเคลียร์งานไว้ทันอยู่แล้วล่ะค่ะ” สิตาแกล้งเอาใจ เธอจะให้พริษฐ์รู้เรื่องชู้รักไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแผนการฟ้องหย่าได้พังไม่เป็นท่าแน่
“งั้นก็แล้วแต่คุณละกัน” เขาตอบพลางชะลอรถจอดที่หน้าบริษัทเพื่อส่งสิตา “เดี๋ยวบ่ายสามผมมารับ หวังว่าคุณคงไม่ลืมสัญญานะ”
“ไม่ลืมอยู่แล้วค่ะ” พูดจบ ริมฝีปากสีแดงเพลิงก็จุมพิตเบา ๆ บนแก้มสามีแล้วจึงลงจากรถไป พอประตูถูกปิดลงพริษฐ์ก็ขับรถออกไปทันทีโดยไม่ได้หันไปมองหน้าสิตาเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงบริษัทเขากลับรีบมุ่งหน้าเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ปล่อยร่างให้ล้มตัวลงบนเก้าอี้ทำงานอย่างหมดเรี่ยวแรงเพียงไม่นาน น้ำตาของลูกผู้ชายก็ไหลลงมาหลังจากที่อัดอั้นเก็บมันไว้นาน
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...ทำไม...ทำไม ! ” ดวงตาคมกริบจ้องมองแหวนสีเงินบนนิ้วนางของตัวเองพร้อมกับความรู้เจ็บปวดเหมือนหัวใจมันแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
หลังจากที่ตกลงแต่งงานกับสิตาและอยู่กินกันมาได้หกปีกว่า ยอมแยกตัวออกมาจากบ้านหลังใหญ่เพราะศรีภรรยาไม่สามารถอยู่ร่วมบ้านกับแม่เขาได้ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้หญิงสาวมีความสุข เพื่อรักษาคำว่าครอบครัวเอาไว้ แต่ใครจะคิดว่าโรคที่สิตาเป็นมันกลับทำให้ครอบครัวที่สร้างขึ้นมาต้องพังทลายลงเพียงเพราะเขาไม่สามารถให้ความสุขในแบบที่เธอต้องการได้
“คุณภูมิคะ คุณจิตตราฝ่ายบัญชีมาขอพบค่ะ” เสียงนภา เลขา ฯ หน้าห้องเคาะประตูบอก ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบปาดเช็ดน้ำตาออก ปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อเตรียมตัวทำงานในทันที
“เข้ามาสิ”
“สวัสดีค่ะคุณภูมิ” เมื่อประตูถูกเปิดออก ร่างอวบท้วมสวมแว่นหนาเตอะของหญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ก็เข้ามาในห้องพร้อมกับเอกสารในมือ
“พี่จิตตรามีอะไรเหรอครับ มาหาผมแต่เช้าเลย”
“มีเรื่องด่วนน่ะสิคะ” อีกฝ่ายทรุดกายนั่งลงตรงข้ามก่อนจะหยิบแฟ้มในมือมาเปิดออก เผยให้เห็นรายได้ของบริษัทที่ปรากฏเป็นตัวเลขอยู่บนนั้น
“เรื่องด่วนงั้นเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ เรื่องคอขาดบาดตายเลยล่ะค่ะ“ ว่างพลางอธิบายในสิ่งที่เธอตั้งใจจะมาขอพบในวันนี้อีกชายหนุ่มทราบทันที “คือ...พี่ลองนำรายรับรายจ่ายของทีพีเอทเตท สาขาที่คุณสิตาเธอดูแลอยู่ แล้วเอามาเทียบกับของพี่ที่บันทึกเก็บไว้แล้ว...เอ่อ...”
“มีอะไรเหรอครับ” พริษฐ์เอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป
“คือ...ปกติเรื่องรายรับรายจ่ายของบริษัทย่อยมันต้องผ่านบริษัทแม่ทุกครั้งใช้ไหมคะ ว่าแต่ละเดือนเราจัดซื้ออะไรไปบ้างแล้วได้กำไรมาเท่าไหร่ พี่ก็บันทึกเอาไว้อยู่แล้ว แรก ๆ ตัวเลขมันก็ตรงกัน แต่พี่สังเกตมาสองเดือนแล้วที่เห็นว่าตัวเลขที่ทางคุณสิตารายงานมามันไม่ตรงกับของพี่น่ะค่ะ”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ พี่จิตตราตกหล่นตรงไหนไปหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามย้ำ ภาวนาขออย่าให้เป็นไปตามที่เขาคิด
“ตอนแรกพี่ก็ว่าอย่างนั้น แต่พี่ลองหาเก็บบิลย้อนหลัง มันก็ตรงกันหมดนะคะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นเลยนะคะคุณภูมิ เงินบริษัทหายไปเป็นสิบล้านเลยนะคะ”
“งั้นเหรอครับ” มือหนาบีบขยำกระดาษในมือแน่น เขาขบกรามจนเป็นสันนูนเพื่อเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้แต่สายตาบ่งบอกเป็นอย่างดีว่ากำลังโกรธมากขนาดไหน
“คุณภูมิจะให้พี่ทำยังไงต่อคะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ บริษัทต้องขาดทุนแน่ ๆ ”
“พี่จิตตราอย่างเพิ่งบอกใครเรื่องนี้นะครับ ผมจะหาทางจับผู้ร้ายตัวจริงด้วยตัวของผมเอง มีหลักฐานแน่นขนาดนี้คงจับตัวไม่ยากหรอก”
“เอ่อ...คุณภูมิคะ” จิตตราปิดแฟ้มเอกสารลงก่อนจะกระซิบบอกบางอย่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก “อย่าหาว่าพี่ยุแหย่เลยนะคะ แต่พี่ว่าเรื่องนี้ คุณสิตาเธอน่าจะรู้ดีนะคะ”
“ครับ เอาไว้ผมจะจัดการเรื่องนี้เองนะครับ รับรองได้เลยว่าเดือนหน้ามันไม่เป็นอย่างนี้แน่ ยังไงพี่ช่วยคำนวนดูให้หน่อยก็แล้วกันนะครับว่าจำนวนเงินที่หายไปมันเท่าไหร่ เดี๋ยวผมจะใช้คืนด้วยเงินส่วนตัวของผมเอง”
“ได้ค่ะคุณภูมิ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ” จิตตรากล่าวลาก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหลือทิ้งไว้แต่แฟ้มเอกสารที่ถือติดมือมาในตอนแรกถูกวางไว้ตรงหน้าพริษฐ์
“ทำไมคุณต้องทำกับผมถึงขนาดนี้ด้วย”
ชายหนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะหยิบแฟ้มตรงหน้าปาลงพื้นเสียงดังสนั่นเพราะความอดทนที่ขาดสะบั้นลง อุตส่าห์รักและเชื่อใจมาตลอดหลายปี ใครจะคิดว่าเขากลับได้รางวัลตอบแทนเป็นไอ้โง่แบบนี้
“ในเมื่อคุณทำกับผมขนาดนี้ ผมก็จะไม่เอาคุณไว้เหมือนกัน”
มือหนาถอดแหวนแต่งงานออกแล้วเขวี้ยงมันทิ้งตามเอกสารไป ก่อนที่ภาพรอยช้ำตามตัวของสิตาจะเข้ามาหลอกหลอนจนเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเลยตลอดทั้งวันกระทั่งถึงเวลาที่ต้องไปรับพลอยใส
ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหนแต่เขาก็ต้องแกล้งปั้นหน้ายิ้มแย้มกับสิตาเพราะไม่อยากให้ลูกสาวรู้สึกอึดอัดไปด้วยอีกคน
“แม่มาแล้วค่ะน้องพลอย” หญิงสาวถลาลงจากรถเพื่อไปรับพลอยใสที่หน้าประตูรั้ว “วันนี้แม่กับพ่อจะพาน้องพลอยไปกินไอติมด้วย ดีใจไหมคะ”
“จริงเหรอคะคุณแม่” เด็กน้อยเอ่ยถาม น้ำเสียงไม่ได้แสดงออกถึงความดีใจเลยสักนิด “แต่เมื่อวานคุณพ่อก็เพิ่งพาน้องพลอยไปนะคะ”
“ไปวันนี้อีกวันก็ได้ วันนี้แม่ไปด้วย” สิตาเอ่ยชวนแต่พลอยใสกลับไม่มีท่าทีตื่นเต้นเหมือนในตอนแรก
“แล้วพี่ข้าวล่ะคะ วันนี้น้องพลอยมีนัดกับพี่ข้าว เราตกลงกันว่าจะช่วยตัดเสื้อให้เจ้าหญิงของน้องพลอย”
“นี่น้องพลอย ! เอะอะอะไรก็พี่ข้าว พี่ข้าว เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแม่อยู่ในสายตาแล้วหรือไง” หญิงสาวเผลอตวาดร้าวออกมา ทำให้พริษฐ์รีบคว้าตัวพลอยใสมาสวมกอดไว้เมื่อเห็นว่าลูกสาวกำลังจะร้องไห้
“ไม่เป็นไรนะคะ ถ้าน้องพลอยไม่อยากไปวันนี้ก็ไม่เป็นไร เอาไว้ให้คุณแม่เขาพาไปวันอื่นก็ได้ ตกลงไหมคะ”
“ตกลงค่ะคุณพ่อ”
เมื่อเห็นถึงความอ่อนโยนที่พริษฐ์มีให้ลูกสาว สิตาจึงปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงแล้วรีบปลอบใจพลอยใสด้วยอีกคน
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้แม่ขอตัวกลับไปเคลียร์งานบริษัทก่อนนะคะ ปิดเทอมเราจะได้ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน”
“ไปทะเลเหรอคะ” พลอยใสยิ้มออกมาทันที
“ใช่ค่ะ คุณแม่เขารีบเคลียร์งานจะได้พาน้องพลอยไปทะเลไงคะ” พริษฐ์ลูบศีรษะเล็กอย่างนึกเอ็นดู สำหรับเขาพลอยใสเปรียบเสมือนโลกทั้งใบ หากจะเสียสิตาไปก็คงไม่เสียใจเท่ากับเสียลูกสาวไปแน่ ๆ
“ทะเล น้องพลอยอยากไปทะเล”
“งั้นเดี๋ยวแม่กลับไปเคลียร์งานก่อนละกัน น้องพลอยกลับบ้านกับคุณพ่อก่อนนะคะ”
“คุณไม่ให้ผมไปส่งเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณต้องวกกลับไปเสียเวลาอีก ดูเหมือนว่าน้องพลอยคงจะคิดถึงพี่ข้าวแล้ว ใช่ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ให้คุณพ่อไปส่งก่อนดีกว่าค่ะ”
“ไปเถอะจ่ะ แม่นั่งแท็กซี่ได้ ป่านนี้พี่ข้าวคงตัดผ้ารอแล้ว” สิตาหอมแก้มลูกสาวเพื่อบอกลาก่อนจะเดินข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อจะโบกรถแท็กซี่ พริษฐ์เห็นดังนั้นจึงรีบพาพลอยใสขับรถออกไปจากโรงเรียน แต่แทนที่เขาจะกลับบ้าน ชายหนุ่มกลับขับรถวนอยู่ที่เดิม แอบมองสิตาอยู่ไกล ๆ จนลูกสาวต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“คุณพ่อกำลังมองหาใครเหรอคะ”
“เอ่อ...พ่อเป็นห่วงคุณแม่น่ะค่ะ เลยจะดูให้แน่ใจเสียก่อนว่าแม่ขึ้นแท็กซี่ไปแล้ว” เขาตอบพลอยใส เพราะไม่อยากให้ลูกสาวเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น ชายหนุ่มจึงหยิบสมาร์ตโฟนส่งไปให้ “น้องพลอยดูการ์ตูนไปก่อนนะคะ”
“ค่ะ คุณพ่อ” หนูน้อยตาลุกวาวรับมือถือจากบิดามาเปิดการ์ตูนดูอย่างสบายใจ ในขณะที่พริษฐ์ยังทอดสายตามองหาสิตาจนกระทั่งเห็นรถของใครบางคนกำลังตีไฟเลี้ยวเข้าไปจอดรับ ถึงจะเห็นไม่ชัดแต่เขาก็มั่นใจว่าคนในรถต้องเป็นชู้รักของภรรยาแน่ ๆ
“คุณพ่อคะ คุณพ่อ...”
“คะ...คะ มีอะไรเหรอคะ” เสียงเรียกของพลอยใสดึงสติเขากลับมาในทันที
“น้องพลอยหิวแล้วค่ะ เรารีบกลับบ้านกันดีกว่า คิดถึงพี่ข้าวแล้วด้วย”
“ได้ค่ะ” พริษฐ์ตอบรับรีบขับรถกลับบ้านในทันที พยายามควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองไม่ให้มันแสดงออกมาจนพลอยใสต้องรับรู้ เขาต้องทำเป็นปิดหูปิดตาไปสักพักเพื่อ รอให้สิตาตายใจแล้วค่อยหาหลักฐานมัดตัวให้แน่นกว่านี้ ถึงตอนนั้นเขาฟ้องหย่าและทำทุกอย่างให้ได้สิทธิ์เลี้ยงดูพลอยใสอย่างแน่นอน
“พี่ข้าว ! พี่ข้าว ! พี่ข้าว น้องพลอยกลับมาแล้วค่ะ” เสียงใสดังขึ้นทันทีที่กลับถึงบ้านพร้อมกับวิ่งหาข้าวหอมจนทั่วแต่กลับพบแค่เดือนแรมที่กำลังเตรียมมื้อค่ำอยู่ในครัว
“น้องพลอยกลับมาแล้วเหรอคะ”
“พี่ข้าวหอมล่ะคะ พี่ข้าวหอมไปไหน” หนูน้อยเอ่ยถาม
“เอ่อ...พี่ข้าวไม่สบายน่ะค่ะ เห็นบ่นว่าปวดหัว พี่เลยให้พี่ข้าวไปพัก...” อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบ พลอยใสก็รีบวิ่งไปที่ห้องนอนของข้าวหอมทันทีทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ
“พี่ข้าว พี่ข้าวไม่สบายเหรอคะ” คนตัวเล็กทรุดกายนั่งลงบนเตียงเอ่ยเรียกคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอีกครั้ง "พี่ข้าวคะ พี่ได้ยินน้องพลอยไหม"
“อือ...” มีแต่เสียงครางดังลอดออกมา ก่อนที่มือน้อย ๆ จะเลื่อนไปอีงหน้าผากของหญิงสาว
“พี่ข้าว ตัวร้อนจี๋เลย” พูดจบก็รีบเด้งตัวลุกจากเตียงเพื่อไปบอกให้พริษฐ์ทราบทันที “คุณพ่อคะ คุณพ่อ คุณพ่อคะ แย่แล้วค่ะ”
“มีอะไรเหรอคะ” ชายหนุ่มกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องรีบถอดเสื้อสูทออกแล้วเอ่ยถามลูกสาวทันที
“พี่ข้าวไม่สบายค่ะ ตัวร้อนจี๋เลย คุณพ่อต้องพาพี่ข้าวไปหาหมอนะคะ” ว่าแล้วจึงลากแขนบิดาลงไปยังห้องนอนของข้าวหอม เห็นร่างเล็กนอนสั่นอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาเขาก็รีบตรวจดูทันทีก่อนจะพบว่าข้าวหอมตัวร้อนอย่างที่พลอยใสบอกจริง ๆ
“ข้าว ข้าวได้ยินฉันไหม ข้าว” เขาพยายามเขย่าตัวเรียกเพื่อให้หญิงสาวตื่นขึ้นมากินยา “ข้าวหอม...”
“อ้าวคุณภูมิ” เสียงเดือนแรมดังขึ้นพร้อมกับข้าวต้มที่ถือติดมือมา “ข้าวมันไม่สบายตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วล่ะค่ะ เห็นออกไปกวาดใบไม้ในสวน พอกลับเข้ามาก็เริ่มมีอาการ”
“รีบพาพี่ข้าวไปโรงพยาบาลเถอะค่ะคุณพ่อ”
“อืม” พริษฐ์เห็นด้วยก่อนที่เขาจะออกแรงอุ้มร่างบางขึ้นมาจากที่นอน ยังไม่ทันจะพาออกไป พลอยใสก็หันไปเห็นรอยแผลตรงหลังเท้าของข้าวหอมเสียก่อน
“พ่อคะ เท้าพี่ข้าวเป็นอะไรก็ไม่รู้”
“ไหนคะ” สายตาคมกริบหันไปตามเสียงของลูกสาวก่อนจะพบกับรอยแดงเป็นวงใหญ่
“รอยแบบนี้แมงป่องแน่นอนค่ะ ข้าวมันคงจะไปเผลอเหยียบ” เดือนแรมสันนิษฐานเพราะรอยต่อยมีเพียงแค่รอยเดียว “ดูจากอาการ น่าจะแพ้หนักเสียด้วย”
“เดี๋ยวน้องพลอยอยู่กับพี่เดือนก่อนนะคะ พ่อจะพาพี่ข้าวไปโรงพยาบาล” พริษฐ์หันไปบอกลูกสาวแล้วจึงโอบอุ้มร่างที่ไร้สติในอ้อมกอดไปที่รถก่อนจะขับมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที