บทนำ
สายลมเย็น ๆ จากทะเลพัดโชยมาทำให้โมบายประดิษฐ์ที่ทำจากเปลือกหอยหน้าร้านส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ร่างหนึ่งหยิบหมวกแก๊ปประจำตัวขึ้นมาสวมไว้ก่อนจะรีบวิ่งออกมาหน้าร้านเมื่อเห็นลูกค้ากำลังเลือกซื้อเสื้อมัดย้อมที่วางขาย
“ตัวละสองร้อยห้าสิบค่ะพี่” หญิงสาวรับเงินมาก่อนจะจัดการใส่ถุงให้ลูกค้าแล้วจึงนำเงินที่ขายได้กลับเข้าไปในร้านเพื่อส่งมันให้วาดจันทร์เจ้าของร้านวัยสามสิบสองปี
“นี่จ่ะน้า”
“โอเคจ่ะ” อีกฝ่ายรับเงินมาเก็บไว้ในลิ้นชักแล้วจึงเงยหน้าสนทนากับคนตัวเล็กต่อ “จะค่ำแล้ว เอ็งกลับบ้านเถอะ น้าว่าจะปิดร้านแล้วเนี่ย”
“จ่ะน้า งั้นหนูไปก่อนนะ” หญิงสาวเอ่ยลาพลางกระชับหมวกแล้วรับเดินออกจากร้านเพื่อแวะตลาดนัดริมทะเลซื้อกับข้าวหิ้วกลับไปหาแม่ที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่บ้านต่อ
“เอาปลาเผาตัวนึงจ่ะ” ว่าพลางชี้ไปที่ปลาตัวเล็กที่สุดบนเตาก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรสีเขียวและเหรียญขึ้นมานับ “เท่าไหร่ค่ะป้า”
“เจ็ดสิบ” แม่ค้าตอบ
“ฉันมีแค่ห้าสิบห้าเอง งั้น...เอาผักไปแกงจืดแทนก็แล้วกันค่ะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ผักกาดขาว ยังไม่ทันที่แม่ค้าจะหยิบมันขึ้นมาชั่งให้ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน
“เอาปลาเผานั่นแหละจ่ะ เอาตัวที่ใหญ่ที่สุดเลย”
“นี่มึงอีกแล้วเหรอ” คนตัวเล็กถลกแขนเสื้อขึ้นหันไปมองคนมาใหม่ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรำคาญเสียเต็มประดา
“ทำไมพูดกับพี่แบบนั้นล่ะข้าว”
“ใครเป็นน้องมึง กูเป็นลูกคนเดียวโว้ย ! ” หญิงสาวตะคอกใส่แล้วจึงหันไปหยิบผักกาดขึ้นมาก่อนจะส่งเงินให้แม่ค้า เสร็จแล้วก็รีบหันหลังเดินกลับบ้านแต่อีกฝ่ายก็ยังตามตอแยไม่เลิก
“มึงจะอวดดีกับกูไปถึงไหนวะข้าว ! ” วายุ ลูกชายกำนันบุญมี ผู้มีอิทธิพลที่สุดในเกาะแห่งนี้เอ่ยขึ้น ในขณะที่กำลังวิ่งตามหญิงสาวต้อย ๆ
“ก็จนกว่ามึงจะเลิกตามตอแยกูไง”
“กูไม่เลิก” วายุท้าทาย สายตาจ้องมองคนตรงหน้าประหนึ่งจะเข้าไปกอดเสียตอนนั้น ถึงท่าทางจะแก่นเซี้ยว หัวรั้น แต่ปฏิเสธไม่ลงเลยทีเดียวว่าข้าวหอมเป็นผู้หญิงที่สวยมากที่สุดในเกาะแห่งนี้ก็ว่าได้ แม้ว่าสาวเจ้าจะไม่แต่งหน้า ใส่เสื้อผ้าเก่าคร่ำครึก็ตาม “กูจะตามตอแย ตามรังควานมึง จนกว่ามึงจะยอมแต่งงานกับกู”
“ฝันไปเถอะ ต่อให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ยังไงกูก็ไม่มีวันแต่งงานกับมึงแน่” คนตัวเล็กถลึงตาใส่ เป็นที่รู้กันดีว่าอีกฝ่ายกำลังตามตื้อเธอเพื่อหวังจะให้บิดาไปขอมาแต่งเมีย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังกินแห้วมานานเกือบปีเพราะหญิงสาวไม่เล่นด้วย
“ทำมาเป็นอวดดี กูจะคอยดูว่ามึงจะอวดเก่งได้ถึงไหน มึงอย่าลืมนะว่าที่ดินบ้านมึงอยู่กับพ่อกู ถ้าภายในสิ้นเดือนนี้มึงไม่เอาเงินไปคืนพ่อกู กูจับมึงทำเมียแน่ไอ้ข้าว...อุบ ! ” เสียงของวายุเงียบหายไปเมื่อขาเรียวออกแรงตวัดแกว่งไปปะทะกับอาวุธลับตรงระหว่างขาเข้าเต็มแรงจนชายหนุ่มล้มลงตัวงอ หน้าเขียวคล้ำทำให้บรรดาลูกน้องที่ตามติดมารีบหิ้วปีกลูกพี่พวกมันเป็นการใหญ่
“เป็นไงบ้างครับพี่วา”
“เจ็บดิวะ ถามได้” วายุใช้มือลูบเป้าตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด “ไอ้ข้าว มึงหยามน้องชายกู”
“นี่มันยังน้อยไป ถ้ามึงยังมาวุ่นวายกับกูอีก คราวหน้ากูเอามีดสับมันแน่”
“มึงคิดว่ากูจะกลัวเหรอ มึงก็รู้ว่าพ่อกูใหญ่สุดในเกาะนี้ กูจะฉุดมึงไปทำเมียก็ยังได้ แต่ที่กูไม่ทำเพราะกูเห็นแก่น้าสอางค์แม่มึง รอให้แม่มึงตายก่อนเถอะ กูไม่ปล่อยมึงแน่”
“ไอ้...” หมัดน้อย ๆ ยกขึ้นเตรียมจะฟาดลงบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ของวายุอีกครั้งแต่คราวนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกกลัว
“เอาเลย มึงต่อยกูอีก กูสั่งให้พวกนี้ลากมึงกลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ”
“ไอ้หน้าตัวเมีย” หญิงสาวลดมือลง ขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ “มึงจำไว้เลยนะ ว่ากูไม่มีวันแต่งงานกับมึงแน่นอน”
“กูก็ไม่มีวันปล่อยมึง...โอ้ย ! ” พูดยังไม่ทันจบหมัดน้อย ๆ ที่ทำทีเหมือนจะหยุดลงในตอนแรกก็พุ่งใส่จมูกของวายุเต็มแรงจนเลือดไหลลงมากบปาก ไม่ทันที่เขาจะอ้าปากสั่งลูกน้องให้จับตัว หญิงสาวก็ออกแรงวิ่งกลับไปที่บ้านเสียก่อน
“เมื่อไหร่ฉันจะหมดเวรหมดกรรมกับพวกบ้านี้เสียที !” ข้าวหอม สาวน้อยวัยสิบเก้าปี สบถอย่างหัวเสียเมื่อสามารถเอาตัวรอดจากพวกอันธพาลมาได้จนสำเร็จ
“มีเรื่องกับพวกวายุอีกแล้วเหรอข้าว” เสียงแหบแห้งของสอางค์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“ไม่มีอะไรหรอกจ่ะแม่ พวกมันก็ตามรังควานหนูเป็นปกติอยู่แล้ว” ว่าพลางหยิบผักในมือใส่กะละมังเพื่อนำไปล้างเตรียมทำกับข้าวไว้กิน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประหนึ่งว่าเรื่องของวายุนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตของเธอเลยสักนิด “วันนี้หนูซื้อผักมา เดี๋ยวจะแกงจืดให้แม่นะคะ”
“อือ” สอางค์ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ นึกเห็นใจลูกสาวที่ต้องลำบากตรากตรำทำงานอยู่คนเดียวตั้งแต่วันที่เธอล้มป่วยเป็นมะเร็งจนลุกลามไปทั่วส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถใช้งานได้เหมือนคนปกติ จากที่เคยแข็งแรงก็ซูบผอมลงจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ข้าวหอมจึงต้องทำหน้าที่ทำงานหาเงินมารักษา จนกระทั่งอาการเริ่มทรุดหนักลง เธอจึงต้องขอให้ลูกสาวพากลับมาใช้ชีวิตในบั้นปลายที่นี่และไม่ได้ไปหาหมอตามนัดอีกเลย
“เสร็จแล้วค่ะแม่” เสียงใสดังออกมาจากในครัวก่อนที่ข้าวหอมจะเดินกลับออกมาพร้อมกับไข่ต้มและแกงจืดเพื่อจะป้อนให้สอางค์เหมือนเช่นทุกครั้ง
“เหนื่อยไหมลูก”
“เหนื่อยอะไรกันล่ะแม่” หญิงสาวชะงักไปชั่วครู่เมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นแม่ก็เอ่ยถามขึ้นมา “เรื่องแค่นี้เอง หนูไม่เห็นจะเหนื่อยสักนิด”
“แม่ขอโทษนะที่ทำให้ข้าวต้องลำบาก”
“ไม่เอาสิแม่ ทำไมแม่พูดอย่างนั้น หนูมีแม่แค่คนเดียวทำไมหนูจะดูแลแม่ไม่ได้ล่ะคะ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มพลางตักข้าวป้อนให้อีกฝ่าย “รอเงินเดือนหนูออก เดี๋ยวหนูค่อยซื้อเนื้อไก่มาให้แม่ทานนะคะ”
“ไปอยู่กับน้าสิไหม” เจ้าของใบหน้าซีดเซียวถามต่อเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ข้าวหอมพูด
“ไม่ค่ะแม่ หนูจะอยู่ที่นี่กับแม่”
“แต่ข้าวก็รู้ ว่าอาการของแม่ตอนนี้มันแย่ลงทุกวัน ถ้าแม่ไม่อยู่อย่างน้อยแม่ก็จะได้ตายตาหลับถ้ารู้ว่าข้าวสบายดี” มือที่แห้งเหี่ยวลูบเรือนผมสีดำขลับของข้าวหอมเบา ๆ ด้วยความรัก “ไปอยู่กับน้าสิเถอะนะ ถือว่าเป็นคำสั่งเสียของแม่ก่อนตาย”
“แม่...แม่จะตายได้ไงคะ แม่แข็งแรงขนาดนี้” หญิงสาวพยายามกัดกลืนก้อนสะอื้นลงคอแม้จะรู้ดีว่าอาการของสอางค์จะเริ่มทรุดลงมากก็ตาม
“รับปากกับแม่ก่อนสิข้าว ถ้าแม่ไม่อยู่ ลูกต้องไปอยู่กับน้าสิ”
“ค่ะแม่ หนูสัญญา”
ใบหน้าหวานซุกอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของมารดา รับปากออกไปแบบส่ง ๆ เพราะอยากให้สอางค์สบายใจทั้งที่ความเป็นจริงเธอไม่อยากจะจากบ้านหลังนี้ไปเลยสักนิด
ข้าวหอมตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืดของอีกวันเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ ทำกับข้าวให้สอางค์ก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านของวาดจันทร์ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะ ทว่ายังไม่ทันจะได้ลงจากบ้าน ดวงตากลมโตก็หันไปปะทะเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาที่บ้านของเธอเสียก่อน
“กำนัน...” มือที่กำลังสวมรองเท้าผ้าใบคู่โปรดอยู่ตรงบันไดบ้านต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นผู้มาเยือน
“ข้ามาเยี่ยมแม่เอ็งน่ะ” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้ข้าวหอมต้องพาขึ้นไปบนบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แม่อยู่ข้างบนจ่ะ” หญิงสาวเหลือบมองวายุและสมุนที่ตามติดมาด้วยความไม่ชอบใจ เห็นแค่สีหน้าก็พอจะเดาออกว่าสาเหตุที่กำนันบุญมีมาถึงที่นี่คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ “แม่จ๊ะ กำนันมาหาจ่ะ”
มือเรียวเอื้อมไปสะกิดบอกร่างที่กำลังนอนหลับอยู่บนแคร่ไม้ เบา ๆ ก่อนที่สอางค์จะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“กำนันมีธุระอะไรหรือจ๊ะ ถึงได้มาหาฉันถึงที่นี่”
“เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ” อีกฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นสนทนาทันทีหลังจากที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคาบข่าวไปบอกเมื่อวาน “ข้าจะมาเตือนเอ็งเรื่องหนี้สินที่เคยกู้ไว้น่ะ ตอนนี้ทั้งดอกทั้งต้น มันบานปลายจนเกือบจะสองแสนแล้วนา”
“สองแสน ! แต่เงินที่แม่ยืมมามันแค่หกหมื่นเองนะพ่อกำนัน” ข้าวหอมประท้วง
“ก็มันมีดอก เอ็งไม่ส่ง ดอกมันก็ขึ้นสิวะ”
“มันไม่โหดไปหน่อยเหรอคะ”
“ระหว่างดอกเบี้ยกับมึง กูว่ามึงโหดกว่านะไอ้ข้าว ฮ่า ๆ ๆ ” วายุหัวเราะลั่นบ้านจนบิดาต้องรีบปรามไว้
“เงียบก่อนได้ไหม เดี๋ยวก็เสียเรื่องกันพอดี”
“เห็นทีชาตินี้ ฉันคงไม่มีปัญญาหาเงินมากมายขนาดนั้นมาคืนให้หรอกจ่ะ” สอางค์ก้มหน้าบอกออกไปตามตรง
“อันที่จริง ข้าก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำเสียขนาดนั้น ถ้าเอ็งจะไม่คืนข้าก็มีข้อเสนออื่น”
“ไม่นะพ่อกำนัน” ข้าวหอมรีบท้วงขึ้นเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “ฉันไม่มีทางแต่งงานกับไอ้วายุแน่ ดูสภาพมันสิ วัน ๆ ไม่ทำงานทำการ เอาแต่เที่ยวระรานคนอื่นไปทั่วแบบนี้ ใครจะเอาลง”
“ถึงกูไม่ทำงานแต่กูก็มีเงินใช้ไปทั้งชาติเลยนะเว้ย ! ” วายุรีบแก้ต่างให้ตัวเอง จริงอยู่ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่ได้เลวร้ายอะไร อายุก็ยังไล่เลี่ยกัน แต่ความไม่เอาไหนนั้นมันทำให้ข้าวหอมรับไม่ได้จริง ๆ
“ฝันไปเถอะ หัวเด็ดตีนขาดยังไง ฉันก็ไม่แต่งกับมันแน่”
“ใจเย็นก่อนสิไอ้ข้าว” กำนันบุญมีพยายามโน้มน้าว “เอ็งลองคิดดูสิ เงินตั้งสองแสน เอ็งจะไปหามาจากไหน ข้ายินดีจะยกหนี้ให้ แถมทองอีกสามบาทสี่บาทก็ยังได้ ถ้าเอ็งยอมแต่งงานกับลูกชายข้า”
“ไม่ ! ให้ฉันตายซะยังดีกว่าต้องแต่งงานกับขี้เหล้าอย่างมัน”
“นังข้าว ! ” กำนันฉุนจัดที่โดนหักหน้า จนเผลอตวาดกร้าวออกมา “อวดดีนักนะมึง”
“ฉันไม่ได้อวดดี ฉันแค่อยากปกป้องศักดิ์ศรีของฉันเท่านั้น ชีวิตเป็นของฉัน ฉันไม่ยอมให้ใครมาบงการหรอก”
“ศักดิ์ศรีงั้นเหรอวะ งั้นมึงก็นอนกอดศักดิ์ศรีมึงไปก็แล้วกัน สิ้นเดือนเมื่อไหร่ถ้ามึงไม่หาเงินมาคืนกู กูยึดบ้านมึงแน่”
“ไม่เอาอ่ะพ่อ ผมไม่อยากได้บ้านหลังนี้เสียหน่อย” วายุโอดครวญ พร้อมกับปรายตามองไปรอบบ้านที่กั้นกับฝาสานไม้ไผ่ สภาพพังแหล่ไม่พังแหล่ “ผมอยากได้ไอ้ข้าวอ่ะพ่อ ผมอยากได้ไอ้ข้าว ! ”
“วะไอ้นี่ ! มันหยามหน้ากูขนาดนี้มึงจะเอามันทำเมียอีกเหรอวะ” กำนันหันไปดุลูกชายที่ร้องโวยวายเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“ไม่รู้แหละพ่อ ถ้ามันไม่หาเงินมาคืนภายในสิ้นเดือนนี้ พ่อต้องจัดการขอมันให้ผม”
“ประสาท บอกแล้วไงว่ากูไม่มีวันแต่งงานกับมึงแน่” ข้าวหอมตอกย้ำ สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจวายุมากมายแค่ไหน
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ารู้ว่านังข้าวมันหวงบ้านหลังนี้แค่ไหน ถ้ามันไม่ยอมให้เรายึด เอ็งได้มันเป็นเมียสมใจแน่” กำนันหัวเราะอย่างพึงพอใจก่อนจะพากันกลับไปเพื่อเตรียมตัวรอรับชัยชนะ ถึงตอนนั้นข้าวหอมที่เริ่มมองไม่เห็นทางออกจึงทรุดกายนั่งลงบนแคร่ไม้เคียงข้างมารดาอย่างหมดเรี่ยวแรง
เพราะชีวิตอาภัพ กำพร้าพ่อตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก สมบัติชิ้นเดียวที่บิดาทิ้งไว้ก็เห็นจะมีแค่ที่ดินและบ้านหลังเก่า ๆ ที่อาศัยอยู่ แต่หลังจากที่ผู้เป็นแม่ฝืนร่างกายทำงานหาเงินส่งเสียให้เรียนจบแค่มัธยมปลาย หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือกจึงต้องจำใจหยุดการเรียนไว้เพื่อกลับมาอยู่บ้านดูแลแม่ ทำให้เงินเก็บเริ่มหดหายจนต้องเอาที่ไปจำนองไว้กับกำนันบุญมี เป็นสาเหตุที่ทำให้วายุคอยตามรังควานเธอตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ แค่คิดว่าจะต้องแต่งงานกับมันเธอก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียตอนนี้