ตอนที่4 เปลี่ยนไป

3056 คำ
เครื่องดื่มสีสวยถูกรินจากขวดใส่ในแก้วก่อนที่มือเรียวจะหยิบมันขึ้นกระดกดื่มครั้งเดียวจนหมด ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังวิวเมืองหลวงในยามราตรีเบื้องหน้าเหมือนคนกำลังใช้ความคิด ริมฝีปากสีแดงเพลิงเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อมือหนาของใครอีกคนเอื้อมมาจากทางด้านหลัง ลากไล้ไปตามไหล่เปล่าเปลือยก่อนจะจุมพิตลงบนแผ่นหลังเนียนแผ่วเบา “คิดอะไรอยู่เหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางขมเม้มใบหูเล็กของอีกฝ่ายเบา ๆ “เปล่าค่ะ” สิตาละสายตาจากวิวเบื้องหน้าหันมามอง ชาคริตนักธุรกิจหนุ่มตาน้ำข้าว ชู้รักที่สิตามักจะนัดเจอกันบ่อย ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่พริษฐ์ไม่สามารถมอบให้เธอได้ “ผมนึกว่าคุณกำลังคิดถึงเรื่องหย่าเสียอีก” “ใจเย็นก่อนสิคะ” หญิงสาววางแก้วในมือลงบนโต๊ะแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างสูงไว้ “ขอเวลาให้อีกนิดสิคะ ถ้าเกิดฉันหย่าตอนนี้สิก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิคะ” “แล้วมันอีกนานแค่ไหนล่ะ” ชาคริตตัดพ้อ เพราะเบื่อที่ต้องแอบกินกันในที่ลับแบบนี้เต็มที “ทำไมใจร้อนนักล่ะคะ” “คุณก็รู้ว่าอีกไม่กี่เดือนผมจะต้องกลับอเมริกาแล้ว ถ้าคุณยังยื้อเวลาไว้แบบนี้ ผมกลัวว่าคุณจะไม่หย่าเสียมากกว่า” “ฉันหย่าแน่นอนค่ะ แต่ถ้ามันเร็วปุบปับเกินไปเกิดภูมิเขาไม่ยอมยกบริษัทนั่นให้ฉันล่ะคะ” สิตาพยายามอธิบาย แผนที่คิดเอาไว้ตอนนี้คือทำให้พริษฐ์ยอมหย่าแล้วหารสินสมรสกันคนละครึ่งตามกฏหมาย แต่สิ่งที่สิตาอยากได้คือบริษัทย่อยที่เขาลงทุนเปิดให้กับเธอมากกว่าเพราะมันทำให้กำไรให้เธอปีหนึ่งหลายสิบล้าน จะปล่อยให้หลุดมือไปก็คงจะโง่เต็มที “แล้วคุณแน่ใจเหรอว่ามันจะยกให้จริง ๆ ” “เชื่อใจฉันสิคะ ฉันรับรองว่าภูมิต้องยอมแน่” หญิงสาวให้คำมั่นด้วยเสียงหนักแน่น “คุณจะทำยังไง” “ภูมิเขารักน้องพลอยมาก ถ้าเราวางแผนให้ภูมิเป็นฝ่ายทำผิดแล้วฉันค่อยฟ้องหย่า บางทีสิทธิ์การเลี้ยงดูน้องพลอยอาจเป็นของฉัน ถึงเวลานั้นฉันก็จะใช้น้องพลอยเป็นข้อต่อรองแลกกับบริษัทยังไงล่ะคะ” “คุณนี่ฉลาดที่สุดเลย” ชายหนุ่มออกปากชมในแผนการล้ำลึกของสิตาก่อนจะก้มลงจูบลงบนเนินอกที่โผล่พ้นออกมาจากเดรสสีหวานจนเป็นรอยแดง “ถ้าอย่างนั้น เรามาฉลองความสำเร็จล่วงหน้ากันดีไหม” “อ๊ะ ! ” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนากระชากชุดของเธอออกจนพ้นกายก่อนจะหยิบเชือกสีแดงออกมาจากลิ้นชัก เพียงแค่เห็นมัน ความปรารถนาที่จุกล้นอยู่ตรงอกก็แล่นไปกระจุกอยู่ตรงส่วนนั้นอย่างง่ายดาย “ชอบไหม” “ชอบสิคะ คุณนี่ช่างรู้ใจฉันที่สุดเลย” สิตาจูบกลับอย่างล้ำลึก สอดประสานลิ้นเล็ก ตวัดแกว่งหยอกเย้ากับลิ้นหนา ก่อนที่ร่างงามจะถูกอุ้มไปยังที่นอนกว้างเพื่อสานต่อกิจกรรมรักที่ยังค้างเต่อ ชาคริตยืนขึ้นเต็มความสูง จัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองจนเหลือเพียงแค่ร่างเปล่าเปลือยจากนั้นจึงคลานขึ้นเตียงนำเชือกในมือไปผูกข้อมือเรียวของสิตาเอาไว้กับหัวเตียงก่อนจะจัดการชั้นในออกเผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มและร่องรักลางกลายที่พร้อมให้เขาได้เชยชม “ช่วยฉันหน่อยเถอะค่ะ ซี๊ด...ฉันไม่ไหวแล้ว” หญิงสาวเว้าวอนพลางอ้าเรียวขาออกเพื่อเชื้อเชิญ เพี๊ยะ ! ฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบนใบหน้าสวยเต็มแรงจนมีเลือดแตกซิบออกมาก่อนที่เขาจะคร่อมร่างงามเอาไว้บีบแก้มเนียนนั้นเต็มแรงเพื่อจูบลงบนริมฝีปากบางอีกครั้ง สร้างความหฤหรรษ์ให้คนใต้ร่างไม่น้อย ความรุนแรงแบบนี้แหละที่พริษฐ์ไม่สามารถทำให้เธอได้ “อา...ชอบไหมสิ ชอบหรือเปล่า” “ชอบสิคะ อูย...ฉันเสียวไม่ไหวแล้วค่ะ” “ใจเย็นก่อนที่รัก ผมมีเซอไพรส์ให้คุณด้วย” คนบนร่างกระซิบบอกเสียงแหบพร่าก่อนจะผละไปหยิบบางอย่างจากลิ้นชักตรงหัวเตียงออกมาทำให้สิตาถึงกับหน้าแดงก่ำ “อะไรเหรอคะ” “ผมก็จะให้ความสุขกับคุณทั้งสองทางไงล่ะที่รัก” พูดจบเขาก็วางของเล่นผู้ใหญ่ขนาดเขื่องลงบนเตียงแล้วก้มลงงามงับเต้างาม บีบขย้ำมันจนแดงเถือกพร้อมกัดลงเบา ๆ จากนั้นจึงลากลิ้นหนาลงมาหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางของร่างบาง จับขาเรียวแยกออกจากกันเพื่อส่งลิ้นหนาเลาะเล็มตวัดหยอกเย้ากับกลีบกุหลาบงามจนหยาดน้ำหวานหยาดเยิ้มออกมา “อา...อืม...” คนใต้ร่างครางกระเส่า ยกมือขึ้นจิกเรือนผมสีทองของอีกฝ่ายเต็มแรงก่อนที่เขาจะผละออกแล้วหยิบของเล่นส่งไปที่ริมฝีปากบางเพื่อให้สิตางามงับดูดมันจนเหนียวหนืดเปียกชุ่ม ชายหนุ่มจึงใช้มันดึงดันเข้าไปในช่องทางรักของหญิงสาวครั้งเดียวจนสุดทาง รู้สึกคับแน่นเพราะขนาดที่แตกต่างจากของคน “เป็นไงที่รัก เสียวไหม” “สุดยอดไปเลยค่ะ อา...ช่วยแรงอีกนิดได้ไหมคะ” หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมองภาพที่ชาคริตกำลังหยอกเย้าตรงส่วนนั้นด้วยของเล่นขนาดใหญ่ยักษ์จนกลีบกุหลาบงามมันผลุบเข้าออกตามแรง “ได้สิ ได้อยู่แล้ว...” “อ๊ะ ! ” สิตาสะดุ้งนิด ๆ เมื่ออยู่ ๆ เขาก็ถอดของเล่นออกไปแล้วจับลำกายแกร่งดึงดันเข้าไปแทนแล้วกระแทกหนักหน่วงอยู่สองสามครั้งก่อนจะถอดถอนออกมา คิดไม่ถึงว่าวินาทีนั้นชายหนุ่มจะจับมันเข้าไปยังช่องทางรักด้านหลัง ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ลองทำแบบนี้แต่ก็ปฏิเสธไม่ลงว่ามันเจ็บแปลบจนรู้สึกจุก “อ๊ะ...ซี๊ด...สุดยอดเลยค่ะที่รัก อ๊าย...” หญิงสาวร้องลั่นไม่เป็นภาษาเมื่อมือหนาใช้ของเล่นที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำหวาน จัดการกระแทกมันเข้าไปในกุหลาบแดงฉ่ำจนตอนนี้ร่องรักของเธอมีทั้งของจริงและของเล่นตอกอัดอยู่ในนั้น รู้สึกเสียวกระสันจนร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ “อูย...เสียว...เสียวมากเลยค่ะ อ๊ะ...แรงอีกนิดสิคะ” ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อชู้รักส่งเสียงเว้าวอนเขาจึงกระแทกส่งตัวเองและของเล่นในมือเข้าไปพร้อม ๆ กันก่อนจะก้มลงบีบลำคอขาวระหงทำให้สิตาถึงกับตาเหลือกลานแต่ก็ยังพอใจกับความรุนแรงแบบที่ไม่เคยได้สัมผัส “ชอบไหม จะเอาแรงอีกนิดหรือเปล่า” “เอาอีกค่ะ...ซี๊ด...เอาอีก” สิตาหลับตาพริ้มเมื่อหนาละจากลำคอแล้วลากไปที่เนินอกคู่งาม เขาบีบขยำมันเล่นอย่างสนุกมือในขณะที่ยังกระแทกกระทั้นช่องทางรักทั้งสองทางอย่างเมามันจนสองเต้ากระเพื่อมไหวไปตามจังหวะ ยิ่งสร้างความรัญจวนให้กับคนใต้ร่างจนต้องแอ่นสะโพกรับอย่างล้ำลึก เพียงไม่นานชาคริตก็ถอดถอนแกนกายออกมาแล้วจับมันเข้าปากเล็กเพื่อให้สิตาดูดกลืนสายธารแห่งรักเข้าปากไปทุกหยาดหยด “อีกรอบนะที่รัก” “พอก่อนค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว” ว่าพลางออกแรงผลักร่างสูงออกไปแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะยังไม่ยอม “จะรีบไปไหนล่ะครับ” “นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะคะ ฉันกลับดึกขนาดนี้ ถ้าภูมิเขาเกิดสงสัยขึ้นมา แผนที่เราวางไว้อาจจะพังลงก็ได้นะคะ” สิตาให้เหตุผลพลางจับมือหนาไว้แน่นเพื่อหวังให้เขาเข้าใจ “อดทนรออีกนิดนะคะ ตอนนี้สิยังคิดไม่ออกว่าจะแย่งน้องพลอยมาเป็นข้อต่อรองยังไง แต่รับรองว่าอีกไม่นาน เราต้องได้อยู่ด้วยกันแน่นอนค่ะ” “ก็ได้ งั้นคุณรีบกลับเถอะ” “ขอบคุณนะคะที่เข้าใจ” สิตาจุมพิตบอกลาอีกครั้งก่อนจะรีบลงจากคอนโดขับรถมุ่งหน้ากลับที่บ้านทันทีก่อนจะพบว่าไฟบางส่วนในบ้านมันถูกดับไปแล้ว หญิงสาวจึงย่องเข้าไป ทำทุกอย่างให้เบาที่สุดเพื่อที่พริษฐ์จะได้ไม่ตื่นขึ้นมาแต่เธอกลับคิดผิด “หายไปไหนมาทั้งวัน” “คุณ...” คนที่กำลังย่องขึ้นบันไดชั้นสองต้องหยุดชะงักลงเมื่อหันไปเห็นสามีกำลังนั่งกอดอกอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก “ผมถามว่าคุณหายไปไหนมา” พริษฐ์ย่างสามขุมเข้ามาหา ใบหน้าที่ดุเอาเรื่องทำให้สิตาต้องรีบถอยกรูด “งานที่บริษัทยุ่งน่ะ” “งั้นเหรอ...แล้วทำไมโทรไปถึงไม่รับ รู้หรือเปล่าว่าน้องพลอยถามหาทั้งวัน” “ก็ฉันส่งข้อความมาบอกคุณแล้วไง ทำไมคุณไม่บอกน้องพลอยเองล่ะ” พูดจบหญิงสาวก็กระแทกเท้าเดินขึ้นห้องแต่กลับถูกสามีรั้งข้อมือเล็กเอาไว้ “นี่รอยอะไร” เขาเอ่ยถามพลางชี้ไปที่รอยแดงตรงข้อมือก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นอีกแผลตรงมุมปาก “นั่นด้วย ไปมีเรื่องกับใครมา” “ไม่มีอะไร” “บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะสิ” “ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” สิตาตวาดกร้าว จนคนที่ยังไม่ชินกับเหตุการณ์ต้องแง้มประตูออกมาดูด้วยความอยากรู้ “สองคนนั้นยังทะเลาะกันอีกเหรอเนี่ย” ข้าวหอมพึมพำเมื่อเห็น พริษฐ์กำลังกระชากลากถูสิตาขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่กำลังนอนหลับสบายบนเตียงของเธอ “เห้อ ! สงสารน้องพลอยจัง” หญิงสาวรีบปิดประตูแล้วเดินไปทิ้งตัวนอนลงเคียงข้างพลอยใสที่อ้อนวอนขอผู้เป็นพ่อลงมานอนกับเธอตั้งแต่หัวค่ำ เงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอกอีกครั้งจนมันเงียบหายไปเมื่อพริษฐ์ลากสิตาขึ้นไปคุยบนห้องเพราะไม่อยากให้น้องพลอยที่นอนในห้องชั้นล่างได้ยิน “บอกความจริงผมมาเดี๋ยวนี้นะสิ ว่าวันนี้คุณหายไปไหนมา แล้วไอ้รอยบ้านี้มันมาจากไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้งในขณะที่ยังสำรวจไปรอบร่างกายของสิตา ทำให้หญิงสาวต้องรีบยกมือขึ้นปิดไว้ ถ้าเขาเห็นร่องรอยที่เนินอกขึ้นมามีหวังความแตกแน่ ๆ “คุณสนใจด้วยเหรอว่าฉันจะเป็นยังไง วัน ๆ คุณก็ทำแต่งาน สนใจแต่เรื่องน้องพลอย ไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของฉันเลยสักนิด” เมื่อเห็นท่าไม่ดี หญิงสาวจึงต้องบีบน้ำตาเพื่อให้อีกฝ่ายใจอ่อน ด้วยรู้ว่าสามีนั้นพ่ายแพ้ต่อน้ำตาจนในที่สุดเขาก็ยอมอ่อนเสียงลง “ทำไมผมจะไม่สนใจคุณล่ะสิ แต่ที่ผมทำไปก็เพื่อครอบครัวของเรานะ” “แล้วทำไมคุณถึงให้ความสุขกับฉันไม่ได้ล่ะคะ คุณรู้ดีว่าฉันต้องการแบบไหน ทำไมคุณถึงให้ฉันไม่ได้” ว่าพลางจับมือหนาขึ้นมาแนบใบหน้า “อย่าบอกนะว่าคุณทำร้ายตัวเองอีกแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยถามเพราะรู้ดีว่าภรรยาเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง เมื่อไม่ได้ดั่งใจหรือทะเลาะกัน สิตาก็มักจะตบตีตัวเองอยู่บ่อยครั้ง “ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอกค่ะ ฉันจะทำอะไรคุณก็ไม่เคยมองเห็นอยู่แล้ว” “ใจเย็นก่อนสิ ผมว่าอาการของคุณมันรักษาได้นะ เราไปหาหมอกันดีไหม” พริษฐ์พยายามปลอบใจ เพราะเขาเองก็ทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมือนกัน “ถ้าคุณอาย เราไปหาหมอเก่ง ๆ ที่ต่างประเทศก็ได้” “ไม่ ! ฉันบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ได้ป่วย ฉันไม่ได้ป่วยเข้าใจไหม” สิตาตวาดกร้าวก่อนจะผลักสามีออกไปแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ พริษฐ์จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ รอจนกว่าหญิงสาวกลับออกมาอีกครั้ง เขาจึงแกล้งนอนหลับด้วยการปิดตาลง เมื่อแน่ใจว่าสิตาหลับไปแล้ว มือหนาจึงค่อย ๆ ปลดกระดุมชุดนอนของเธอออกอย่างเบามือก่อนจะพบกับรอยแดงที่ฉาบอยู่เต็มหน้าอก ถึงตอนนั้นชายหนุ่มก็ถึงกลับพูดอะไรไม่ออก ที่ผ่านมาเขามักจะพบกับร่องรอยพวกนี้นอกร่มผ้าอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เอะใจเพราะคิดว่าสิตาคงจะทำร้ายร่างกายตัวเองเหมือนทุกครั้ง แต่ใครจะคิดว่าสิ่งที่เขาหวาดระแวงมาตลอดมันจะเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ “สิ...ทำไม” พริษฐ์เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงก่อนจะค่อย ๆ ขยับลุกจากเตียง ลงไปยังชั้นล่างเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ใครจะคิดว่าในตอนที่เขากำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้น สายตากลับหันไปเห็นใครบางคนกำลัง ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในครัวท่าทางมีพิรุธ “เบา ๆ สิคะเดี๋ยวคุณพ่อก็ได้ยินหรอก” เสียงข้าวหอมดังลอดออกมา พร้อมกับพลอยใสที่กำลังก้มหน้าทำอะไรบางอย่าง ยิ่งทำให้เขาลืมความกลัดกลุ้มใจไปชั่วครู่ก่อนจะเข้าไปถามด้วยความอยากรู้ “ทำอะไรกันน่ะ” “คุณพ่อ ! ” พลอยใสสะดุ้งโหยงรีบหยิบของบางอย่างไปซ่อนไว้ข้างหลังพอดี “พ่อถามว่าทำอะไรกัน ทำไมดึกป่านนี้แล้วถึงยังไม่นอน” “เอ่อ...คือ...” พลอยใสเลิ่กลั่ก หันไปมองหน้าข้าวหอมเพื่อจะขอความช่วยเหลือ “น้องพลอยหิวน่ะค่ะ หนูก็เลยชวนน้องพลอยออกมาหาอะไรกิน” “แล้วกินอะไรกัน” “บะหมี่...ค่ะคุณพ่อ” พลอยใสก้มหน้าเหมือนคนยอมรับผิด “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” “แล้วทำไมต้องแอบด้วย” “คือ...หนูกลัวว่าน้าภูมิจะดุน้องพลอยน่ะค่ะ เลยแอบไว้” ข้าวหอมสารภาพพลางหยิบถุงบะหมี่ออกมาจากหลังพลอยใสส่งให้พริษฐ์ดู “นี่ค่ะ” “ทำไมพ่อต้องดุด้วยล่ะคะ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาพลางทรุดกายนั่งลงตรงหน้าลูกสาว “น้องพลอยไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย” “ถ้างั้นคุณพ่อมากินด้วยสิคะ พี่ข้าวต้มไว้ตั้งสามห่อแหน่ะ” หนูน้อยเชื้อเชิญ “ไหน ๆ น้องพลอยกินแล้ว หนูก็เลยจะกินด้วยน่ะค่ะ” ข้าวหอมก้มหน้างุด รีบยกมือจับท้องตัวเองไว้เมื่อมันร้องโครกครากพอดิบพอดี “เอาสิ งั้นต้มให้ฉันด้วยละกัน” “ได้เลยค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะหันไปปรุงบะหมี่ต่อ เพียงไม่นานบะหมี่สามถ้วยก็เสร็จเรียบร้อย “ยกไปวางที่โต๊ะให้หน่อยละกันนะ” “ไม่ได้ค่ะคุณพ่อ” พลอยใสแย้งพลางทรุดกายนั่งขัดสมาธิบนพื้นเย็นเฉียบในครัว “พี่ข้าวบอกว่าถ้าจะกินบะหมี่ต้องกินแบบนี้มันถึงจะเข้าถึงรสชาติ” “เอ่อ...” คนถูกกล่าวหาชะงักกึก “หนูก็แค่...” “งั้นเอาสิ นั่งตรงนี้ก็ได้” ยังไม่ทันที่ข้าวหอมจะอธิบายจบ ร่างสูงก็ทรุดกายนั่งลงเคียงข้างลูกสาว “ยกมาสิ” “เอ่อ...ได้ค่ะ” หญิงสาวงุนงงกับท่าทีของเขาแต่ก็ยอมนำถ้วยมาวางไว้ให้บนพื้น เมื่อเห็นพลอยใสเริ่มกินด้วยความหิวเขาจึงลองใช้ตะเกียบคีบเส้นขึ้นมาทานบ้าง “อร่อยใช้ได้เลยนะเนี่ย ไม่ได้กินตั้งนานแล้วด้วย” “ถ้าให้อร่อยกว่านี้ต้องกินในถ้วยใหญ่ ถ้วยเดียวแล้วแย่งกันคีบเส้นค่ะ รับรองอร่อยเลิศ” ข้าวหอมยิ้มตอบแก้มยุ้ย ใบหน้าไร้เดียงสาไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่งแต้ม ผมสีดำขลับถูกมัดดังโงะไว้บนศีรษะ เสน่ห์ที่ไม่ต้องเติมแต่งนั้น มันทำให้พริษฐ์ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบส่ายหน้าไล่ความคิดอกุศลนั้นออกไป “งั้นเอาไว้วันหลังเรามาทำกินกันอีกทีเอาไหม” “ดีเลยค่ะ คุณพ่อ” พลอยใสตอบพลางยกถ้วยขึ้นซดน้ำร้อน ๆ เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะหันไปชิมบะหมี่ในถ้วยของข้าวหอมต่อ “ของพี่ข้าวเผ็ดไปนะคะ แต่ก็ยังอร่อยอยู่” “ไม่อยากชิมของพ่อบ้างเหรอ” “ชิมสิคะ” เด็กน้อยตอบพลางคีบลูกชิ้นที่เติมเข้าไปขึ้นมาแล้วป้อนให้ผู้เป็นพ่อกัดไปครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งกลับหันไปป้อนให้ข้าวหอมแทน “อร่อยไหมคะพี่ข้าว” “เอ่อ...อร่อยค่ะ” หญิงสาวยิ้มตอบ พลางหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดปากให้พลอยใสอย่างเบามือ การกระทำที่แสนอ่อนโยนนั้นมันทำให้พริษฐ์อดคิดไม่ได้ว่าพลอยใสไม่เคยได้รับจากสิตา ไม่คิดว่าลูกสาวจะสนิทกับข้าวหอมได้เร็วถึงขนาดนี้ “น้องพลอยอย่ากินเลอะสิคะ เดี๋ยวมันจะร้อนแสบปากรู้ไหม” “ค่ะ พี่ข้าว” พลอยใสว่าพลางชี้ไปที่ใบหน้าของพริษฐ์ “เช็ดให้คุณพ่อด้วยสิคะ คุณพ่อก็กินเลอะ ” พูดจบมือน้อย ๆ ก็จับมือเรียวของข้าวหอมแล้วยื่นมันไปที่ปากของพริษฐ์ทันที ทำให้หญิงสาวต้องยอมเช็ดปากให้คนตรงหน้าอย่างไม่มีทางเลือก จนชายหนุ่มต้องรีบเบือนหน้าหนีแล้วแย่งทิชชู่ในมือมาเช็ดเอง “เอาอีกห่อได้ไหม ฉันจะเริ่มจะติดใจแล้วล่ะ” เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยการยื่นถ้วยเปล่าให้ข้าวหอม ไหน ๆ ก็ตั้งใจจะลงมาดื่มย้อมใจแล้ว งั้นก็เปลี่ยนมาซดบะหมี่แทนก็คงจะไม่เสียหายอะไร
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม