หลังจากที่กำนันบุญมีกับลูกชายหายหลังกลับบ้านไป สอางค์ก็ถึงกลับหายใจหายคอไม่สะดวก รู้สึกเหมือนจะเป็นลมจนข้าวหอมต้องเร่งปฐมพยาบาล หายาหอม ยาหม่องมานวดคลึงผ่อนคลายให้
“เป็นยังไงบ้างคะแม่” หญิงสาวเอ่ยถามพลางถือยาดมอังที่จมูกของผู้เป็นแม่
“ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ”
“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ เดี๋ยวข้าวจะลองไปคุยกับน้าวาดดู” ข้าวหอมพยายามปลอบใจเพราะรู้ดีว่าสอางค์คงคิดมากจนความดันขึ้น “น้าวาดอาจให้เราหยิบยืมเงินได้”
“ไม่ต้องหรอกข้าว...ต่อให้เราหาเงินไปใช้หนี้กำนัน ไอ้วายุก็คงไม่ปล่อยข้าวไป ถ้ายิ่งไม่มีแม่อยู่ มันต้องมาทำร้ายข้าวอีกแน่”
“แม่ก็รู้ว่าหนูไม่มีทางยอมพวกมัน” หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่นเพื่อให้สอางค์สบายใจ
“แต่ถ้าแม่ไม่อยู่ ข้าวตัวคนเดียวจะเอาตัวรอดจากพวกมันได้ไง”
“ใครบอกว่าหนูตัวคนเดียว...”
“ข้าว หัดยอมรับความจริงเสียบ้างสิ” ผู้เป็นแม่แย้งขึ้นทั้งที่ข้าวหอมยังพูดไม่ทันจบ “แม่รู้ตัวว่าอาการแม่ตอนนี้คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
“แม่...”
“ข้าวต้องสัญญานะว่าข้าวจะไปอยู่กับน้าสิ” สอางค์จับมือเรียวไว้แน่นเหมือนบีบบังคับให้ลูกสาวรับปาก
“แล้วบ้านหลังนี้ล่ะคะแม่ บ้านหลังนี้แม่บอกเองไม่ใช่เหรอจ๊ะว่าเป็นเรือนหอที่พ่อตั้งใจสร้างไว้ เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ แม่จะให้ข้าวทิ้งแม่ทิ้งบ้านไปเหรอจ๊ะ”
“ยังไงซะ บ้านหลังนี้ก็ต้องถูกกำนันยึดไปอยู่แล้ว ต่อให้เรามีเงินไปไถ่คืน แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างกำนันก็คงไม่ยอม แม่ตายตาไม่หลับแน่ถ้ารู้ว่าข้าวไม่มีความสุข” มือผ่ายผอมลูบศีรษะเล็กด้วยความรัก เผลอปล่อยน้ำตาให้มันร่วงเผาะลงต่อหน้าลูก
“ไม่นะแม่ หนูไม่ยอมให้แม่ไปไหนแน่ แม่ต้องอยู่กับหนูสิแม่”
“สัญญากับแม่ ว่าข้าวจะไปอยู่กับน้าสิ รับปากแม่” สอางค์คาดคั้นทำให้ข้าวหอมต้องตกปากรับคำอีกครั้งเพราะไม่อยากให้มารดาคิดมาก
“ค่ะแม่ หนูสัญญา”
“ต้องอย่างนี้สิ” คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาทั้งน้ำตา “สายมากแล้ว ข้าวรีบไปทำงานเถอะ”
“จ่ะแม่ เลิกงานแล้วข้าวจะรีบกลับมานะจ๊ะ” หญิงสาวหอมแก้มมารดาอีกครั้งก่อนจะขอตัวไปทำงานที่ร้านของวาดจันทร์ เมื่อลับร่างของลูกสาว สอางค์จึงหันไปหยิบมือถือปุ่มกดของตัวเองออกมาพร้อมกับกดเบอร์ที่ไม่เคยคิดจะโทรหาเลยสักครั้งตั้งแต่ได้มา
(บริษัท ทีพีเอสเตททู สวัสดีค่ะ) เสียงพนักงานปลายสายตอบรับกลับมา
“สวัสดีจ่ะ”
(ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ)
“ฉันอยากคุยกับคุณสิตาหน่อยน่ะจ่ะ บอกว่าฉันชื่อสอางค์ติดต่อมาจากเกาะฟ้าคราม” คนสูงวัยเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า ใบหน้าเหยแกเพราะรู้สึกจุกแน่นตรงหน้าอก แต่ก็ยังรอให้อีกฝ่ายตอบกลับมา
(ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ)
เสียงพนักงานตอบมาก่อนที่สายจะเงียบไปครู่ใหญ่ เพียงไม่นานมันก็ถูกโอนต่อไปยังห้องของสิตา น้องสาวต่างมารดาที่ห่างหายกันไปนานนับสิบปี
(สวัสดีค่ะ สิตาพูดค่ะ)
“สิตา ใช่สิตาจริง ๆ ด้วย” สอางค์คลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง แต่อีกฝ่ายกลับงุนงงเพราะจำเสียงไม่ได้
(ใครคะ)
“พี่เอง สอางค์ไง พี่โทรมาจากเกาะฟ้าคราม” คนสูงวัยรีบแนะนำตัว เข้าใจว่าเวลาของสิตาเป็นเงินเป็นทองจึงไม่อยากจะอ้อมค้อม
(พี่สอางค์เหรอ นึกอะไรถึงติดต่อมาได้ล่ะ วันก่อนตอนฉันไปหา พี่ยังบอกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลืออยู่เลย)
“สิช่วยมารับหลานไปอยู่ด้วยหน่อยได้ไหม” สอางค์เริ่มเข้าประเด็นสนทนา
(หลาน ข้าวหอมน่ะเหรอ ป่านนี้คงจะโตเป็นสาวแล้วสิ)
“นั่นแหละ ยิ่งมันโต พี่ก็ยิ่งไม่สบายใจ ตอนนี้พวกมีอิทธิพลบนเกาะก็จ้องจะจับมันทำเมีย พี่กลัวว่าถ้าพี่ไม่อยู่ ข้าวมันจะ...”
(แล้วพี่จะไปไหนล่ะ) สิตารีบสวนกลับทันควัน
“ตอนนี้อาการพี่เริ่มแย่ลงทุกวัน พี่เลยอยากขอร้องให้สิรีบมารับข้าวมันหน่อย ไม่ต้องห่วงพี่หรอก”
(ได้สิ) อีกฝ่ายรับปากในทันที ถึงจะเกิดมาคนละแม่ แต่ยังไงพี่น้องก็ย่อมช่วยเหลือกันอยู่แล้ว
“ขอบใจมากนะ ที่ไม่ลืมพี่”
(ฉันไม่ลืมหรอก แต่ตอนนี้งานฉันยุ่งมากเอาไว้ฉันเคลียร์งานเสร็จ อีกสองสามวันฉันจะรีบไปรับละกัน)
“...” ไม่มีเสียงใด ดังลอดออกมาจากต้นสาย ทำให้สิตาต้องเอ่ยเรียกอีกครั้ง
(พี่สอางค์ พี่ได้ยินฉันไหม พี่...)
“คุณแม่” เสียงใสที่แสนคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกปิดลงทำให้สิตาหันไปมองครู่หนึ่งก่อนจะพบกับ ภูมิ หรือพริษฐ์ ผู้เป็นสามีที่เดินเข้ามาพร้อมกับพลอยใส ลูกสาววัยหกขวบ
“น้องพลอย กลับมาจากโรงเรียนแล้วเหรอคะ”
“คิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ” เด็กน้อยวิ่งโผเข้ากอดมารดาด้วยความรัก ทำให้สิตาต้องวางโทรศัพท์ลงเพราะถึงยังไงก็ตอบรับพี่สาวไปแล้ว “ทำไมวันนี้คุณแม่ไม่ไปรับน้องพลอยกับคุณพ่อล่ะคะ”
“วันนี้แม่งานยุ่งทั้งวันเลยจ่ะ เอาไว้แม่ค่อยแก้ตัววันหลังนะ” สิตาตอบลูกสาวก่อนจะหันไปหาสามีที่โน้มตัวลงมาหอมแก้มเธอเสียฟอดใหญ่
“ใครโทรมาเหรอ ทำไมสีหน้าคุณดูเครียดจัง”
“คุณจำพี่สาวต่างแม่ของฉันได้ไหมคะ ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังตอนที่เราคบกันใหม่ ๆ แล้วไปเที่ยวที่เกาะฟ้าครามจนบังเอิญเจอพี่สอางค์ที่นั่นเมื่อสิบปีก่อน”
“ตั้งสิบปีที่แล้ว ผมจำไม่ได้หรอก” พริษฐ์ยิ้มตอบ
“นั่นแหละค่ะ พี่สอางค์โทรมา บอกให้ฉันไปรับหลานมาอยู่ด้วย” สิตาเม้มปากแน่นเพราะกลัวว่าสามีจะไม่อนุญาต
“ทำไมล่ะ”
“เห็นว่ามีเรื่องกับเจ้าถิ่นน่ะค่ะ ยิ่งตอนนี้โตเป็นสาวแล้วด้วย พี่สอางค์กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีมั้งคะ” หญิงสาวมีสีหน้าคิดหนัก แม้จะรับปากไปแล้วแต่เธอก็ต้องขออนุญาตจากพริษฐ์อยู่ดี เพราะบ้านที่อาศัยอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นบ้านของเขาทั้งสิ้น
“ก็ดีเหมือนกันนะ หลานคุณเป็นผู้หญิง จะได้มาเป็นพี่เลี้ยงน้องพลอยด้วย”
“พี่เลี้ยงเหรอคะคุณพ่อ” พลอยใสที่นั่งฟังอยู่บนตักผู้เป็นแม่เอ่ยถาม
“ใช่ครับ น้องพลอยอยากมีพี่ไหม”
“อยากสิคะ คุณพ่อจะพาพี่มาอยู่กับน้องพลอยจริง ๆ เหรอคะ” ดวงตากลมโตเปล่งประกายขึ้นมาทันที เพราะพ่อกับแม่มักง่วนอยู่แต่กับงานจนไม่มีเวลาให้เธอเสียเท่าไหร่ การมีสมาชิกใหม่มาอยู่ด้วย คงจะพอคลายเหงาได้บ้าง
“จริงสิคะ” สิตาเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น “เอาไว้แม่เคลียร์งานเสร็จ แม่ค่อยไปรับพี่เขามาอยู่กับน้องพลอยนะ”
“เย้ ! น้องพลอยดีใจที่สุดเลยค่ะ” เด็กน้อยส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ถ้างั้น ผมไปส่งน้องพลอยก่อนนะ เดี๋ยวจะกลับมาประชุมต่อตอนสี่โมงเย็น คุณช่วยเตรียมเอกสารให้ผมหน่อยก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ” สิตารับคำก่อนที่สามีจะจูงมือลูกสาวออกจากห้องไป รอยยิ้มกว้างก็แปรเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเมื่อหันไปสนใจกับตัวเลขที่เธอกำลังคำนวนอยู่บนหน้าจอ
“ทำยังไงดีเนี่ย” คิ้วคู่งามขมวดเข้าหากัน ในขณะที่ลองคำนวนตัวเลขที่เป็นรายได้ของบริษัทให้มันลงตัวมากที่สุดเพื่อจะเตรียมเข้าประชุมในตอนเย็น จะให้พริษฐ์รู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเงินของบริษัทถูกภรรยาอย่างเธอแอบยักยอกไปเพื่อส่งให้ผู้ชายอีกคน
“แบบนี้น่าจะโอเคที่สุดแล้ว” มือเรียวกำเข้าหากันแน่นหลังจากที่จดจ่ออยู่ตรงหน้าจออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุด ผลลัพธิ์มันก็เป็นไปตามที่เธอต้องการ
“อ่ะนี่ น้าเองก็มีแค่นี้แหละนะ” วาดจันทร์เอ่ยขึ้นพลางส่ง เงินสดจำนวนสองหมื่นให้ข้าวหอม “คงจะพอช่วยได้บ้างเล็กน้อย”
“แค่นี้มันก็มากพอแล้วล่ะจ่ะ” หญิงสาวรีบนำเงินที่หยิบยืมมาจากนายจ้างล่วงหน้าอย่างวาดจันทร์มาเก็บไว้ในกระเป๋า “ขอบใจน้าวาดมากนะคะ”
“อืม ยังไงก็ขอให้ไกล่เกลี่ยกับกำนันเขาให้สำเร็จละกันนะ”
“จ่ะ งั้นหนูขอตัวก่อนนะจ๊ะ” ข้าวหอมกระพุ่มมือไหว้เพื่อรีบกลับบ้านไปหาสอางค์ ตั้งใจจะพาแม่ไปหากำนันบุญมีด้วยกันเพื่อไกล่เกลี่ยหนี้สิน
“แม่จ๊ะ หนูกลับมาแล้วค่ะ” เสียงใสเอ่ยเรียกมารดาทันทีที่กลับมาถึงหน้าบ้านก่อนจะพบว่าสอางค์กำลังนอนหลับอยู่บนแคร่ไม้ ในมือยังจับโทรศัพท์ของตัวเองไว้ “แม่ น้าวาดให้หนูเบิกเงินเดือนล่วงหน้ามาแล้วนะจ๊ะ ข้าวว่าจะชวนแม่ไปหากำนันด้วยกัน”
“...” ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบรับกลับมา ข้าวหอมจึงเดินเข้าไปทรุดกายนั่งลงเคียงข้างแล้วสะกิดเรียกอีกครั้งเข้าใจว่าผู้เป็นแม่คงจะเพลียเลยหลับสนิท
“แม่คะ แม่...”
“...” เป็นอีกครั้งที่สอางค์ไม่ตอบ ข้าวหอมจึงต้องเก็บเงินไว้แล้วหันไปดึงผ้าห่มมาคลุมให้แม่ ก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าออกมาจากมือ
“โทรหาใครเหรอจ๊ะ ทำไมกำซะแน่น...” เสียงนั้นเงียบหายไปเมื่อมือเรียวสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ปลายนิ้วของมารดาที่มันแผ่ซ่านเข้าไปถึงขั้วหัวใจ “มะ...แม่...”
หญิงสาวตัวชาหนึบ ภาวนาขออย่าให้เป็นแบบที่เธอคิด พยายามตั้งสติ ยกมือขึ้นแล้วเลื่อนไปอังที่ปลายจมูกเพื่อรอให้สอางค์หายใจออกมาแต่กลับพบว่าลมมันไม่ถูกส่งออกมาเลยแม้แต่น้อย
“แม่...ไม่จริง แม่...แม่ได้ยินหนูไหม แม่ ! ” ข้าวหอมร้องลั่นออกมาทันทีที่รู้ว่าผู้เป็นแม่ได้จากเธอไปแล้ว “แม่ ตื่นขึ้นมาสิแม่ แม่ทิ้งหนูไปแบบนี้แล้วหนูจะอยู่กับใครล่ะแม่ ฮือ...”
หญิงสาวร้องไห้โฮเหมือนจะขาดใจตายตามไปด้วยอีกคน สวมกอดร่างไร้วิญญาณของสอางค์ไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่สามารถดูแลรักษาผู้เป็นแม่ให้หายได้
“ฮือ...แม่จ๋า แม่อย่าทิ้งหนูไป แม่...”
เสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังลั่นออกมาจากบ้านไม้เก่า ๆ ทำให้เพื่อนบ้านที่ได้ยินต่างวิ่งกันมาดูก่อนจะพบกับภาพที่อันน่าสมเพชเมื่อเห็นว่าข้าวหอมกำลังกอดร่างมารดาไว้แนบกายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจนตาทั้งสองข้างแดงก่ำ
“นังข้าวเอ้ย ! แม่เอ็งไปสบายแล้วนะ” ชาวบ้านต่างพากันปลอบใจเพราะรู้สึกรักและเมตตาข้าวหอมเหมือนลูกเหมือนหลาน ก่อนจะช่วยกันพาร่างของสอางค์ขึ้นไปทำพิธีที่วัดบนฝั่งโดยมีหญิงสาวตามติดไปด้วย แม้จะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เธอก็ต้องทำหน้าที่ลูกเพื่อส่งวิญญาณผู้เป็นแม่เป็นครั้งสุดท้าย