ส่วนตัวเขาจะอยู่คอนโดเป็นส่วนใหญ่ เพราะใกล้กับที่ทำงาน ซึ่งเธอเคยไปมาแล้วสามครั้ง เมื่อเขาโทรเรียกให้ไปหา บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย
มันคือการช่วยปลดปล่อยความอัดอั้นในกายของเขานั่นเอง แม้จะอับอายผู้คนในออฟฟิศยังไง แต่ก็จำต้องยินยอม ให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจอยู่เป็นชั่วโมงๆ กว่าเขาจะปล่อยกลับ
ดวงตาคู่สวยอ่านรายละเอียดต่างๆ ในนิตยสาร ที่บอกกล่าวถึงบ้านราคาเกือบสองร้อยล้านของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ใช่เพราะอยากรู้ว่าเขาจะร่ำรวยมากน้อยแค่ไหน แต่เพราะอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับชีวิตเขาเท่านั้น
คฤหาสน์สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจของเขากับพ่อ ที่เมื่อก่อนอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ และมีความฝันร่วมกัน ว่าอยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ ในอนาคต เขาต้องใช้เวลาถึงสิบปี กว่าจะมีมันได้
‘ฮึ!’
ใบหน้าสวยใสยิ้มเย้ยหยันนิดๆ ให้กับคำว่า ‘ถึงสิบปี’ ที่เขามองว่ามันยาวนาน เขาคงไม่รู้หรอกว่า มีคนเป็นล้านๆ ที่ตายแล้วเกิดใหม่หลายสิบชาติ ก็ไม่มีปัญญาสร้างบ้านได้อย่างเขา
ให้สงสัยไม่น้อย ว่าเขาพลิกสถานการณ์จากคนเคยอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ มาเป็นเศรษฐีหมื่นล้านได้ยังไง
“ผมกับพ่อถูกคนใกล้ชิดล้อว่า เป็นผู้ชายขายน้ำมาเกือบยี่สิบปีแล้ว”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์แบบติดตลกของเขา หญิงสาวตามอ่านรายละเอียดก็พบว่า เขากับพ่อเป็นนายหน้าที่ดินในช่วงเริ่มต้นการสร้างตัว พอได้เงินมาพ่อก็ลงทุนเปิดบริษัทผลิตน้ำดื่มขาย
เขาเรียนไปด้วยช่วยพ่อไปด้วย จนกิจการไปได้ดี กระทั่งพัฒนาให้ใหญ่โตมาถึงทุกวันนี้
‘ไม่มีอะไรทำเงินได้ดีเท่ากับการขายน้ำเปล่า’
นั่นคือความคิดของเพื่อนพ่อเขา ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ทำกิจการนี้ในตอนแรก ดวงตาคู่สวยเศร้ากวาดมองไปตามคอลัมน์เรื่อยๆ พอเปิดหน้าใหม่
ก็เห็นเขายืนเคียงข้างผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ‘ปิยะกานต์’ สวยสง่าเหมาะสมกับเขายิ่ง
มีบางอย่างทำให้หัวใจของหญิงสาวกระตุกเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
ปิยะกานต์เป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย พ่อของเธอก็เป็นเพื่อนกับพ่อของเขา และเป็นคนแนะนำให้ตั้งบริษัทน้ำดื่ม เพราะบริษัทของพ่อเธอขายน้ำแร่ยี่ห้อดังประสบความสำเร็จมากมาย
เลยอยากให้เพื่อนประสบความสำเร็จบ้าง แถมยังให้เงินทุนมาอีกเป็นล้านๆ โดยไม่กลัวว่าจะได้คืนหรือไม่ด้วยซ้ำ
เขากับปิยะกานต์สนิทสนมกันมาก เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ที่เขาให้ความไว้วางใจ เขาไม่เคยมีความลับกับเธอ ทุกครั้งที่มีความทุกข์หรือพบทางตันหรือปัญหาสารพัด
เขามักจะไปหาเธอ แล้วก็จะได้รอยยิ้มกลับมา เธอก็มักจะทำให้เขาหาทางออกได้เสมอ เขาจึงยกย่องเธอ ให้เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มีในตอนนี้
พิมพ์ภิษาปิดนิตยสารลง แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ เพราะหมดความอยากรู้เกี่ยวกับเขาแล้ว มือบางถือขนมปังปิ้งไว้ ขณะเอนกายไปตามพนักเก้าอี้ราคาเรือนแสน
พยายามไม่คิดถึงบทสัมภาษณ์นั้น แต่พบว่าตัวเองไม่อาจจะสลัดภาพผู้หญิงสวยสมบูรณ์แบบออกจากหัวได้เลย
ไม่รู้ว่าทำไมจิตใจจึงสับสนว้าวุ่น เมื่อรู้ว่าเขามีคนพิเศษอยู่ และดูจะเหมาะสมกับเขามากกว่าผู้หญิงคนไหนในโลก ทั้งๆ ที่พยายามบอกแล้ว ว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรกับเขาแม้เพียงเศษเสี้ยว
ในอีกสี่หรือสิบเดือนข้างหน้านี้ จะกลายเป็นอดีตของเขา จะกลายเป็นหนึ่งในหลายๆ สิบหรือร้อยของผู้หญิง ที่เขาเคยเลี้ยงไว้บำเรอความใคร่บนเตียงเท่านั้น
แล้วเธอกับเขาก็จะเหมือนคนไม่รู้จัก หรือไม่เคยเกี่ยวข้องกันเลย เพราะเคยเห็นแล้ว ว่าเขาสามารถตัดผู้หญิงที่เคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งได้ โดยไม่ยากลำบากนัก
เมื่อตอนนั่งกินข้าวด้วยกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วมีผู้หญิงมาทักทายเขา บอกว่าคิดถึงเขาและรอคอยเขาเสมอ
‘ไว้ว่างๆ ผมจะโทรหานะครับ’
เธอเห็นเขาเอ่ยแค่นั้น แล้วส่งสายตามีความหมายให้หญิงคนนั้นรู้ ว่าเธอคือคนที่ทำให้เขาไม่ว่างในตอนนี้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เดินจากไป เธอก็ไม่เห็นแววห่วงหาอาทรใดๆ ในดวงตาเขาเลย
นั่นแปลว่าเขาหมดความสนใจหรือไม่เธอคนนั้น ก็ไร้ค่าสำหรับเขาไปแล้ว
อีกไม่นานเธอก็จะเป็นแบบนั้น คือเขาไม่เห็นอยู่ในสายตา เดินผ่านจะไม่มีวันทัก เจอกันในร้านอาหารจะไม่มีวันแสดงออกว่ารู้จัก ก็แล้วทำไมเธอจะต้องหวั่นไหว กับการที่เขาจะมีหรือไม่มีใครด้วย
สิ่งที่เธอควรจะทำในตอนนี้ก็คือไม่ต้องคิดอะไร หรือให้บอกตัวเองว่าเธอเป็นเพียงเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ที่เขาหลงใหลอยากได้มาครอบครอง อยากเอามาสวมใส่ พอหมดความหมายแล้ว ก็จะโยนลงถังขยะแค่ไปนั้น
‘ตึ๊ง!’
พิมพ์ภิษาหยิบมือถือขึ้นมาอ่านไลน์ น้าดาส่งมาบอกเล่าอาการของพ่อให้รับรู้ อยากไปเยี่ยมและอยากกลับบ้านใจจะขาด เพราะตลอดสองเดือนมานี้ นอกจากตลาด ห้างสรรพสินค้ากับชะอำที่เขาพาไปแล้ว
ก็ไม่เคยได้ออกไปไหนเลย แม้เขาไม่ได้ห้าม เพียงแค่ให้บอกก่อนเท่านั้น แต่เป็นเพราะเธอเองที่รู้สึก
‘ไม่อยากไปไหน!’
‘ไม่อยากพบใคร!’
หรือจะพูดให้ถูกคือ ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเธออยู่กับเขาในฐานะอะไร นั่นคือเหตุผลที่เธอสั่งงดไม่ให้แม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาด ไม่ส่งเสื้อผ้าทั้งของเขาและของเธอไปซักตามคำบอกของ ‘เลขาจอมเนี๊ยบ’ แต่ทำเองหมด
เพราะว่างอยู่แล้ว เหตุผลสำคัญก็คือไม่อยากได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของพนักงานในคอนโด ช่วงมาอยู่ใหม่ๆ เธอได้ยินเต็มสองรูหู
‘ยัยนั่นน่ะของเล่นชิ้นใหม่คุณเบียร์ไง สวยนะ! แต่อีกไม่นานคงจะถูกเขี่ยทิ้ง แล้วหาคนใหม่มาแทนที่เหมือนเดิมนั่นล่ะ’
‘จริงด้วยแก! คนก่อน สวยกว่านี้เป็นสิบเท่า ก็ยังเอาคุณเบียร์ไม่อยู่ คนนี้ดูท่าทางจะแตกต่างจากคนอื่นนะ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ผู้ชายถ้าลองได้เบื่อแล้ว จะสวยใสหรือเอาใจเก่งยังไง ก็ไม่พ้นลงถังขยะอยู่ดี’
เธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจะถูกเขี่ยทิ้ง หรือหมดความหมายนัก เพียงแต่รู้สึกรำคาญใจ ไม่ว่าจะเดินไปไหน ก็มักจะมีสายตาพนักงานคนคอยจับจ้อง
พอเดินผ่านไปก็จะเห็นคนพวกนั้นจับกลุ่มคุยกันสุดฤทธิ์ แล้วมองมาหา แม้จะไม่ใช่คนมองโลกในทางลบมากนัก แต่ก็รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังพูดถึงในทางไม่ดี