เช้าวันนี้ มารดาของเขาจึงรีบมาหาว่าที่ลูกสะใภ้แต่เช้าด้วยความตื่นเต้น เธอก็คาดหวังคำตอบจากเด็กสาวเช่นกัน
“สวัสดีค่ะ ป้าดา”
หญิงสาวพนมมือไหว้เพื่อนของแม่ที่ไปมาหาสู่กันตั้งแต่เธอจำความได้จนสนิทสนมกันดีเหมือนเป็นแม่คนที่สองของตนเอง
“สวัสดีลูก ยาหยี”
“มาแต่เช้าเชียวดา มีอะไรเร่งด่วนหรือ”
ชุติภา มารดาของหญิงสาวเอ่ยถามเพื่อนรักออกไปอย่างสงสัย
“มีสิจ๊ะ เรื่องสำคัญมากด้วย คือว่า ตาปรินซ์ ยอมตกลงแต่งงานกับยาหยีแล้วนะลูก พี่เขาโอเค ทีนี้ก็เหลือแต่ทางยาหยีนะ ว่าจะรังเกียจลูกชายของป้าหรือเปล่า”
รังเกียจหรอ เธอจะรังเกียจอะไรเขาได้ หน้าตายังไม่เคยเห็น สูงต่ำดำขาวอย่างไรก็ไม่เคยรู้ รู้อย่างเดียวคือเขาอายุมากกว่าเธอถึง 12 ปี คนที่อายุ 35 แล้วยังไม่ยอมแต่งงานมีลูกมีเมีย จนแม่ต้องมาเดือดร้อนหาผู้หญิงให้แต่งงาน ก็คงจะไม่ได้ดูดีนักหรอกในความคิดเธอ
เธอรู้ว่าที่บ้านมีปัญหาเรื่องเงินมาตลอดในพักหลังก่อนที่พ่อจะเสีย ยิ่งพ่อเสียไปแล้วทิ้งหนี้สินไว้มากมายยิ่งทำให้เธอกับแม่ลำบาก กว่าที่เธอจะดิ้นรนจนเรียนจบมาได้ก็แทบแย่ และไหนจะสารพัดค่าใช้จ่าย หลักๆ เห็นจะเป็นหนี้สินกับธนาคารที่พ่อเธอเอาบ้านไปจำนองไว้ ลำพังเงินเดือนของเธอ ยังแทบไม่พอส่งรายเดือนให้ธนาคารเลย ยิ่งตอนนี้ แม่ที่เครียดมานานประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอลง ทำให้เป็นโรคหัวใจที่นับวันยิ่งมีอาการรุนแรงขึ้นจนต้องผ่าตัดทำบอลลูน เรื่องค่ารักษาไม่ต้องพูดถึง เพราะหมอประเมินให้แล้วว่าหลักล้าน แล้วพนักงานกินเงินเดือนอย่างเธอจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายค่ารักษานั้นให้แม่
ประจวบเหมาะกับป้าดา เพื่อนสนิทที่สุดของแม่รู้เรื่องเข้า ก็อาสาไถ่ถอนบ้านให้ และจะออกค่ารักษาให้แม่ทุกอย่าง แต่ขออย่างเดียว คือขอเธอไปเป็นลูกสะใภ้ แต่ถึงแม้เธอจะไม่ตอบตกลง ป้าดาก็ยังยืนยันที่จะช่วยเหลือทุกอย่างตามที่เอ่ยปากมาอยู่ดี
ตั้งแต่จำความได้ เธอก็รู้จักกับป้าดาแล้ว ป้าดาและลุงปราบมักจะมาเยี่ยมเยียนพ่อและแม่เธอเสมอ ทั้งสองใจดีและเอ็นดูเธอมาก เพราะท่านทั้งสองอยากได้ลูกสาวมากแต่ก็มีไม่ได้เสียที จนถอดใจและมายึดเอาเธอเป็นลูกอีกคน จึงทำให้เธอรักและเคารพคนทั้งคู่มาก ป้าดาเคยบอกว่า ไม่เคยรู้เรื่องเลยว่าพ่อกับแม่เธอมีปัญหาเรื่องเงินที่โดนญาติโกงไปจากการลงทุนทำธุรกิจที่เป็นอาชีพเสริม พ่อที่รับราชการเงินเดือนไม่ได้มากมายอะไรจึงทั้งเครียดและไม่มีทางออกต้องเอาบ้านไปจำนองเพื่อหาเงินมาใช้หนี้แทนหุ้นส่วนที่โดนโกงกันไปอีกที ป้าดามารู้เรื่องเหล่านี้ก็ตอนที่พ่อเธอเสียไปแล้ว และแม่ที่ไม่มีอาชีพจึงขอความช่วยเหลือเรื่องเงินทองจากเพื่อน เพื่อส่งลูกสาวเรียนจนจบ และยึดอาชีพทำขนมส่งขายมาโดยตลอด
ในเมื่อป้าดาดีกับเธอถึงขนาดนี้ เธอจะมีหน้าไปเอาเงินของเขามาเฉยๆ ได้อย่างไร เงินที่จะต้องเสียเพื่อช่วยเหลือครอบครัวเธอไม่ใช่น้อยๆ มันเกือบจะถึงหลักสิบล้านกันเลยทีเดียว
“แม่ว่าไงคะ อยากให้ยาหยีแต่งงานกับคุณปรินซ์หรือเปล่าคะ”
เธอหันไปถามหาความเห็นจากแม่เพื่อช่วยในการตัดสินใจ เธอรู้ว่าเรื่องแต่งงานคือเรื่องที่สำคัญที่สุดของชีวิตลูกผู้หญิง เพราะเธอคิดที่จะแต่งงานเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเมื่อต้องแต่งงานโดยปราศจากความรัก มันก็ทำให้เธอต้องคิดหนักไม่น้อย
“แม่แล้วแต่ยาหยีนะลูก ถ้าลูกไม่เต็มใจ แม่ก็ไม่อยากบังคับ และไม่อยากให้ลูกคิดว่าต้องแต่งงานเพื่อรักษาชีวิตของแม่ด้วย”
“ใช่ลูก เพราะต่อให้ยาหยีไม่ยอมแต่งกับพี่ปรินซ์ ป้าก็จะช่วยเหลือยาหยีกับภาอยู่ดี ที่ป้าขอยาหยีมาเป็นสะใภ้ เพราะป้ารักและถูกใจยาหยีมาก แต่ถ้ามันเป็นการฝืนใจก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตที่เหลือของยาหยียังอีกยาวไกล ไม่ต้องคิดเรื่องนี้เป็นบุญคุณนะลูก”
ญาดาเอ่ยเสริมมารดาของหญิงสาวทันที เพราะไม่อยากเอาชีวิตของเพื่อนรักมากดดันให้หญิงสาวต้องตอบตกลง ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากได้เธอเป็นลูกสะใภ้จนตัวสั่น แต่ก็อยากเห็นเธอคนนี้ได้มีชีวิตที่มีความสุขแบบที่เธอเลือกเองด้วย
หญิงสาวรู้ว่าโรคที่แม่เธอเป็นอยู่ สามารถคร่าชีวิตแม่เธอได้ตลอดเวลา และถ้าแม่จากไป เธอจะอยู่บนโลกนี้อย่างไรโดยไร้คนดูแลคุ้มครอง แม่เธอคงเป็นห่วงในเรื่องนี้ที่สุด
ในเมื่อทั้งแม่และญาดา รักและดีกับเธอถึงขนาดนี้ การจะทำอะไรเพื่อให้ท่านสบายใจและมีความสุข ก็คงไม่ยากเกินไปที่เธอจะทำ ต่อให้ว่าที่สามีของเธอจะมีสภาพเป็นอย่างไร ก็คงต้องทำใจยอมรับให้ได้เสียแล้ว ไม่แน่ถ้าเขาเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่และอบอุ่นพอ เธออาจรักเขาได้ไม่ยาก
“ตกลงค่ะ ยาหยีจะแต่งงานกับคุณปรินซ์”
“จริงหรือลูก ป้าดีใจจริงๆ เราจะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วนะภา”
หญิงวัยกลางคนทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เท่านี้ คนที่เสียสละความสุขของชีวิตที่เหลือ ก็มีความสุขมากแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าจะเจอกับอะไร ก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคตไปแล้วกัน
“เรื่องสินสอด เธอจะเรียกเท่าไหร่หรือภา เรียกมาได้เต็มที่เลย สะใภ้ใหญ่ที่ถูกใจที่สุด ฉันไม่อั้น”
คุณญาดาที่หน้าบานเป็นจานเชิง เอ่ยกับเพื่อนรักอย่างมีความสุข
“จะเรียกอะไรกันดา เท่าที่เธอต้องจ่ายให้พวกฉันนี่มันร่วมสิบล้านเลยนะ พอแล้ว แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว”
“ได้ไง ยาหยีฉันก็เห็นมาตั้งแต่วันแรกที่แกเกิด รักเหมือนลูกสาว จนวันนี้ได้มาเป็นลูกสาวจริงๆ สมใจแล้ว น้อยกว่านี้ได้ยังไง เอาเป็นว่าฉันจะจัดการเองแล้วกัน แล้ววันนั้นก็รับด้วยนะ ห้ามส่งคืนเด็ดขาด”
ชุติภาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนรักนั้นเอาแต่ใจตัวเองขนาดไหน เพราะในบ้านมีแต่หนุ่มๆ คอยรุมล้อมเอาใจถึง 5 คน ต่อให้เธอดื้อจะไม่รับ ยังไงคนที่ดื้อกว่าก็ต้องหาทางบังคับให้เธอรับจนได้
“ตามใจเธอแล้วกันดา กระเป๋าฉีกไม่รู้ด้วย”
“ไม่มีทาง ฉันเก็บสะสมเงินมาตลอดชีวิตเพื่อมาสู่ขอยาหยี เธอก็รู้ว่าฉันเล็งไว้นานแล้ว ต่อให้พลาดจากตาปรินซ์ อีกสามหนุ่มที่เหลือก็ไม่รอดฉันแน่ ยังไงฉันก็ต้องได้ยาหยีมาเป็นลูกสะใภ้จ้ะ”
แล้วสองแม่ก็หัวเราะให้กันอย่างนึกขำในความเจ้าแผนการของคนอยากได้ลูกสะใภ้จนตัวสั่น
เมื่อคุณนายญาดากลับถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ของตัวเอง ก็ตรงดิ่งเข้าห้องนั่งเล่นที่เป็นที่รวมตัวของหนุ่มๆ ในวันที่ไม่มีธุระปะปังที่ไหนทันที และวันนี้ก็สุดแสนจะโชคดีเพราะอยู่กันครบทั้งพ่อและลูก
“แหม คุณ เดินยิ้มหน้าบานขนาดนี้ มีข่าวดีหรือจ๊ะ”
ปราบ สามีผู้แสนรักใคร่ภรรยา เอ่ยทักทันทีที่เห็นใบหน้าอวบอูมที่เขาแสนหลงใหล ยิ้มหน้าบานจนแก้มแทบปริ
“มีสิคะ”
หญิงวัยกลางคนหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาตัวหรู ก่อนหันไปมองสบตากับลูกชายคนโต ที่ตอนนี้ละสายตาจากหน้าจอไอแพดที่กำลังนั่งทำงานอยู่แล้ว
ดวงตาคมกริบไหววูบเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น แต่กิริยาอาการที่แสดงออกไปคือนิ่งเฉย ใบหน้าเรียบไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องที่กำลังจะฟังต่อไปนี้
“ยาหยี ยอมตกลงแต่งงานกับตาปรินซ์แล้วจ้ะ ดีใจไหมลูก”
ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉย แต่แววตาเต้นระริกด้วยความยินดี ที่พยายามซ่อนเร้นให้พ้นจากสายตาของทุกคนในบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้ซ่อนใครเขาได้พ้นเลย
“ดีใจอะไรกันครับแม่ ผมไม่ได้อยากจะแต่งเสียหน่อย น่าจะมีแค่แม่หรือเปล่าครับที่ดีใจ”
ฟอร์มจัดจริงๆ ลูกชายฉัน ก็เห็นอยู่ว่าดวงตาเต้นระริกขนาดนั้น ยังจะมาปฏิเสธ เอาเถอะ ปากแข็งไปให้ได้ตลอดรอดฝั่งแล้วกัน อย่ามาทำตัวคลั่งรัก หลงเมียให้เห็นนะ แม่จะแซวไม่เลี้ยงเลย
สามหนุ่มที่เหลือมองสบตากันอย่างมีความนัย ที่รู้กันแค่สามคนเท่านั้น บอกแล้วว่ามันต้องมีอะไรในกอไผ่ ไม่อย่างนั้น พี่ชายของเขาไม่มีทางยอมทำตามเรื่องโบราณคร่ำครึนี้แน่ และตอนนี้ พวกเขาก็เริ่มได้รับรู้เค้าลางมาพอเลาๆแล้ว หลังจากนี้ก็จะคอยสังเกตพฤติกรรมพี่ใหญ่ของบ้านเอา ไม่ยากหรอก รุกรี้รุกรนซะขนาดนั้น แต่คิดว่าตัวเองเจ๋งที่ปิดมิด นี่เพราะทุกคนทำเป็นเล่นไปตามเกม จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเขาหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคงได้มีเขินกันบ้าง
“เอ่อ แล้วแม่ได้ฤกษ์หรือยังครับ หรือเอาฤกษ์สะดวก”
ใจร้อนเสียด้วย นี่ขนาดไม่สนใจอยากจะแต่งนะ ยังถามถึงฤกษ์ ถ้าอยากแต่งนี่ไม่ไปรับเจ้าสาวมาอยู่ด้วยก่อนเลยหรือ
สามเสืออมยิ้มมุมปากและยักคิ้วให้กันอย่างรู้ทัน ท่าทางเรื่องนี้ มีอะไรสนุกๆ ให้ดูเสียแล้ว จมูกโด่งทั้งสามขยับสูดดมฟุดฟิดๆ พร้อมกัน เหมือนได้กลิ่นคนหลงเมียแถวนี้แรงขึ้นเรื่อยๆ อนาคตไม่มีทางผิดไปจากผู้เป็นพ่อแน่ๆ สามเสือฟันธง
“พรุ่งนี้แม่จะจัดการให้เรียบร้อยจ้ะลูก ให้แม่จัดการเรื่องอะไรให้อีกไหม หรือปรินซ์จะจัดการเอง”
“คุณแม่จัดการให้ทั้งหมดเลยดีกว่าครับ ช่วงนี้ผมยุ่งๆ คงต้องรีบเคลียร์งานเอาไว้แต่เนิ่นๆ แต่งแล้วคงต้องพาลูกสะใภ้แม่ไปฮันนีมูนเพื่อผลิตหลานอีก”
จ้ะ พ่อคนไม่อยากแต่ง แหม วางแผนเสียยาวเชียว วันแต่งยังไม่ทันได้กำหนด ดูพ่อจะเห่อๆ แบบไม่รู้ตัวนะ
“จ้ะลูก แม่จะจัดการให้ทั้งหมด ปริ้นค่อยรับน้องไปลองชุดแต่งงานพร้อมกันแล้วกันนะจ๊ะ จะได้รู้จักกันไว้ด้วย แต่แม่ว่าช่วงนี้ลูกไปรับน้องออกมาทานข้าวบ้างก็ดีนะ จะได้รู้จักกันไว้ก่อน”
“ไม่ดีกว่าครับ ต่างคนต่างแยกกันไปลองชุดเถอะ ผมไม่ค่อยสะดวก เอาไว้เจอกันงานแต่งทีเดียวแล้วกันครับ”
ชายหนุ่มทั้งสามหันมองสบตากันอย่างงุนงง มีเหตุผลอะไรที่พ่อเจ้าประคุณเล่นตัวแรงขนาดนี้ นี่ไม่กะคิดจะเจอเจ้าสาวก่อนวันงานเลยหรือ สูงต่ำดำขาว อ้วนเตี้ยขี้เหร่ขึ้นมาจะทำอย่างไร คำพูดพ่อแม่ที่เชียร์จนออกนอกหน้าแบบนั้น จะเชื่อได้หรือว่าเธอสวย