ขวัญชีวาก้าวเดินตามหลังกรวรรณผู้เป็นเพื่อนเข้าไปในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสุขุมวิทซึ่งได้ชื่อว่าเป็นย่านของคนมีเงิน ห้างดังกล่าวเต็มไปด้วยสินค้าชั้นนำจากต่างประเทศที่บางชิ้นราคาเท่ากับจำนวนเงินที่คนหาเช้ากินค่ำใช้ได้ทั้งปี
แม้จะเกิดบนกองเงินกองทองแต่หญิงสาวก็ไม่เคยนึกอยากเสียเงินไปง่ายๆ กับการซื้อของพวกนี้ ใช่ว่าเธอจะทำตัวเป็นคนโลกสวยแต่เป็นเพราะเธอถูกคุณยายของเธออบรมสั่งสอนมาแต่เล็กแต่น้อยไม่ให้มองคนที่วัตถุสิ่งของ
“อ้าวนังหนูวา ทำไมแกไม่เดินต่อ ยืนนิ่งอยู่กับที่ทำไม” กรวรรณหันมาถามผู้เป็นเพื่อนอย่างสงสัยที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็หยุดเดินเสียอย่างนั้น
“กำลังคิด...” ขวัญชีวาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงักคำพูดลงกลางคันจากเสียงแหลมๆ ที่ดังขัดขึ้นจากเบื้องหลัง
“อุ๊ยตาย...ยายนก ไม่นึกว่าจะเจอเธอมาเดินที่นี่ด้วย”
คนถูกทักหันขวับไปมองก็พบเข้ากับร่างสูงทว่าค่อนข้างผอมของหญิงสาวผิวขาวเจ้าของเสียง ในชุดแซ็กเปิดหน้าเปิดหลังสีดำกำลังยืนมองมาด้วยสีหน้าติดเหยียดๆ มีถุงชอปปิงหลายใบถืออยู่ในมือ จึงจ้องกลับและพูดตอบโต้ออกไปทันควันอย่างไม่กริ่งเกรง
“ทำไมจะต้องนึกหรือไม่นึกด้วยล่ะ ฉันมาเดินที่นี่ไม่ได้หรือไง หรือว่าเธอมาได้คนเดียวยายน้ำพิษ”
เพราะคนทักและถูกเรียกว่าน้ำพิษไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นดวงยิหวาหรือน้ำหวานเพื่อนร่วมคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่พบเจอกันครั้งใดก็มักจะชอบคุยฟุ้งโอ้อวดเรื่องการใช้ของแบรนด์เนมของตัวเอง จึงมักถูกพูดเบรกออกไปหลายครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเรื่อยมา
คนถูกเรียกน้ำพิษแทบเต้น ก่อนจะยกริมฝีปากขึ้นยิ้มพลางปรายตามองคู่ปรับเก่าซึ่งแต่งกายในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดพอดีตัวสีขาวอย่างเหยียดๆ “หวังว่าเธอคงไม่ได้คิดจะเข้ามาซื้อของที่นี่หรอกนะ รู้ไหมว่าของบางชิ้นน่ะราคามากกว่าเงินเดือนของเธอรวมกันทั้งปีอีกนะ ฉันเห็นเธอมาเดินที่นี่ถึงได้นึกสงสัยว่ามาเดินที่นี่ได้ยังไงล่ะ ไม่สังเกตหรือว่าแต่ละคนที่เดินสวนกับเธอแต่งกายกันแบบไหน แต่งตัวแบบนี้ยังกล้ามาเดินสถานที่แบบนี้อีกนะ ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย เป็นฉันนะ แค่คิดยังไม่กล้าเลย”
คำพูดเหน็บแนมกระแนะกระแหนแสดงอาการดูถูกดูแคลนไม่ได้ทำให้คนฟังอย่างกรวรรณรู้สึกโกรธแต่อย่างใด หญิงสาวมองเพื่อนร่วมคณะด้วยสายตาแสดงความสมเพชเวทนา
“ทำไมฉันจะต้องเจียมตัวด้วย มาเดินที่นี่ต้องแต่งตัวแบบเธอหรือไง ที่ใช้กระเป๋าใบห้าหมื่นแต่มีเงินติดกระเป๋าแค่พันห้า ฉันขอเป็นพวกใช้กระเป๋าใบพันห้าแต่มีเงินในกระเป๋าห้าหมื่นดีกว่า”
“เธอรู้ได้ไงว่ากระเป๋าฉันใบละห้าหมื่น” พูดพลางดวงยิหวาก็จับกระเป๋าของตัวเองที่สะพายอยู่ให้ดู สีหน้าปรากฏรอยยิ้มเยาะ “ใบนี้เป็นลิมิเต็ดที่ทำขึ้นมาแค่ไม่กี่ใบเท่านั้น ใบละแสนห้าย่ะ”
กรวรรณส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจ “โถ...ยายน้ำพิษ ฉันแค่เปรียบเทียบให้เธอฟังต่างหากล่ะ แล้วที่เธอบอกฉันปาวๆ ว่ากระเป๋าตัวเองเป็นรุ่นลิมิเต็ดใบละแสนห้านี่ ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวแล้วจะทำได้นะ”
“หมายความว่ายังไง” คนถามถามเสียงแว้ด
“อ้าว...ก็ต้องโง่ด้วยไงล่ะ คนซื้อกระเป๋าใบละแสนห้าได้สมองต้องกลวงด้วย”
“ยายนก ยายปากหมา...” คนถูกหาว่าโง่สมองกลวงโกรธจนปากคอสั่น แต่ครั้นหันไปมองด้านข้างของกรวรรณเห็นขวัญชีวายืนอยู่ ความคิดบางอย่างก็แล่นวาบเข้าสู่สมอง ในเมื่อตอนนี้ยังหาคำพูดมาตอบโต้คู่ปรับเก่าไม่ได้ เล่นงานเพื่อนสนิทของอีกฝ่ายแทนแล้วกัน คนเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้อย่างยายหนูวามีหรือจะเถียงเธอทัน โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังจะพูดออกไป รับรองว่าต้องเถียงไม่ออกอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นดวงหน้าสะสวยที่แต่งจนจัดจ้านก็ระบายยิ้มออกมา “ได้ข่าวว่าเธอยื่นใบลาออกจากบริษัทแล้วหรือหนูวา”
คนถูกลากเข้าสู่วงวิวาทอย่างขวัญชีวาหรี่ตามองดวงหน้าที่กำลังแย้มยิ้มของคนถามเขม็ง มีหรือเธอจะมองไม่ออกว่ารอยยิ้มนั่นแฝงอะไรบางอย่างซึ่งไม่ใช่ความปรารถนาดีอย่างแน่นอน
“เธอรู้ได้ไงว่าฉันยื่นใบลาออกจากบริษัท”
“ก็พี่ลดาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉันไงล่ะ ฉันถึงรู้ว่าเธอยื่นใบลาออก” คนพูดเปลี่ยนจากยิ้มเป็นส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยตามด้วยคำพูดบาดหู “คนเรานะหนูวา แข่งอะไรอาจจะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาน่ะคงยาก ใครจะเลือกก้อนกรวดทั้งที่มีเพชรวางอยู่ตรงหน้า ใครทำแบบนั้นก็โง่เต็มที”
คำพูดแฝงความนัยของดวงยิหวาทำเอากรวรรณทำท่าจะถลาเข้าไปหาแต่ถูกขวัญชีวาคว้าแขนเอาไว้ได้ทันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่าดวงตากลับวาววับเจิดจ้าจนคนว่าเห็นแล้วต้องก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว