“มะลิ! ถึงตาเธอเล่าแล้ว” สิรันส่ายหน้าอย่างเพลียๆ ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งเงียบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
“ค่ะหัวหน้า! ก่อนที่หนูจะเข้าไปในห้องสแกนนิ้ว หนูได้ยินเสียงของสายไหมพูดว่า มาแล้วๆ และทันทีที่หนูเปิดประตูเข้าไป กุ๊กไก่ก็สาดน้ำแดงใส่หน้าหนู แล้วบอกว่า อุ๊ยตาย! โทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นกุ๊กไก่กับสายไหมก็หัวเราะใส่หนูค่ะ”
“เธอเลยสาดกาแฟใส่กุ๊กไก่คืน” สิรันถามแทรกขึ้นทันใด
“ค่ะ! หนูทำแบบเดียวกับที่เขาทำกับหนูทุกอย่าง ทั้งบอกว่าไม่ได้ตั้งใจและขอโทษ แต่หนูไม่ได้หัวเราะใส่เขาเท่านั้นค่ะ” มะลิฉัตรบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“พิมาลา! พอเธอเข้ามาแล้วเธอทำอะไร” สิรันถามต่อ
“หนูไปเข้าห้องน้ำ พอเดินออกมาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นที่ห้องสแกนนิ้ว หนูวิ่งเข้าไปแล้วทันได้ยินกุ๊กไก่พูดว่า จับมัน! ฉันจะสั่งสอน อีเด็กกำพร้าให้รู้จักว่าการที่มายุ่งกับคนอย่างกุ๊กไก่ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง” พิมาลาบอกพร้อมกับจ้องหน้าสองสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“ไม่จริง! กุ๊กไม่ได้พูดแบบนั้นนะคะหัวหน้า” กุ๊กไก่บอกพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างลืมตัว
“กุ๊กไก่!” สิรันปรามพร้อมกับชี้ให้อีกฝ่ายนั่งลง
“ขอโทษค่ะ แต่กุ๊กไม่ได้พูดจริงๆ นะคะหัวหน้า” กุ๊กไก่บอกย้ำเพราะกลัวหัวหน้าแผนกจะไม่เชื่อตน
“เล่าต่อ!” สิรันพยักหน้าให้พิมาลา
“หนูก็ถามกุ๊กว่าจะสั่งสอนใครเหรอ แล้วหัวหน้าก็เข้ามาค่ะ”
“หัวหน้าคะ สองคนนี้จะพูดยังไงก็ได้ เพราะในห้องสแกนนิ้วไม่มีกล้อง หนูยืนยันได้ว่าหนูไม่มีความคิดที่จะกลั่นแกล้งมะลิอย่างเด็ดขาด” กุ๊กไก่รีบออกตัว
“เดี๋ยวนะ! ใครบอกเธอว่าห้องสแกนนิ้วไม่มีกล้องวงจรปิด”
สิรันถามพร้อมกับมองหน้าสองสาวนิ่ง
ผลัวะ!
จันจิราที่ผลักประตูห้องเข้ามาเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ หลังจากที่ทราบว่าหลานสาวของตนถูกเพื่อนในแผนกเดียวกันสาดกาแฟใส่
“เธอสองคนใช่ไหมที่ทำหลานฉัน”
“ค่ะ! หนูเป็นคนเอากาแฟสาดใส่กุ๊กเอง” มะลิฉัตรยอมรับ
“ไล่ออก! ให้สองคนนี้ออกจากงานเลยนะคุณสิรัน” จันจิราบอกเสียงดังอย่างเอาเรื่อง
“เอ่อ... สิเข้าใจนะคะว่ากุ๊กเป็นหลานของคุณจิรา แต่เราควรให้ความเป็นธรรมกับทุกคนค่ะ” สิรันบอกอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“หลานฉันโดนขนาดนี้ ฉันจะเอาเรื่องเด็กนั่นให้ถึงที่สุด” จันจิราบอกเสียงดังจนเล็ดลอดออกไปด้านนอกห้อง
“แจ้งความเลยไหมคะ? พอดีหนูมีเบอร์ผู้กำกับฯ อยู่ เดี๋ยวโทร. ให้เลยค่ะ” พิมาลาบอกพลางทำท่าจะล้วงมือถือออกจากกระเป๋าเสื้อ
“พิมาลา!” สิรันเอ่ยปรามก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่
“ขอโทษค่ะหัวหน้า หนูแค่ทนฟังคนที่ตัดสินคนอื่นจากความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ คุณเห็นว่าหลานสาวของตัวเองเปียกไปด้วยน้ำกาแฟ แล้วคุณก็โกรธและตัดสินว่าพวกหนูผิด ประทานโทษนะคะคุณมองเห็นไหม? ว่าเพื่อนของหนูก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำแดงตั้งแต่หัวจดเท้าเหมือนกัน” พิมาลาลุกขึ้นยืนพร้อมกับชี้ให้อีกฝ่ายมองเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงตึงๆ
“นี่เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร มีตำแหน่งอะไรในโรงแรมนี้” จันจิรากัดฟันแน่น ตั้งแต่ทำงานมาไม่มีใครที่พูดจากับตนแบบนี้มาก่อน
“ไม่ทราบค่ะ หนูไม่ได้อยู่ฝ่ายบุคคล” พิมาลายิ้มก่อนจะยักไหล่สองข้างขึ้นพร้อมๆ กันอย่างไม่แคร์
“พิ!” มะลิฉัตรหน้าชาวาบเมื่อได้ยินประโยคกวนๆ ของเพื่อนที่เอ่ยออกไป
“กลัวอะไรเล่ามะลิ ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด เอาแต่พวกพ้องของตัวเองแบบนี้ มันน่านับถือหรือว่าน่าเกรงใจตรงไหนกัน”
“ไล่สองคนนี้ออกเดี๋ยวนี้!” จันจิราที่โดนถอนหงอกจนแทบจะหมดหัว ตะเบ็งเสียงดังด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ใจเย็นๆ ค่ะป้าจิ” กุ๊กไก่รีบเข้าไปหาญาติผู้ใหญ่ที่กำลังโกรธจนหน้าแดงก่ำอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ถ้าเธอยังเก็บเด็กสองคนนี้ไว้! เธออยู่ยากแล้วสิรัน ไปยัยกุ๊ก กลับบ้าน!” จันจิราหันไปจ้องสิรันอย่างคาดโทษ ก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้าตึงๆ
“ขอตัวก่อนนะคะหัวหน้า ไปสิไหมนั่งอยู่ทำไม!” กุ๊กไก่ยิ้มเยาะ สองสาวอย่างผู้ชนะ ‘หึ! บอกแล้วว่าอย่าลองดีกับคนอย่างกุ๊กไก่!’
“เอ่อ! ขอตัวค่ะ” สายไหมยกมือไหว้สิรันก่อนจะรีบเดินตาม เพื่อนรักออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
สิรันมองตามหลังจันจิราและสองสาวผ่านกระจกใสนิ่ง พยายามคิดหาวิธีต่างๆ ที่จะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้น ‘เฮ้อ... เป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ๆ แต่กลับก้าวก่ายหน้าที่การทำงานของแผนกอื่น! แถมยังให้ท้ายสองคนนั่น จนมองไม่เห็นหัวเราอีก แล้วแบบนี้จะมีกฎระเบียบเอาไว้ทำไมกัน’
“หัวหน้าไม่ต้องเครียดหรอกค่ะ ต่อให้เราสองคนทำงานต่อ เดี๋ยวก็โดนพวกนั้นแกล้งอีก ยังไงก็คงต้องออกจากงานอยู่ดี” พิมาลาบอกอย่างเข้าใจ
“ใช่ค่ะ! ขอบคุณหัวหน้ามากๆ นะคะ ที่สอนงานให้พวกหนู ขอบคุณค่ะ”
มะลิฉัตรบอกพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้หัวหน้าแผนก ที่เอ็นดูเธอทั้งสองคนมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาฝึกงาน จนกระทั่งเรียนจบแล้วได้เข้าทำงานที่นี่
“พวกหนูสองคนรักหัวหน้านะคะ” พิมาลาน้ำตาคลอ ขณะที่นึกไปถึงสิ่งดีๆ ที่สิรันได้เคยหยิบยื่นให้น้องๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นประจำแทบทุกเดือน ทั้งเสื้อผ้า ขนม และของใช้ต่างๆ
สองสาวยกมือไหว้สิรัน ก่อนจะพากันเดินออกจากห้องไปที่แผนกบุคคล เพื่อเขียนใบลาออก
สิรันจ้องมองเด็กสาวสองคนที่ฝึกงานมากับมือร่วมหลายเดือน เดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกที่ตื้ออย่างบอกไม่ถูก ‘นี่เราจะปล่อยให้เด็กสองคนนี้ต้องออกจากงานจริงๆ เหรอ เราทำได้แค่มองดูแบบนี้น่ะเหรอ’
ครึ่งชั่วโมงต่อมา... ห้องผู้บริหาร
ก๊อกๆๆ
ธีรติ อัครเหมษ์ ผู้จัดการใหญ่โรคาซานเดอร์ แกรนด์ เงยหน้าขึ้นมองประตูห้อง ที่เลขานุการสาวใหญ่วัยสี่สิบห้าปีกำลังเปิดเข้ามาอย่างสนใจ
“มีเรื่องอะไรหรือครับ?”
ฉัตรนารียิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะบอกเรื่องสำคัญให้ผู้จัดการทราบ
“เอ่อ... คือว่า... คุณสิรันยื่นใบลาออกค่ะ”
“อะไรนะ?” ธีรติถามอย่างไม่เชื่อหู
“ที่ฝ่ายบุคคลไม่ยอมเซ็นอนุมัติให้ เลยต้องส่งต่อมาขอลายเซ็นจากผู้จัดการค่ะ” ฉัตรนารีเอ่ยพลางส่งเอกสารให้ผู้จัดการหนุ่มดู
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ” ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าตึงเครียด
ฉัตรนารีถอนใจ ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน แต่ทว่ากลับดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งที่ทำงาน ให้ผู้จัดการหนุ่มฟังคร่าวๆ
ฝ่ายบุคคล... ธาริณี หัวหน้าแผนกทำความสะอาด นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะห่างจากฝ่ายบุคคลไปห้าเมตร เดินเข้ามาถามเด็กสาวที่นั่งทำหน้าเศร้าๆ อยู่อย่างสนใจ หลังจากได้ยินข่าวแว่วๆ ที่แผนกต้อนรับดังมาเข้าหูเมื่อห้านาทีก่อน
“ชื่ออะไรเหรอหนู”
“เอ่อ... สวัสดีค่ะ หนูชื่อมะลิค่ะ” คนที่กำลังคิดว่าจะไปสมัครงาน ที่ไหนในวันรุ่งขึ้น หันมาตอบยิ้มๆ
“มาทำอะไรที่แผนกบุคคลเหรอจ๊ะ?” ธาริณีถามพลางสำรวจ อีกฝ่ายที่มีสภาพมอมแมมอย่างรู้สึกสงสาร
“หนูมากรอกใบลาออกค่ะ” มะลิฉัตรบอกเสียงเบา
“งานมีปัญหาเหรอ?” ธาริณีถามต่อ
“งานโอเคค่ะ ทั้งเงินเดือน ที่พัก อาหาร ไม่รู้ว่าออกจากที่นี่ไปแล้ว หนูจะหางานใหม่ที่ดีแบบนี้ ได้อีกหรือเปล่า” มะลิฉัตรบอกก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำที่หางตาทิ้งลวกๆ
“งั้นออกทำไมล่ะ”
“เอ่อ...”
“เพื่อนร่วมงานสินะ” ธาริณีสรุปให้
“ค่ะ” เธอเอ่ยรับเสียงเบา
“มาทำงานกับฉันไหม งานแม่บ้านอาจจะหนักหน่อย แต่เงินดีนะจะบอกให้”
“จะ... จริงเหรอคะ!” มะลิฉัตรหันไปถามอย่างสนใจ
“จริงสิ! ปกติอยู่หน้าเคาน์เตอร์ได้เดือนหนึ่งเท่าไหร่”
“เงินเดือนหมื่นเจ็ดค่ะ”
“เงินเดือนเมดหมื่นห้า แต่ได้ทิปเดือนหนึ่งเกือบหมื่น บางเดือนก็หมื่นกว่าแน่ะ” ธาริณีเปิดเผยตัวเลขให้หญิงสาวฟัง
“โห... ” มะลิฉัตรอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“สนใจไหมล่ะ! คนขาดพอดีเลย”
“สนใจมากๆ เลยค่ะ”
“เยี่ยม! แต่หนูจะโอเคไหม ที่เคยทำงานต้อนรับแล้วมาเป็นเมด ทำความสะอาดน่ะ”
“โอเคค่ะ! หนูไม่เกี่ยงงาน” เธอบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“งั้นก็รับนี่ไปจ้ะ” ธาริณีบอกพร้อมกับยื่นใบสมัครที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังให้กับหญิงสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ” มะลิฉัตรยกมือไหว้อย่างซาบซึ้งใจ เพราะตราบใด ที่เธอและเพื่อนยังทำงานที่โรคาซานเดอร์ แกรนด์ เธอก็ยังมีสิทธิ์ที่จะพัก ที่หอตามเดิม ซึ่งนั่นจะทำให้เธอและเพื่อนเซฟเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้มาก
“สวัสดีค่ะ” พิมาลาที่เพิ่งไปเข้าห้องน้ำมา ยกมือไหว้หัวหน้า ของเมดในโรงแรมด้วยสีหน้ายิ้มๆ เธอเคยเจออีกฝ่ายอยู่สองสามครั้งตอนไปซื้อกาแฟที่ร้านประจำ
“สวัสดีจ้ะหนู” ธาริณีหันมารับไหว้เด็กสาว ก่อนจะมองเลขานุการใหญ่ที่เดินตรงมาทางด้านหลังอย่างรู้สึกแปลกใจนิดๆ
“สวัสดีค่ะคุณณี” ฉัตรนารีเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะคุณฉัตรมีอะไรกับณีหรือเปล่าคะ” ธาริณีเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“คือฉัตรมาตาม คุณพิมาลากับคุณมะลิฉัตร ไปหาผู้จัดการน่ะค่ะ”
ฉัตรนารีบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางจ้องมองสองสาวนิ่งอย่างตกตะลึงในความสวย ‘เด็กสองคนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ หน้าตาสวยกว่าดาราเสียอีกแน่ะ’
“นี่ข่าวไปถึงหูคุณธีรติแล้วเหรอ?” ธาริณีถามต่อ
“แหม! เดี๋ยวพักเบรกเจอกันที่ร้านเดิมนะคะ” ฉัตรนารียิ้มก่อนจะทำท่าเหมือนไม่สะดวกจะเมาท์มอยในตอนนี้
“ได้!” ธาริณีหัวเราะในลำคออย่างเข้าใจ
“เชิญค่ะ” ฉัตรนารีพยักหน้าให้สองสาวออกเดินตาม
“เอ่อ... เดี๋ยวหนูกลับมานะคะ” มะลิฉัตรรีบหันไปบอกอีกฝ่าย
“จ้ะ! ฉันจะเก็บใบสมัครเอาไว้ให้นะ” ธาริณีบอกยิ้มๆ
“ขอบคุณค่ะ” มะลิฉัตรยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะเดินตามเพื่อนและเลขานุการใหญ่ไปด้วยสีหน้าตื่นๆ
ห้านาทีต่อมา...
สองสาวเดินตามฉัตรนารีมาจนถึงหน้าห้องของผู้จัดการใหญ่ที่ดูแลโรคาซานเดอร์ แกรนด์ สาขาในไทยทั้งหมดด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ฉัตรนารีหันมามองสองสาวยิ้มๆ ก่อนจะบอก
“เข้าไปได้เลยค่ะ คุณธีรออยู่”
“คะ... ค่ะ” มะลิฉัตรกับพิมาลารับคำเสียงสั่น ก่อนจะเคาะประตูห้องสองครั้ง แล้วเปิดประตูเข้าไป
“เชิญนั่งครับ” ธีรติละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊กขึ้นมองสองสาว ที่ใบหน้าสะสวยไปคนละแบบอย่างทึ่งๆ
“มีเรื่องอะไรอีกหรือคะ” มะลิฉัตรถามพลางมองดูรูปของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ยังคงดูสง่างามและภูมิฐาน แม้ว่าอายุน่าจะล่วงเลยเข้าวัยห้าหรือหกสิบไปแล้ว ‘นี่คงเป็นรูปเจ้าของโรงแรมสินะ!’
“ผมทราบเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ จากคุณสิรัน และก็เปิดดูกล้องมาแล้ว ผมไม่อยากให้พนักงานมีปัญหากันในที่ทำงาน เพราะมันจะทำให้งานพังและเดือดร้อนเพื่อนร่วมงานที่ออกเวรไปแล้ว ต้องกลับเข้ามาทำงานต่อแทนพวกคุณ ฉะนั้นเพื่อตัดปัญหาทุกอย่าง ผมจะให้คุณทั้งสองคนมาเป็นผู้ช่วยเลขาฯ ที่หน้าห้องแทน พวกคุณโอเคไหม?”
ผู้จัดการหนุ่มยื่นข้อเสนอ ตอนนี้พนักงานทั้งบริษัทกำลังลุ้นผลว่าการที่จันจิราออกโรงปกป้องหลานสาว และฉีกหน้าสิรันที่ห้องทำงาน จนอีกฝ่ายทนไม่ไหวขอยื่นใบลาออกนั้น เขาจะจัดการกับปัญหานี้ยังไง
“เอ่อ... แต่คุณจิราไล่พวกเราออกแล้วนะคะ” พิมาลาท้วงด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ผมเป็นผู้จัดการ คำสั่งของผมถือเป็นที่สุด โอเค้!” ธีรติยกยิ้มนิดเมื่อจ้องมองสาวแกร่ง ที่คอยปกป้องเพื่อนในเทปบันทึกภาพที่สิรันส่งมาให้อย่างขำๆ ‘ท่าทางตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันลิบเลยนะพิมาลา!’
“อะ... โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะที่ยังให้เราสองคนทำงานต่อ” พิมาลายิ้มกว้างอย่างดีใจ
“เอ่อ... มะลิขอไปทำหน้าที่เมดได้ไหมคะ พอดีคุยกับคุณธาริณีมาเมื่อครู่ เห็นว่ากำลังขาดคนอยู่ค่ะ” มะลิฉัตรเอ่ยขอ
“มะลิ!” พิมาลาหันมามองเพื่อนสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าอีกฝ่ายจะขอไปเป็นแม่บ้านทำความสะอาดแทนการเป็นผู้ช่วยเลขาฯ
“เราอยากทำน่ะพิ” มะลิฉัตรหันไปบอกเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณแน่ใจนะ” ธีรติถามย้ำพร้อมกับจ้องสาวตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหู ‘อะไรกัน ให้ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม กลับอยากจะเป็นเมดของโรงแรม’
“ค่ะ” มะลิฉัตรพยักหน้ารับยิ้มๆ
“งั้นก็... ตามนั้นครับ!” ธีรติยิ้มกับท่าทางจริงจังของพนักงานสาว
“เอ่อ... แล้วเราต้องย้ายออกจากหอพักไหมคะ” พิมาลารีบถาม
“ไม่ต้องครับ คุณทั้งสองพักต่อเหมือนเดิม” ธีรติหันมายิ้ม ให้หญิงสาวที่ดูสวยหวาน แต่นิสัยกลับห้าวเกินกุลสตรี
“ขอบคุณค่ะผู้จัดการ” สองสาวยกมือไหว้พร้อมกันอย่างดีใจ
“ผมว่าคุณควรจะขอบคุณคุณสิรันมากกว่านะ เพราะเขาทนดู คุณสองคนโดนไล่ออกไม่ได้ เลยยื่นใบลาออกมาให้ผม ยังไงก็ช่วยเอากลับไปคืน แล้วบอกว่าพวกคุณได้ทำงานต่อด้วยนะครับ”
“ค่ะ” สองสาวน้ำตาคลออย่างซาบซึ้ง เมื่อนึกไปถึงสีหน้าของสิรันตอนที่พวกเธอเดินออกจากห้อง
“คุณทั้งสองคนเริ่มงานได้พรุ่งนี้ใช่ไหมครับ” ผู้จัดการหนุ่มถาม
“ค่ะ/ค่ะ” สองสาวตอบพร้อมกับยกมือไหว้ผู้จัดการหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะพากันเอาใบลาออกไปส่งคืนให้กับหัวหน้าแผนกที่เอ็นดูพวกเธอตั้งแต่ตอนที่มาฝึกงาน กระทั่งได้เข้าทำงานต่อหลังจากที่เรียนจบ จนถึงวันนี้ความรู้สึกที่ศรัทธาในตัวของสิรันยังคงอยู่เสมอ
แผนกต้อนรับ... สิรันที่กำลังเก็บของใช้และเอกสารบางอย่าง ลงกล่องเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องที่เป็นกระจกใส ก็เห็นสองสาวยืนน้ำตาคลอหน่วยอยู่ พลันก็ทำให้รู้สึกจุกที่หน้าอกขึ้นมาอีกครั้ง
“ลืมอะไรเหรอ?” สิรันถามพลางฝืนส่งยิ้มบางๆ ไปให้
“หัวหน้า... ฮือๆๆ” มะลิฉัตรกับพิมาลาโผเข้ากอดหัวหน้าของ พวกเธอ พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างเก็บไม่อยู่
“อะไรกัน พวกเธอร้องไห้ทำไมกันเนี่ย” สิรันถามขณะที่น้ำตาของตัวเองก็ไหลอาบแก้มไม่แพ้สองสาว
“ผะ... ผู้จัดการฝากใบนี้มาคืนค่ะ” มะลิฉัตรบอกพลางส่งกระดาษแผ่นสีขาวให้
‘บ้าจริง! เด็กสองคนนี้รู้เรื่องลาออกงั้นเหรอ’ สิรันถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“หนูได้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยเลขาฯ ค่ะหัวหน้า” พิมาลารีบบอก
“จริงเหรอ!” สิรันยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง แล้วหันมายิ้มให้อย่างดีใจแทน
“จริงค่ะ” พิมาลาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
“แล้วมะลิล่ะ? ได้ทำเหมือนกันใช่ไหม?”
“ค่ะ แต่หนูขอย้ายไปเป็นเมดทำความสะอาดห้องพักค่ะ” มะลิฉัตรบอกก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“ทำไมเหรอ? เกิดอะไรขึ้นมะลิ?” สิรันถามต่ออย่างสงสัย
“พอดีได้คุยกับคุณธาริณีตอนที่นั่งอยู่ฝ่ายบุคคล เลยสนใจอยากจะลองทำดูค่ะ” มะลิฉัตรบอกให้อีกฝ่ายคลายกังวล
“คุณณีใจดีจ้ะ ฉันขอให้เธอสองคนตั้งใจทำงานให้เต็มที่นะ”
“ขอบคุณค่ะหัวหน้า ขอบคุณทุกๆ อย่าง ขอบคุณที่ช่วยพวกหนูค่ะ ฮึก!” มะลิฉัตรบอกพลางน้ำตาไหลทะลักขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้ช่วยหรือเข้าข้างใคร แต่ฉันแค่ทำในสิ่งที่ฉันควรทำเท่านั้น เอาละ! ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปเตรียมตัวสำหรับงานใหม่พรุ่งนี้เถอะ” สิรันบอกพลางหันไปหยิบกระดาษทิชชูส่งให้สองสาว
“ขอบคุณค่ะ” มะลิฉัตรกับพิมาลาเอ่ยก่อนจะรับมาซับน้ำตาที่ยังคงไหลอยู่
“อ้อ! แล้วเดือนนี้จะกลับบ้านที่ชลบุรีไหม?” สิรันรีบเปลี่ยนเรื่อง
“กลับค่ะ” สองสาวพยักหน้ายิ้มๆ
“ก่อนกลับแวะมาเอาของฝากหน่อยนะ พอดีญาติๆ ของฉันเขาจะฝากขนมกับของใช้ไปให้เด็กๆ น่ะจ้ะ”
“ค่ะหัวหน้า” พิมาลาบอกเสียงสั่น
“ขอบคุณค่ะ” มะลิฉัตรยกมือขึ้นไหว้หัวหน้า ที่แม้บางครั้งในเรื่องงานสิรันจะเนี้ยบทุกๆ อย่างตามขั้นตอน แต่อีกฝ่ายไม่เคยพูดจาค่อนขอด หรือบั่นทอนกำลังใจในการทำงานเลยสักครั้ง
“พวกเธอสองคนเป็นเด็กดี ฉันภาวนาให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับพวกเธอ” สิรันบอกพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำที่ไหลรินจากหางตาทิ้ง
“ขอให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับหัวหน้าและครอบครัวเช่นกันค่ะ” พิมาลาบอกก่อนจะเข้าไปกอด
“หนูรักหัวหน้านะคะ” มะลิฉัตรโผเข้ากอดตามเพื่อน
สิรันยิ้มให้เด็กสาวทั้งสองและพูดคุยต่ออีกครู่ ก็ขอตัวออกไปดูแลความเรียบร้อยของงานที่ล็อบบี