ในขณะเดียวกัน
เฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ที่นั่งของเจ้าพ่อไป๋โหย่งอี๋ถูกลูกชายนอกไส้นำมาใช้เพื่อกำจัดลูกสาวแท้ๆ ของนายใหญ่แห่งแก๊งสามพยัคฆ์เพื่อครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นของตน
ใบพัดที่หมุนติดต่อกันมานานกว่าสี่ชั่วโมงจากทะเลทรายจนถึงใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ เริ่มชะลอความเร็วลงก่อนจะค่อยๆ ร่อนลงบนลานกว้างสำหรับใช้จอดเฮลิคอปเตอร์โดยเฉพาะ
ในขณะที่คนบนเครื่องนั่นก็คือไป๋หลันฮวาและหวังเหล่ย กำลังจับจ้องไปที่ร่างของเวรยามจำนวนสี่คนที่กำลังเดินตรงมาทางลานจอดเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าว
“ถ้าเราสองคนจัดการไอ้สี่ตัวนี้ลงแล้วละก็ รับรองว่าคนข้างในแม่งต้องแห่มาข้างนอกแน่ๆ”หวังเหล่ยเอ่ยออกมาก่อนจะได้ยินเพื่อนสาวตอบกลับไป
“นายจะกลัวอะไรอาเหล่ย อย่าลืมสิว่าตอนนี้สมาชิกแก๊งมารวมตัวที่นี่กันหมด แสดงว่าเริ่นเจินมันฝังพ่อที่สุสานเรียบร้อยไปแล้ว เท่ากับว่าระยะเวลาที่เราถูกจับและถูกเอาไปฆ่ากลางทะเลทรายก็ประมาณ 3หรือ4วัน ตอนนี้มันกำลังเรียกประชุมสมาชิกแก๊งเพื่อประกาศว่ามันเป็นหัวหน้าคนต่อไป”หญิงสาวบอกสหายร่วมแก๊งกลับไป
“เธอรู้ได้อย่างไงหลันฮวา ว่าวันนี้ไอ้เริ่นเจินจะประกาศว่ามันคือนายใหญ่คนใหม่”หวังเหล่ยถามกลับไปด้วยความสงสัยกับสิ่งที่เพื่อนสนิทบอกกลับมาเช่นนั้น
พรืดดด!!! ใบหน้าถูกมือเรียวจับให้หันไปมองยังทิศทางที่เต็มไปด้วยป้ายประกาศที่มีทั้งแขวนและตั้งเอาไว้ อยู่รอบๆ บริเวณตั้งแต่ปากประตูรั้วทางเข้าของคฤหาสน์ยาวไปจนถึงห้องโถงด้านใน
“จริงด้วย!แกนี่มันตาไวชะมัดเลยวะ”หวังเหล่ยเอ่ยชม
“ขอบใจ!”หญิงสาวตอบกลับไปสั้นๆ
“แต่ถ้าเก็บไอ้สี่ตัวที่กำลังเดินตรงมาทางเราตอนนี้ พวกที่เหลือมันต้องรีบวิ่งไปรายงานไอ้เริ่นเจินทันที แกอยากจะเปิดตัวแบบอลังการหรืออยากไปแบบนินจากันดีวะ”หวังเหล่ยเอ่ยถามกลับไปเสียงพึมพำ
“ทั้งสองอย่าง!”หญิงสาวตอบกลับไปโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย
“เฮ้ย!หลันฮวาใช้เวลาคิดก่อนก็ได้นะเว้ย อุตสาห์รอดตายจากกลางทะเลทรายมาได้แบบงงๆ แต่จะเอาชีวิตมาทิ้งง่ายๆ ให้กับเริ่นเจินมันฆ่าเล่นอย่างนั้นเหรอ”หวังเหล่ยถามกลับไป
“ก็ใครบอกว่าไม่ได้คิด นายมัวแต่โวยวายแบบนี้เสียเวลาไปหนึ่งนาทีก็ช้าไปไม่รู้กี่ก้าวแล้ว ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันลืมตาขึ้นมาดูโลกและโตมากับคฤหาสน์นี้ ทุกซอกทุกมุมในบ้านรวมไปถึงทางหนีลับๆ ของพ่อที่ทำเอาไว้หนีกบดานตำรวจฉันรู้หมดนั้นแหละ รีบตามมาดิเสียเวลาอยู่ทำไม!”ไป๋หลันฮวาต่อว่าเพื่อนร่วมแก๊งกลับไป พลางรีบเปิดประตูเฮลิคอปเตอร์อีกฝั่งรีบลงไปจากเครื่องทันที
“เออใช่!จริงด้วยลืมไปได้อย่างไง”หวังเหล่ยเอ่ยออกมาเมื่อนึกขึ้นได้พร้อมรีบเปิดประตูฝั่งทางตนรีบลงจากตัวเครื่องอย่างรวดเร็วตามเพื่อนสาวของเขาไปติดๆ
ในขณะที่พระวรกายล่องหนของแม่ทัพในตำนานทรงได้ยินถ้อยเจรจาของไป๋หลันฮวาทุกอย่าง พระองค์มิรอช้ารีบรุดก้าวตามนางไปอย่างทันท่วงที
ฟิ้ววว!!! ดั่งสายลมพาดผ่าน ครั้นพระวรกายใหญ่พระดำเนินผ่านหน้าไป๋หลันฮวาไปอย่างรวดเร็วก่อนจะมาหยุดยืนเคียงข้างกัน ในขณะที่อีกฝ่ายรู้สึกสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังวนเวียนอยู่ใกล้เธอในขณะนี้
“ทำไมถึงรู้สึกว่ามีลมพัดผ่านหน้าเราไปเมื่อกี้ รู้สึกเหมือนมีใครจับจ้องและอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาเลยแฮะ”หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจพลางสำรวจไปทั่วรอบกายเธอ
ท่ามกลางสายตาของหวังเหล่ยกำลังมองด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นท่าทีดังกล่าวของหญิงสาวแสดงออกมาเช่นนั้น
“มองหาอะไรหลันฮวา!”หวังเหล่ยถามกลับไปทันที
“เปล่า! ไม่มีอะไรหรอกฉันก็แค่กำลังมองว่าจะไปทางไหนดี”หญิงสาวพูดปดกลับไป
“มองหาทางจริงๆ นะเหรอ แต่เมื่อกี้ฉันเห็นแกกำลังมองสำรวจรอบตัวเองอยู่นะ”หวังเหล่ยถามย้อนกลับไปทันที
ใบหน้าสวยคมเซ็กซี่พยักหน้าขึ้นลงติดต่อกัน ครั้นได้ยินเช่นนั้น
“มันก็ต้องมองรอบตัวเองดิ ว่าตัวฉันจะลงไปข้างล่างตรงนี้ได้หรือเปล่า”หญิงสาวพูดพร้อมชี้ลงไปที่สัญลักษณ์กากบาทสีขาวสลับแดงมิให้นำสิ่งใดมาจอดกีดขวางบริเวณนั้น
“นี่แกกำลังบอกว่าใต้ล่างนี้มีทางลงไปอย่างนั้นเหรอ”หวังเหล่ยถามกลับไปทันใด
“ใช่! ถ้าลงไปทางนี้จะไปโผล่ในเสาด้านซ้ายหรือด้านขวาของห้องโถง อยู่ที่ว่าจะเลือกไปโผล่ที่เสาไหน ตลอดระยะทางที่เดินไปพ่อจะซ่อนปืนกับกระสุนเอาไว้ตามกำแพง เพื่อให้หยิบใช้ช่วยเหลือตัวเองได้เพราะฉะนั้นไปกันได้แล้ว”
ไป๋หลันฮวาพูดพร้อมกระโดดขึ้นลงติดต่อกันจนครบ 9 ครั้ง ทว่าทางลงดังกล่าวมิได้เปิดกันได้ง่ายๆ ด้วยอดีตเจ้าพ่อใช้วิธีการเปิดน้ำหนักตัว 85 กิโลกรัมซึ่งจะต้องเท่ากับพ่อของเธอกระโดดขึ้นลงให้ครบ 9 ครั้งนั้นเอง
“แย่แล้วเปิดไม่ได้!!!”หญิงสาวบ่นออกมาทันที
“ทำไมถึงเปิดไม่ได้ละเกิดอะไรขึ้น”หวังเหล่ยถามกลับไปพลางหันกลับไปมองเวรยามจำนวนสี่คนกำลังเดินตัดสนามหญ้าใกล้มาถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์เข้าไปทุกขณะ เหลืออีกไม่ถึง 200 เมตรก็จะถึงที่หมายแล้ว
“พ่อใช้น้ำหนักของตัวเองและต้องกระโดดขึ้นลงให้ครบ 9 ครั้ง พื้นมันจึงจะเปิดออกได้ ระบบข้างล่างมันออกแบบเอาไว้แบบนั้น ลืมคิดข้อนี้ไปเลยวะ เอาไงดีละที่นี้”
“โอโห่!แทนที่จะทุ่นแรงไม่ต้องเสียเหงื่อ นี่กลายเป็นว่าต้องลงมือลุยตั้งแต่ตรงนี้นะสิ กว่าจะถึงห้องโถงหมดแรงกันพอดีแม่คุณ”หวังเหล่ยบ่นพึมพำออกมา
ในขณะที่แม่ทัพในอดีตทรงยืนเคียงข้างอยู่กับไป๋หลันฮวาตลอดเวลา พระองค์ทอดพระเนตรเหตุการณ์และได้ยินทุกอย่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ในขณะนี้
“เบื้องล่างคือสิ่งใดหลบซ่อนอยู่ เหตุใดนางจึงมีท่าทีผิดหวังเช่นนั้น”รับสั่งอยู่ในพระทัย
พระวรกายล่องหนก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงสัญลักษณ์กากบาทที่พ่นด้วยสีขาวและสีแดงพร้อมใช้พระบาทเหยียบขึ้นเหยียบลงเพื่อลองสัมผัสดูบ้าง
กึก!กึก!กึก! พื้นด้านล่างจู่ๆ ก็ขยับขึ้นลงไปมาได้เองท่ามกลางสายตาของไป๋หลันฮวาและหวังเหล่ยต่างเห็นเช่นเดียวกัน หากแต่ยังไม่ทันเอ่ยถ้อยคำใดออกมา พื้นด้านล่างก็ขยับขึ้นตัวลงอย่างแรงราวกับว่ากำลังมีใครบางคนกระโดดอยู่นั่นเอง
ตุบ!ตุบ!ตุบ!ตุบ! พระวรกายล่องหนกระทืบพื้นเบื้องล่างขึ้นลงตามที่ทรงได้ยินทั้งสองสนทนากัน โดยมิล่วงรู้เลยว่าทรงมีน้ำหนักเท่ากับอดีตเจ้าพ่อไป๋โหย่งอี๋ด้วยความบังเอิญ แตกต่างตรงที่พระองค์ทรงมีพระวรกายสูงกว่ามากเท่านั้นเอง
ครืดดด!!! ทันทีที่พระวรกายล่องหนกระทืบพื้นดังกล่าวจนต่อเนื่องครบ 9 ครั้งอย่างไม่ตั้งใจ พื้นที่เคยปิดสนิทอยู่ในขณะนั้นแยกออกจากกันทันใดพร้อมพระวรกายร่วงหล่นลงไปยังช่องดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
วงองค์ใหญ่ลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่างที่มีความลึกไม่ต่ำกว่าห้าเมตรพระองค์ทอดพระเนตรพื้นเบื้องล่างที่ทอดยาวลึกลงไปพอสมควรก่อนจะรีบหมุนพระวรกายคว้างดั่งลูกข่างเพื่อลงสู่พื้นด้วยความปลอดภัย
ตุบ! องค์ชายในอดีตประทับยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ สามารถทอดพระเนตรทางเดินขนาดสองเมตรยาวตรงไปเบื้องหน้ามิรู้ว่าจะสิ้นสุดที่ไหน ก่อนจะแหงนพระพักตร์ทอดพระเนตรเบื้องบนเมื่อทรงได้ยินเสียงของสตรีโฉมงามที่พระองค์เฝ้าตามติดนางอยู่ตลอดเวลาดังแทรกขึ้น
“เฮ้ยเปิดออกแล้ว! เปิดได้อย่างเนี่ย”ไป๋หลันฮวาพูดพร้อมรีบก้าวลงไปข้างล่างที่เห็นเป็นบันไดไต่ลงไปอย่างรวดเร็ว
“รีบตามลงมาเร็วๆ เข้าอาเหล่ย”หญิงสาวหันกลับไปบอกเพื่อนร่วมแก๊งด้วยความดีใจ
ร่างสันทัดรีบสอดตัวไต่ตามเพื่อนสาวลงไปอย่างไม่รอช้า พร้อมพื้นที่แยกออกจากกันเมื่อครู่ที่ผ่านมาเลื่อนปิดตัวเข้าหากันตามเดิม ทันทีที่พื้นเลื่อนปิดตัวลงจนสนิทหญิงสาวเอื้อมมือไปกดแผงวงจรที่ติดตั้งอยู่ตรงกำแพงเพื่อเปิดไฟตามรายทางให้เห็นทางเดินได้อย่างชัดเจน
พรึ่บ! แสงไฟจากหลอดนีออนมากมายพลันปรากฏแสงสว่างขึ้นมาทันที ท่ามกลางสายพระเนตรของแม่ทัพในตำนาน ทรงยืนทอดพระเนตรด้วยความสนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทอดพระเนตรดวงไฟแปลกประหลาดส่องแสงไปตลอดทางเดินที่ทอดยาว
“แคว้นนี้ช่างมีสิ่งแปลกประหลาดที่ข้าไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิตมากมายยิ่งนัก บ้านเมืองสูงเสียดฟ้าทัดเทียมกับขุนเขา มิหนำซ้ำดวงไฟมีหลากสีมากมายยังปรากฏให้เห็นไปทั่วทุกมุมเมืองช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียนี่กระไร”รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัยโดยมิเปล่งพระสุรเสียงออกมาแม้แต่น้อย ทรงตั้งพระทัยจะปรากฏพระวรกายเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
ในขณะที่ด้านบนในเวลานี้เวรยามทั้งสี่นายเดินมาถึงเฮลิคอปเตอร์ ก่อนจะพากันหยุดยืนด้วยความสงสัยระคนแปลกใจกันอย่างถ้วนหน้าเมื่อมิเห็นผู้ใดอยู่บนเครื่องแม้แต่คนเดียว ต่างพากันเดินวนไปวนมารอบตัวเครื่องอยู่หลายรอบครั้นมองไม่เห็นผู้ใด
“เป็นไปได้อย่างไงวะ เฮลิคอปเตอร์มาลงจอดแต่ไม่มีเห็นมีใครลงมาสักคน เมื่อกี้ยังเห็นเหมือนมีคนนั่งอยู่ตรงแผงควบคุมอยู่เลย ตกลงพวกเรากำลังเห็นอะไรกันแน่”เสียงนั้นบ่นพึมพำพลางหันกลับไปมองเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน
“เฮลิคอปเตอร์ลำนี้หัวหน้าใหญ่ชอบมากไม่ใช่เหรอ เวลาไปไหนไกลๆ ชอบเอาแต่ลำนี้ขึ้นบินมากกว่าลำอื่นๆ ขนาดมีตั้งหลายลำหรือว่า...”เพื่อนที่มาด้วยกันเอ่ยแสดงความคิดเห็นออกมา
และนั่นทำให้เวรยามทั้งสี่คนต่างหันกลับมามองหน้ากันทันที ดวงตาฉายแววความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อแต่ละคนเริ่มมีความคิดเห็นตรงกัน
“ผะ..เผ่นก่อนเถอะวะ!สงสัยหัวหน้าใหญ่คงจะมาร่วมงานคืนนี้แน่ๆ”กล่าวพร้อมทั้งสี่นายรีบหันหลังกลับทันทีและไม่ยอมหันกลับมามองทางด้านหลังอีกเลย