EPISODE 8 [ไปคุยกันหน่อย]

1746 คำ
เ(ฉ)พาะช่างขังรัก MDL STORY (SS2) EPISODE 8 [ไปคุยกันหน่อย] ณ สนามแข่ง RVB เขต ริเวอร์เบย์ ว่ากันว่าพอเราเรียนรู้สิ่งหนึ่งมากขึ้นก็จะทำให้เราเข้าใจสิ่งนั้นได้ง่ายและละเอียดถี่ถ้วนขึ้น สำหรับฉันพี่ภารัณก็เช่นกัน ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นก็ทำให้ฉันรู้จักตัวตนของเขามากขึ้น ฉันขยับยิ้มจาง ๆ เมื่อเห็นว่าปลายนิ้วของเขากระดิกส่งสัญญาณให้กับพวกพี่เดี่ยว เพียงแค่นั้นทั้งสองคนก็หันมองตากัน ก่อนที่พี่บาสจะเป็นฝ่ายเปิดก่อน “จริงสิบีจ๋าตอนพี่ไปซื้อกาแฟพี่น่ะ…” “พะแนงหมดสนุกแล้วค่ะ ท่าทางคุณม๊าก็คงจะไม่กลับมาที่นี่แล้วด้วย พี่เดี่ยวรบกวนไปส่งพวกเราสามคนที่มอได้ไหมคะ ยัยวาจะได้ไปเอารถด้วย” ฉันพูดขึ้นโดยไม่คิดจะรอฟังอุบายของพี่บาส ที่หันไปมองหน้าพี่ภารัณทันที “อ่าว! คนสวยจะกลับเลยเหรอ” พี่บาสพึมพำ แล้วยิ้มเจื่อนให้ฉัน ที่ฉันดันรู้ทันมุกช่วยเพื่อนของเขา “พี่ไปส่ง” พี่ภารัณพูดขึ้น รั้งไหล่พี่เดี่ยวที่ทำท่าจะพูดอะไรอีกคน เขาคงรู้สินะว่าการขอความช่วยเหลือครั้งนี้ได้ล้มเหลวแล้ว “ไม่ไปดูรถต่อเหรอคะ” ฉันย้อนถาม “ทำไมงอนนาน” พอฉันว่าไปแบบนั้น เขาก็ได้แต่ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ และคำพูดของพี่ภารัณก็ทำให้พวกเด็กเฉพาะช่างที่เพิ่งมาถึงได้แต่มองมาที่ฉันอย่างหาคำตอบ “ไอ้สองบรรยากาศมาคุเหรอวะ ทำไมคนสวยไซโคเฮียขนาดนั้น” ต้นป้องปากกระซิบเสียงดัง “มึงไม่ต้องป้องปากก็ได้มั้ง ถ้าจะพูดดังขนาดนั้น” บิวว่า แล้วส่ายหน้าอย่างระอาต้น “ก็กูอยากเสือก ใครก็ได้ตอนนี้ เล่าให้กูฟังที” ต้นหันไปตอบเพื่อน “น้องแนนนี่เป็นเหตุสังเกตได้” สองพึมพำ “แนนนี่ตัวท็อปริเวอร์เบย์เหรอวะ กูเหมือนเห็นเดินอยู่ฝั่งทีมดาวน์ทาวน์แว๊บ ๆ” ริวกระซิบถามเพื่อน ซึ่งเสียงก็ดังไม่ต่างกันนัก “พวกมึงไม่มีที่จะไป?” สุดท้ายพี่ภารัณก็หันไปส่งเสียงขุ่นใส่รุ่นน้องของเขา ที่พยายามจะจุดไฟให้ฉัน “บ้า! ที่เยอะแยะ พวกผมกำลังจะไปเลยเนี่ย” ต๊อดโพล่งขึ้นทันที “ใช่เลยเฮีย พวกผมจะไปดูพวกเฮียโซ่พอดี ไอ้สองเนี่ยแหละมัวแต่ถ่วง” บิวว่าสมทบก่อนจะลากแขนเพื่อน ๆ ออกจากเต้นท์ไป เพราะคงเห็นพี่ภารัณเริ่มหงุดหงิดแล้วจริง ๆ “งั้นพี่ว่าพวกเราก็กลับกันเลยเนอะ พะแนงก็ให้ไอ้รันไปส่งแล้วกัน พี่ก็จะพาเอวากลับไปเอารถ” พี่เดี่ยวรีบตัดบทส่งฉันใส่พานให้เพื่อนเขาทันที ส่วนฉันก็ได้แต่ช้อนสายตามองหน้าเจ้าของเส้นผมสีเทาควันบุหรี่ที่มองมายังฉันนิ่ง “ไปสิคะ” ฉันว่า ทำให้พี่ภารัณรีบเข้ามาคว้ากระเป๋าของฉันไปถือ ก่อนหันไปพยักหน้าให้เอวาและบีบีเป็นเชิงรู้กันว่าจะแยกกันไป พี่ภารัณเดินถือถุงขนมถุงใหญ่ที่ไม่รู้ว่าซื้ออะไรมาบ้าง และกระเป๋าสะพายของฉันไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกลจากจุดตั้งเต้นท์ของทีมเขตนัก ระหว่างนั้นฉันก็เหลือบไปเห็นกลุ่มของผู้หญิงที่ชื่อแนนนี่อะไรนั่น ที่เดินออกมาจากสนามแข่งเช่นกัน และรถของพวกเธอก็จอดถัดไปจากรถของพี่ภารัณแค่สองสามคันเท่านั้น พอเธอหันมาเจอฉัน ก็พากันหยุดยืนมองทันที นั่นทำให้ฉันปรายหางตาไปมองต้นเรื่องที่ยังคงไม่รู้ว่าสาว ๆ ของเขาอยู่แถวนี้ด้วย “พี่รัน! พะแนงร้อนค่ะ” ฉันหยุดฝีเท้าลง แล้วส่งเสียงบอกพี่ภารัณที่กำลังล้วงเอากุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกง “ถอดดิ” เขาพึมพำ เปิดประตูห้องโดยสารเพื่อเอากระเป๋ากับถุงขนมเก็บ ฉันเลยรูดซิปถอดเสื้อแจ็คเก็ตของพี่ภารัณออก และส่งมันคืนให้เจ้าตัว “...” หมับ! “โอ๊ะ! พี่จะทำอะไร” ฉันแสร้งส่งเสียงตกใจ เมื่อพี่ภารัณหันกลับมามอง แล้วจู่ ๆ เขาก็รั้งเอวฉันเข้าไปใกล้ “ทำไมติดไม่หมด” เขาถามขึ้น สายตาคมหลุบมองกระดุมเม็ดบนสุดที่ปลดอ้าออกจนเห็นเนินอกของฉันที่มีรอยคิสมาร์คของเขาปรากฏอยู่ “พะแนงคงรีบไปหน่อยคะ พี่ช่วยติดให้พะแนงหน่อยได้ไหม” ฉันถามแล้วช้อนสายตาขึ้นมองสบตาเขา ที่ขยับยิ้มจาง ๆ ให้เห็น “ถนัดถอด ไม่ถนัดติด” เขาว่าน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แต่ก็ยกมือขึ้นมาติดกระดุมเสื้อให้ฉัน ขณะนั้นฉันก็เห็นว่าสายตาของพี่ภารัณได้เหลือบมองเลยไปทางด้านหลัง ภาพที่สะท้อนในแววตาคู่คมของเขา คือกลุ่มของหญิงสาวจากริเวอร์เบย์ นั่นทำให้ฉันยกยิ้มน้อย “โอ๊ะ! ท่าทางจะหัวเสียน่าดู” ฉันพึมพำ แล้ววาดปลายนิ้วไปตามลอนกล้ามท้องของเขาที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีเข้ม “ร้ายนะ” เขาว่า หลุบสายตามามองหน้าฉันนิ่ง “เปลี่ยนใจยังทันนะ พะแนงไม่บังคับ” ฉันตอบอย่างคนใจกล้า มองสบตากับพี่ภารัณนิ่ง ทำให้เขาดุนลิ้นกับกระพุ้งแก้มราวคนไม่พอใจขึ้นมา “พูดไม่เข้าหู” พี่ภารัณว่าเสียงขุ่นลอดไรฟัน แล้วเปลี่ยนมารั้งข้อมือฉันให้เข้ามานั่งในรถ ส่วนเขาที่พาตัวเองมานั่งประจำอยู่ที่หลังพวงมาลัย ก็จัดการสตาร์ทรถ แล้วพาฉันออกจากสนามแข่ง โดยไม่พูดจาอะไรอีก ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นเขาหงุดหงิด เพราะเดาออกว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องระหว่างเรา และรู้ด้วยว่าการพูดออกไปแบบนั้น อาจจะทำร้ายความรู้สึกพี่ภารัณได้เช่นกัน แต่นั่นก็เพราะฉันต้องการให้เขารู้ว่า ฉันก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่เฉย ๆ หรือรอให้เขาเป็นฝ่ายจากไปก่อน ฉันเองก็เป็นฝ่ายที่สามารถเลือกได้เช่นกัน ณ เขต MDL ท้องถนนในช่วงหัวค่ำ ที่การจราจรในเขตเมืองยังคงคลาคล่ำไปด้วยยวดยานมากมาย ไฟสัญญาณจราจรสีแดงที่ด้านบนกำลังขึ้นตัวเลขสีเขียวนับถอยหลังบ่งบอกว่าอีกไม่นานเราจะได้หลุดพ้นจากเส้นทางแน่นขนัดสายนี้แล้ว ความเย็นของแอร์ที่เป่ารดลงบนผิวกาย ทำให้ฉันยกมือขึ้นลูบขนแขนตัวเองที่ลุกชัน “ใส่ไว้” พี่ภารัณที่เอี้ยวตัวกลับไปหยิบเสื้อมาส่งให้ ยังคงตีสีหน้านิ่งเรียบใส่ฉันไม่เปลี่ยน ท่าทางเขาจะหงุดหงิดไม่หายแฮะ และเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาก็ตีไฟเลี้ยวซ้ายทันที “ทำไมพี่ไม่ไปส่งพะแนง” ฉันถามขึ้น เพราะเส้นทางนี้มันเป็นเส้นทางที่จะไปคอนโดฯของเขาชัด ๆ “ไปคุยกันหน่อย” เขาเสียงขุ่น ไม่หันมามองกันแม้แต่น้อย “พะแนงอยากกลับบ้านแล้ว” ฉันแย้ง ทำให้พี่ภารัณเหยียบคันเร่งแซงรถสิบแปดล้อคันข้างหน้าอย่างหวาดเสียว ทำฉันถึงกับกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่น เมื่อเขาเอาแต่ขับปาดซ้ายปาดขวาแซงรถชาวบ้าน จนได้ยินเสียงแตรที่บีบไล่หลังมา “...” “พี่รัน! นี่ต้องเหยียบขนาดนี้เลยเหรอ มันอันตรายนะ!” ฉันหันไปต่อว่าเขา แต่เขากลับเร่งเครื่องเร็วกว่าเดิม นี่ทำใส่กันสินะ! คนบ้านี่คิดจะยั่วโมโหฉันใช่ไหม “...” “ไอ้พี่รัน! ขับช้า ๆ เลยนะ ว้าย! พี่ไปเบียดรถคันนั้นทำไมมันอันตรายนะ ถ้าเขาตกใจจนเสียหลักขึ้นมาล่ะ” ฉันส่งเสียงโวยวายอีกครั้งเมื่อเขาเร่งเครื่องไปเบียดกับรถบรรทุกอีกแล้ว “ไหนว่ารีบกลับ เร่งให้แล้วนี่ไง” เขาพูดเสียงเรียบ ปรายหางตามามองฉันแวบหนึ่ง “ได้! พะแนงไปก็ได้ แต่พี่ขับช้า ๆ ได้ไหม พะแนงจะหัวใจวายตายแล้วเนี่ย” ฉันบอกเขา และเห็นว่ามุมปากบางสวยของพี่ภารัณกระตุกยิ้มน้อยราวพอใจที่ฉันบอกว่าจะไปกับเขา เชื่อเลย! อีตาผู้ชายหน้ามึนนี่ ไม่นานพี่ภารัณก็ขับรถวนขึ้นมาจอดที่ลานจอดชั้นบนของคอนโดฯ ซึ่งฉันไม่เคยรู้เลยว่าคอนโดฯนี้มีชั้นจอดพิเศษด้วย มันแบ่งเป็นช่องคล้ายโรงรถที่มีประตูม้วนเปิดปิดอัตโนมัติ รถยนต์ของพี่ภารัณที่แล่นเข้ามาจอดในช่องจอดวีไอพี หลังจากเขากดรีโมทเปิดประตู ไม่ได้ถูกเจ้าตัวดับเครื่องยนต์แต่อย่างใด สิ่งที่เขาทำคือหันไปกดรีโมทปิดประตูโรงรถ และกดเปิดไฟที่มีเพียงดวงเดียว นั่นทำให้ฉันอดถามเขาไม่ได้ “พี่ปิดประตูทำไมคะ แล้วมองหน้าพะแนงแบบนั้นหมายความว่าไง พี่มีความผิดอยู่นะ” ฉันละล่ำละลักพูด เมื่อรู้สึกว่ากราฟความปลอดภัยของตัวเองมันดิ่งลงทุกที ๆ “ไม่เชื่อไม่ใช่ มานี่มา…เดี๋ยวบอกให้” พี่ภารัณพูดขึ้นพร้อมตบมือลงบนหน้าขาของตัวเอง แต่ท่าทางนั้นมัน… “บอกตรงนี้ก็ได้ ทำไมต้องไปตรงนั้นด้วย” ฉันแย้ง แล้วเหลือบมองไปยังรีโมทประตูโรงรถ แต่พี่ภารัณก็ตาไวไม่น้อย เพราะเขาจัดการเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงทันที “มานี่มา” เขาบอกย้ำ สายตาคู่คมที่มองมายังฉันนิ่ง ทำให้ฉันเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องแล้วสิ “พี่ทำพะแนงอารมณ์ไม่ดีนะ” ฉันเตือนเขา จู่ ๆ ทำไมเกมพลิกได้ล่ะเนี่ย “อารมณ์ไม่ดียังไงไหนมาบอกตรงนี้” พี่ภารัณว่าเสียงเรียบ นี่ฉันลืมไปได้ยังไง ว่าเขาชอบตอบคำถามฉันด้วยวิธีไหน บ้าจริง!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม