“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณมินตรา คุณดาริน” เขาทวนชื่อสองสาวด้วยน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง
จากนั้นก็หันกลับมาที่ภาพวาด พร้อมกับควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจากประเป๋ากางเกง ดึงนามบัตรออกมาสองใบ แล้วยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าคนละใบ
ดารินรีบรับมาอ่าน ต่างจากมินตราที่ยื่นมือออกไปรับนามบัตรมาจากมือของเขาช้าๆ เธอไม่ได้แสดงความสนใจถึงกับต้องอ่านในทันทีทันใด กระทั่งเขาเอ่ยขึ้น
“ผมสนใจภาพวาดของคุณ”
“คะ…” มินตรารู้สึกตกใจไม่น้อยไปกว่าดารินที่ทำตาโตขึ้นมาทันทีกับประโยคที่ได้ยินเต็มสองหู
“เอาเป็นว่าถ้าคุณสนใจ ผมจะว่าจ้างให้คุณเขียนรูปตกแต่งรีสอร์ทกับโรงแรมของผม”
คำว่า ‘โรงแรมของผม’ ทำให้มินตรายิ่งรู้สึกแปลกใจเข้าไปใหญ่ ทว่าก็อดดีใจไม่ได้ หากจริงอย่างที่เขาพูด เพราะอย่างน้อยเธอก็จะมีรายได้จากการเขียนรูปให้เขา เก็บเป็นทุนรอนเอาไว้ใช้สอยในระหว่างที่กำลังหางาน
“เอ่อ…คุณต้องการกี่รูปคะ” มินตรานึกสงสัย เพราะชายหนุ่มยังไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรเลย
“อืม…เริ่มจากรีสอร์ตก่อนละกัน” เขากล่าวพร้อมกับหยุดคิดในช่วงสั้นๆ เอาจำนวนห้องที่รีสอร์ตตั้งและคูณด้วยจำนวนภาพที่จะใช้
“ถ้าเฉพาะรีสอร์ต ห้องรับแขก ระเบียง เรสต์รูม ก็หลังละ 3 ภาพ 50 หลัง ก็ราว 150 โดยประมาณนะครับ” เขา
คำนวณออกมาคร่าวๆ ด้วยความรวดเร็ว ตอบออกมาขณะที่สีหน้าครุ่นคิด
“หา…” คนที่อุทานออกมาก่อนกลับเป็นดาริน
“150 ภาพ มันเยอะมากนะคะ” น้ำเสียงของมินตราเต็มไปด้วยอาการตกใจ
“นี่เฉพาะรีสอร์ท…ยังไม่รวมโรงแรม”
“เอ่อ…ฉันเกรงว่าจะทำได้ไม่ทัน” แม้แววตาคมประกายไม่อาจซ่อนอาการดีใจเอาไว้ได้ ทว่าในใจกลับนึกเป็น
กังวล เพราะเธอรู้ดีว่าจำนวน 150 ภาพ เอาเข้าจริงๆต้องใช้เวลาวาดหลายเดือน
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลครับ ผมให้เวลาคุณเต็มที่ อยากให้งานออกมาดีที่สุด อืม…เดี๋ยวโทรมาคุยรายละเอียดกัน
เบอร์ผมอยู่ในนามบัตรนะครับ” เขาย้ำ กล่าวพลางยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาโรเล็กซ์สีทองเรือนหรูที่คาดอยู่บนข้อมือ ราวกับว่ามีนัดหมายเร่งด่วนรออยู่
ไม่นานจากนั้น ความสงบรอบๆหาดทรายบริเวณนั้น ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงกระหึ่มจากเครื่องยนต์ของเรือสปีด
โบ๊ทคันใหญ่สองลำ กำลังแล่นฉิวตรงมาด้วยความเร็วสูง เข้ามาจอดใกล้ๆกับจุดที่ชายหนุ่มชื่อกันต์ยืนอยู่
“คุณหนูครับ...ได้เวลากลับแล้วครับ” ชายสูงวัย ร่างเล็ก ผิวคล้ำ ยื่นใบหน้าออกมาจากเรือ พร้อมกับตะโกนเรียก
“ขอตัวก่อนนะครับ”
กันต์ส่งยิ้ม แลเห็นไรฟันขาว ก้าวยาวๆลงไปที่หน้าหาด ลุยน้ำไปยังเรือสปีดโบ๊ทที่จอดรออยู่ไม่ไกล ตรงจุดที่ใบพัดจากท้ายเรือสามารถถอยเข้ามาจอดเทียบได้ใกล้ที่สุดโดยไม่ติดพื้นทราย
จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เสี้ยวอึดใจสั้นๆเรือสองลำก็พากันหายลับไปหลังทิวเขาทะมึน ทิ้งเอาไว้เพียงริ้วลายเป็นทาง ทอดยาวอยู่บนพื้นน้ำ ไว้ให้ดูต่างหน้า
“ได้ยินเหมือนฉันไหม...อีตาบ้านั่นเป็นคุณหนู” มินตราเปรยขึ้นลอยๆ หันไปมองหน้าเพื่อนสาวเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง หากตำแหน่ง Managing Director ที่ปรากฏอยู่ในนามบัตร ก็ช่วยยืนยันทุกอย่างจนไม่หลงเหลือความคลางแคลงใดๆให้ต้องสงสัยในตัวเขา ทว่ามินตรากับดารินก็อดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากันด้วยความงุนงง
“เป็นเอ็มดีตั้งแต่ยังหนุ่มแบบนี้ สงสัยเป็นทายาทมหาเศรษฐีแน่ๆเลยแก” ดารินสันนิษฐานไปตามที่เห็น
มินตราไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกไป ในใจคิดเพียงว่า ‘นายกันย์’ คนนี้ ไม่รู้ว่าจะเชื่อถือได้สักแค่ไหน อดคิดไปในทางร้ายไม่ได้ว่าอาจเป็นพวกสิบแปดมงกุฏ ยังไงต้องลองโทรไปตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่ารีสอร์ตตามนามบัตรที่ถืออยู่ในมือนั้นมีอยู่จริง
ที่บ้านหลังเล็กริมคลอง ตั้งอยู่บนเนื้อที่แคบๆ อาศัยเนินดินริมคันคลองเป็นที่ปลูกสร้าง ล้อมรอบไปด้วยดงกล้วยน้ำว้าและต้นมะพร้าว ถัดไปด้านหลังเป็นป่าละเมาะรกร้าง เนื้อที่กว้างใหญ่ เป็นที่ดินของเศรษฐีรายหนึ่งที่ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้รอให้ราคาที่ดินพุ่งขึ้นจนเป็นที่พอใจ
ด้วยมุ่งหวังในราคาของที่ดินซึ่งแพงลิบลิ่วขึ้นทุกวัน ทำให้เจ้าของมองข้ามรายได้อันจะเกิดจากการใช้ที่ดินเพื่อการเพาะปลูก แลออกไปจึงเห็นแต่ความรกร้างปรากฏแก่สายตา มีเพียงมะม่วงสามสี่ต้นที่ปลูกทิ้งเอาไว้ มันออกผลดกดื่นทุกปี หากก็ร่วงและสุกงอมคาต้นไปเอง บ้างก็เป็นอาหารให้กับนกหนูที่อาศัยอยู่แถวนั้น ไร้วี่แววว่าเจ้าของที่ดินจะมาสนใจใยดีกับผลผลิตอันน้อยนิดเหล่านั้น
มีหลายครั้งที่มินตรานึกอยากจะปีนข้ามรั้วเพื่อไปเก็บมะม่วง ทว่ายุพาผู้เป็นมารดาก็ห้ามไว้ ไม่อยากให้ใครมองว่าครอบครัวเธอลักขโมย ซึ่งถ้าเธอจะไปเก็บเอามาขาย ก็คงไม่มีใครว่า เพราะเจ้าของสวนเองก็ไม่เคยมาสนใจใยดี
เมื่อมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีร่างของมินตราเป็นคนซ้อนท้าย วิ่งเข้ามาจากหน้าปากซอยได้ชั่วอึดใจ ก็มาถึงหน้าบ้านหลังน้อย มินตราส่งเงินให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างโดยไม่ได้ถามราคา เพราะความที่เธอนั่งมอเตอร์ไซค์เป็นประจำจนคุ้นชินกับราคาค่าโดยสาร
“กลับมาแล้วค่ะแม่” เสียงใสตะโกนบอกคนที่อยู่ในบ้าน ให้รับรู้ถึงการมาของเธอ สองมือหอบหิ้วของฝากพะรุงพะรัง เป้สีดำใบย่อม สะพายไว้ด้านหลัง
“มินใช่ไหมลูก” เสียงของยุพาผู้เป็นแม่ที่กำลังง่วนงุ่นอยู่กับงาน ตะโกนออกมาจากหลังครัว กลิ่นใบตองจากขนมใส่ไส้ที่กำลังนึ่งอยู่ในซึ้ง กอรปกับกลิ่นควันฝืนที่โชยมาแตะต้องปลายจมูก ทำให้หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าแม่กำลังนึ่งขนม
“ทำอะไรอยู่คะแม่” มินตราถาม ทั้งที่ก็พอจะเดาได้
“กำลังนึ่งขนมอยู่จ้ะ”
“ไหนว่าจะหยุดสามวันไม่ใช่หรือคะแม่” มินตราเอ่ยถามด้วยความสงสัย ขณะก้าวเข้ามาในบ้าน วางถุงกุ้งแห้ง หอยดองในขวด ปลาหมึกตัวแบนบางที่เรียงซ้อนกันอยู่ในถุงพลาสติกใสพองลม พร้อมๆกับวางเป้สะพายใบย่อมลงช้าๆ