ยุพาชะแง้ใบหน้าออกมาจากหลังครัว ยกหลังมือขึ้นเกลี่ยช่อผมบางส่วนที่ร่วงระลงมาบดบังใบหน้า จากนั้นก็เหลียวกลับไปก้มยกซึ้งอลูมิเนียมที่ใช้นึ่งขนมลงจากเตาฟืนช้าๆ เอามาวางลงบนแคร่ไม้ไผ่ ยกหลังมือขึ้นปาดสายเหงื่อที่รินเรี่ยตรงหน้าผากอีกครั้ง จากนั้นจึงหันมากล่าวกับลูกสาว
“ทีแรกแม่ก็กะว่าจะหยุดพักสักสามวัน เอาเข้าจริงๆก็นึกเสียดาย รายได้หดหายไปสองวัน แม่รู้สึกว่าขาดทุนยังไงพิกล”
“ก็อย่าไปคิดอย่างนั้นสิแม่”
“ไม่คิดไม่ได้...อาชีพแม่ค้าก็รู้ๆกันอยู่ ว่าหาเช้ากินค่ำ เราไม่มีเงินเดือนให้รอให้คอยเหมือนพวกข้าราชการ วันไหนทำ ก็ได้เงิน ไม่ทำก็ไม่ได้เงิน”
“จริงแม่”
“ว่าแต่เอ็งเถอะ...รีบหาการหางานให้ได้ วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องมาเป็นแม่ค้าขนม แม่ไม่อยากเห็นเอ็งต้องกลายมาเป็นแม่ค้าต่ำต้อยอย่างแม่” ยุพากล่าวออกมาอย่างแม่ผู้มีความเข้าใจฐานะของตนเอง มีความเย้ยหยันชีวิตเจืออยู่ในน้ำเสียงของเธอ
“แม่ไม่เคยต่ำต้อยในสายตาหนู” มินตรากล่าว น้ำเสียงชื่นชมผู้เป็นแม่ออกมาชัด
ยุพายกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากอีกครั้ง ฟังสิ่งที่ลูกสาวยังกล่าวไม่จบ
“แม้ในสายตาของคนอื่น อาจมองว่าแม่ค้าขนมอย่างเราเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยด้อยเกียรติ แต่หนูคนนึงละที่ไม่เคยคิดเช่นนั้น ถ้า ‘เกียรติ’ หมายถึงความภาคภูมิใจที่หยัดยืนอยู่บนความสุจริต ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่คดโกง ไม่เบียดเบียนและไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร”
ยุพายกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ สมแล้วที่เธอส่งเสียมาจนเติบใหญ่ นึกชื่นชมว่าที่ผ่านๆมา มินตราไม่เคยทำให้เธอและสามีต้องเสียใจเลยสักครั้ง
ทว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ลึกๆในใจ ยุพากลับมีความคาดหวังที่แตกต่างออกไป เธออยากให้ลูกสาวได้ทำงานราชการ ไม่ใช่คาดหวังในยศฐาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งหน้าที่อันสูงส่ง แต่งานราชการก็พอมองเห็นความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิต เพื่อวันข้างหน้าลูกสาวจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนเธอกับสามี ที่ชีวิตในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับกระแสลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาไป แทบไม่มีหลักใดๆเอาไว้ให้ไขว่คว้าเมื่อยามแก่ชรา และมันทำให้มินตราตระหนักซึ้งอยู่ตลอดเวลาว่าเหตุนี้ เธอจึงเป็นความหวังเดียวของทั้งครอบครัว
“ว่าแต่ไปเที่ยวทะเลมา สนุกไหมลูก”
“สนุกค่ะแม่…เกาะเหลาเหลียงสวยกว่าที่คิดเอาไว้ หนูตั้งใจว่าถ้าได้เงิน…จะพาแม่กับน้องไปเที่ยวด้วยกัน” เงินที่มินตรากล่าวถึง คือรายได้ที่แอบหวังว่าจะได้จากงานเขียนรูปที่เพิ่งได้มาโดยบังเอิญ และมินตรายังอุบเอาไว้ รอจังหวะที่จะบอกให้แม่ดีใจ
ยุพาแกะไม้กลัดออกจากห่อขนม เอาช้อนตักดูเพื่อให้แน่ใจว่าขนมสุกจนถึงไส้ กลิ่นกะทิที่รวมอยู่ในเนื้อแป้งสุกสีขาว หอมลอยไปทั่วบ้านหลังน้อย
“ถ้ารู้ว่าแม่ไม่หยุดขายขนม หนูคงไม่หนีแม่ไปเที่ยวหรอก อยู่ช่วยแม่ดีกว่า” น้ำเสียงของหญิงสาวเจือเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิด
“แม่ทำไหว…แค่รู้ว่าลูกสาวคนนี้มีน้ำใจอยากช่วย ในหัวอกของคนเป็นแม่ แค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้วหละ” ดวงตาของยุพายิ้มได้ มันวาวประกายอย่างคนที่มองโลกงดงาม แม้ในความเหนื่อยยาก
“ว่าแต่ซื้ออะไรมาเยอะแยะ แม่เห็นเอ็งหอบหิ้วมาพะรุงพะรังเชียว” คนเป็นแม่ชำเลืองไปที่ของฝาก
“กุ้งแห้งให้แม่ ปลาหมึกสำหรับไอ้แก้ว มันบ่นอยากกินปลาหมึกปิ้ง เห็นสั่งนักสั่งหนา” ไอ้แก้ว คือน้องชาย มินตรามักจะเรียกชื่อน้องด้วยความสนิทสนมว่า ‘ไอ้แก้ว’
“แล้วในขวดนั่นล่ะ” ยุพาสงสัย
“หอยดอง...ของชอบของพ่อ”
“ไม่แคล้วคงได้เป็นกลับแกล้มของพ่อเอ็งเย็นนี้กระมัง”
ยุพาอดที่จะสัพยอกไปถึงนายเชิดผู้เป็นสามีไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าพอแดดร่มลมเย็น เชิดมักจะคว้าเคล้ามาจิบ ให้เหตุผลว่าจอกสองจอกกินเป็นกระสัย ช่วยให้เลือดลมเดิน ทว่าหลายๆครั้งก็มักจะเกินเลย ดีที่ยังเกรงเสียงปรามของยุพา ไม่งั้นคงหนักข้อ แม้เชิดจะดื่มบ้างไปตามประสา ทว่าก็ไม่เคยให้เสียการเสียงานเลยสักครั้ง
มินตรายิ้มๆ เมื่อได้ยินแม่เอ่ยถึงผู้เป็นพ่อ ด้วยความสงสัยเมื่อกลับมาไม่เจอพ่อกับน้อง หญิงสาวจึงเอ่ยถาม
“พ่อกับไอ้แก้วไปไหนแม่?”
“พ่อไปส่งของ ได้งานเหมามา วันนี้คงวิ่งรถได้หลายเที่ยว แก้วออกไปกับเพื่อนเมื่อตอนสาย ป่านนี้ยังไม่เห็นหัว”
ได้ฟังที่ยุพาพูด ดวงหน้าของมินตราฉายแววห่วงใยผู้เป็นพ่อขึ้นมาทันที จริงอยู่ที่ว่างานเหมาก็พอคุ้มค่าน้ำมัน เพราะได้วิ่งหลายเที่ยว ทว่าลึกๆในใจ มินตราก็อดเป็นห่วงคนเป็นพ่อไม่ได้ แม้งานขับรถอาจจะไม่เหนื่อยเหมือนงานแบกหามกรรมกร แต่ถ้าหักโหมจนสุขภาพรับไม่ไหว ขับต่อเนื่องยาวนาน ไม่พักไม่ผ่อนผ่อน เผลอหลับในขึ้นมาเมื่อไร นั่นย่อมหมายถึงชีวิต
“หนูเป็นห่วงจัง...ทุกครั้งที่พ่อออกไปขับรถ”
“แม่ก็ห่วง แต่จะทำยังไงได้ พ่อเอ็งน่ะ หัวเรี่ยวหัวแรงเชียวหละ” น้ำเสียงของยุพาตระหนักดีว่าลำพังรายได้จากการขายขนมที่ผ่านๆมา ไม่มีทางที่จะพอส่งเสียให้มินตราได้ร่ำเรียนจนจบปริญญาตรีอย่างแน่นอน
“หนูจะรีบหางานนะแม่”
“ดีแล้วหละลูก แต่งานสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะหาง่ายๆ แม่ว่างานอะไรก็ทำๆไปก่อน อย่าเลือกงาน” ยุพากล่าวให้ลูกสาวได้คิด
“แม่...” มินตราเรียก ด้วยอาการดีใจในน้ำเสียง ทำให้รำเพยละมือจากถาดขนมที่กำลังเช็ดด้วยผ้าอยู่ในขณะนั้น หันมามองหน้าลูกสาว
“มีอะไรจะบอกแม่รึ?”
“ค่ะ…หนูได้งานมาชิ้นนึง”
“จริงหรือลูก...ว่าแต่งานอะไรของเอ็ง แล้วไปได้งานตอนไหน” ยุพาขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าลูกสาวก็เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ยังไม่ได้รับปริญญาด้วยซ้ำ แถมเพิ่งกลับจากเที่ยวทะเล สัปดาห์ที่ผ่านมาก็เห็นว่ามินตรายังไม่ได้ไปสัมภาษณ์งานที่ไหน
“ตอนไปเที่ยวทะเล บังเอิญหนูไปเจอผู้ชายคนนึง เขาเป็นเจ้าของรีสอร์ตอยู่ที่จังหวัดตรัง เขาสนใจภาพที่หนูวาด”
“แล้วยังไง”
“เค้าเลยว่าจ้างให้หนูวาดภาพเพื่อใช้ตกแต่งรีสอร์ทของเขา เขามีรีสอร์ตตั้งหลายที่แน่ะแม่"
“งั้นก็ดีนะสิ” รำเพยเบิกตาด้วยความดีใจแทนลูกสาว
“เสร็จงานนี้ หนูคงได้เงินสักก้อน พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
“ไม่ต้องเอามาให้แม่หรอก เก็บเอาไว้ใช้ตอนเข้าไปหางานในกรุงเทพฯเถอะ” ด้วยไม่รู้ในรายละเอียด ยุพาจึงคิดเพียงว่าเงินจากการวาดภาพขาย จะได้สักเท่าไหร่กัน
“ไม่น้อยนะแม่ โดยทั่วไปก็ภาพละไม่ต่ำกว่าสามพัน” มินตราบอกไปตามราคาเท่าที่พอจะรู้มา สองสามพันก็ถือว่ามากแล้ว เพราะเธอเองก็ไม่ใช่จิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
“แล้วมันกี่ภาพกันล่ะ” ยุพาเริ่มอยากรู้